จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 002


    6708 ธรรมชาติที่ชื่อว่ามนายตนะ

    เป็นที่ประชุมของธรรมอื่น มีผัสสะเป็นต้น

    ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเองไม่ได้ ต้องมีปัจจัย มีสิ่งที่ปรุงแต่งให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายความว่า มีเฉพาะจิตเกิดขึ้น แต่จิตนั้นเองเป็นที่อาศัยของธรรมอื่น เช่น “ผัสสะ” ธรรมชาติที่กระทบ ในขณะนี้ที่เห็น ผัสสะไม่ได้กระทบเสียง แต่ในขณะที่ได้ยิน เพราะผัสสเจตสิกเป็นนามธรรมอีกชนิดหนึ่งกระทำกิจกระทบเสียง พร้อมกับจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง ทั้งๆ ที่ทางตา ผัสสะกระทบสิ่งที่ปรากฏ จิตก็เห็นสิ่งที่ผัสสะกระทบ ทางหู ผัสสะกระทบเสียง จิตก็เกิดขึ้นได้ยินเสียงที่ผัสสะกระทบ

    เพราะฉะนั้นจิตเป็นบ่อเกิด เป็นที่อาศัย เป็นที่ประชุมของธรรมอื่น เป็นสภาพธรรมที่อาศัยผัสสะเกิดขึ้นกระทำกิจแล้วก็ดับไปแต่ละขณะ แต่ในขณะที่เห็นนี้ ไม่ปรากฏว่าดับเลย ใช่ไหม สีสันวัณณะที่กำลังปรากฏทางตาก็ยังคงปรากฏเสมือนไม่ดับเลย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเหตุว่านามธรรม คือ จิตและเจตสิกเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก รูปก็เกิดดับเร็วกว่าที่คิด ไม่ใช่ว่าดำรงคงอยู่นานๆ อย่างนี้เลย แต่โดยสภาพของรูป ย่อมเป็นสภาพที่หยาบกว่าจิต ซึ่งเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นชั่วอายุสั้นๆ ของรูปๆ หนึ่งที่ยังไม่ดับไป จิตเกิดดับหลายขณะ

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ที่ทุกสิ่งทุกอย่างยังปรากฏเสมือนไม่ดับไปเลย ก็เป็นเพราะเหตุว่านามธรรมซึ่งเป็นสภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏนั้นเกิดดับเร็วกว่ารูปธรรมมาก จึงทำให้ดูเหมือนรูปธรรมที่ปรากฏ ก็ยังคงปรากฏอยู่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ทั้งนามธรรมและรูปธรรมเกิดดับอย่างรวดเร็ว แต่ว่านามธรรมนั้นเกิดดับเร็วกว่า

    6709 ธรรมชาติที่ชื่อว่าวิญญาณ

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ที่ชื่อว่า “วิญญาณ” เพราะรู้แจ้งอารมณ์

    คือเป็นประธาน หรือว่าเป็นใหญ่ในการรู้ ซึ่งโดยศัพท์หมายความว่า ถึงก่อนในการรู้ โดยอรรถหมายความว่า เป็นประธาน หรือว่าเป็นหัวหน้า เป็นอินทรีย์ในการรู้

    เวลานี้ทราบว่า ขณะที่เห็นนี้มีจิตและเจตสิกเกิดพร้อมกัน หรือว่าขณะที่ได้ยิน ขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่รู้สิ่งกระทบสัมผัส ขณะที่คิดนึก ถ้าที่ใดมีจิตเกิดขึ้น ที่นั่นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย จะมีแต่จิต โดยไม่มีเจตสิกไม่ได้เลย แต่ว่าจิตเป็นใหญ่ เป็นประธาน เป็นอินทรีย์ เป็นมนินทรีย์ในการรู้อารมณ์

    ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ที่เห็นนั้นเป็นจิต เวลาเห็นแล้วจำได้ ใช่ไหมคะ หมายรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ จิตไม่ใช่สภาพธรรมที่จำ ไม่ใช่สภาพธรรมที่หมายรู้ลักษณะของอารมณ์ที่ปรากฏ จิตเพียงเป็นใหญ่ เป็นประธาน เป็นอินทรีย์ในการรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏ คือ ในการเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือว่าในการได้ยินเสียงที่ปรากฏทางหู

    6710 ธรรมชาติที่ชื่อว่ามโนวิญญาณธาตุ

    ข้อความต่อไป

    ที่ชื่อว่า “ตชฺชา มโนวิญญาณธาตุ” ในบทนี้ จิตดวงเดียวเท่านั้น ตรัสโดยชื่อถึง ๓ ชื่อว่า ชื่อว่า “มนะ” เพราะความหมายว่า รู้ ชื่อว่า “วิญญาณ” เพราะความหมายว่า รู้แจ้ง ชื่อว่า “ธาตุ” เพราะความหมายว่า เป็นสภาวธรรม หรือมิใช่สัตว์

    6711 อธิบายคำว่า จิตตัง

    ขอกล่าวถึงคำอธิบายว่า “จิต” ในอัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ ซึ่งมีคำอธิบายต่อไปว่า

    จะอธิบายคำว่า “จิตตํ” ต่อไป ที่ชื่อว่า จิต เพราะอรรถว่า คิด อธิบายว่า รู้แจ้งอารมณ์

    อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่ศัพท์ว่า “จิตตํ” นี้ ทั่วไปแก่จิตทุกดวง ฉะนั้น ในคำว่า “จิตตํ” นี้ กุศลจิตฝ่ายโลกีย์ อกุศลจิตและมหากิริยาจิต จึงชื่อว่า จิต เพราะสั่งสมสันดานของตน ด้วยสามารถแห่งชวนวิถี

    ที่ชื่อว่า “จิต” เพราะเป็นธรรมชาติอันกรรมกิเลสสั่งสมวิบาก

    อนึ่ง “จิต” แม้ทุกดวงชื่อว่า จิต เพราะเป็นธรรมชาติวิจิตรตามสมควร

    ชื่อว่า “จิต” เพราะกระทำให้วิจิตร

    ซึ่งถ้าท่านผู้ฟังจะศึกษาจากตำราที่มีผู้รวบรวมไว้ ก็จะทราบว่า ลักษณะของจิต ๖ อย่าง ที่กล่าวถึงในตำราทั้งหลายเหล่านั้น มาจากข้อความนี้ คือ ในอัฏฐสาลินีอรรถกถาธัมมสังคิณี ซึ่งอธิบายคำว่า “จิต” ซึ่งสามารถจะแยกออกได้เป็นข้อๆ คือ

    ที่ชื่อว่า “จิต” เพราะอรรถว่าคิด อธิบายว่า รู้แจ้งอารมณ์ ๑

    อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่ศัพท์ว่า “จิตตํ” นี้ ทั่วไปแก่จิตทุกดวง เพราะฉะนั้น ในคำว่า “จิตตํ"”นี้ กุศลจิตฝ่ายโลกีย์ อกุศลจิตและมหากิริยาจิต จึงชื่อว่า “จิต” เพราะสั่งสมสันดานของตน ด้วยสามารถแห่งชวนวิถี ๑

    ที่ชื่อว่า “จิต” เพราะเป็นธรรมชาติอันกรรมกิเลสสั่งสมวิบาก ๑

    อนึ่ง จิตแม้ทุกดวง ชื่อว่า “จิต” เพราะเป็นธรรมชาติวิจิตรตามสมควร

    ข้อนี้ส่วนมากในตำราจะแยกออกเป็น ๒ ข้อ คือ เพราะวิจิตรด้วยอารมณ์ และเพราะวิจิตรด้วยสัมปยุตตธรรม

    และประการสุดท้าย คือ ชื่อว่า จิต เพราะกระทำให้วิจิตร

    6712 ที่ชื่อว่าจิตเพราะอรรถว่าคิด

    ซึ่งก็จะขอกล่าวถึงตามลำดับ เพื่อที่จะให้เข้าใจลักษณะของจิต ตามที่กล่าวไว้ในอรรถสาลินี

    ที่ชื่อว่า “จิต” เพราะอรรถว่า “คิด” อธิบายว่า รู้แจ้งอารมณ์

    ทุกท่านคิดเสมอ ถ้าลองพิจารณาสังเกตความคิดก็จะเห็นได้ว่า ช่างคิดเสียจริง และคิดไปต่างๆ นานา ไม่หยุด มีใครคิดว่า จะหยุดคิดบ้างไหม หรือคิดว่า จะไม่ต้องคิดก็ได้ ไม่มีทางยุติความคิดเลย จนกระทั่งบางท่านไม่อยากจะคิด อยากจะสงบๆ คือ หยุด ไม่คิด เพราะเหตุว่าเห็นว่า เวลาที่คิดแล้วก็เดือดร้อนใจ เป็นห่วง วิตกกังวล กระสับกระส่ายด้วยโลภะบ้าง หรือด้วยโทสะบ้าง คิดว่าถ้าไม่คิดเสียได้ก็จะเป็นการดี แต่ให้ทราบว่า จิตนั้นเองเป็นธรรมชาติที่คิด เพราะรูปคิดไม่ได้ และถ้ามีการพิจารณาลักษณะของความคิดของตัวท่านเอง ท่านก็จะทราบได้ว่า เพราะเหตุใด หรือว่าทำไมท่านถึงได้คิดอย่างนั้นๆ ซึ่งบางครั้งไม่น่าจะคิดอย่างนั้นเลยก็คิดได้ ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล แต่ส่วนใหญ่แล้ว โดยมากขอให้พิจารณาว่า ความคิดของท่านเป็นกุศล หรืออกุศลในวันหนึ่งๆ

    ตามปกติอกุศลจิตย่อมเกิดมากกว่ากุศลจิต และอกุศลจิตที่เกิดนี้ก็คิดไปในเรื่องของอกุศลอย่างละเล็กละน้อยๆ ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง อยู่เรื่อยๆ จนปรากฏว่า เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งท่านยึดถือเป็นจริงเป็นจัง แต่ทั้งหมดนั้นให้ทราบว่า เป็นเพราะจิตเกิดขึ้นคิดเรื่องนั้นเท่านั้นเอง ที่ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเรื่องที่คิดนั้นเป็นเรื่องสำคัญ หรือว่าเป็นเรื่องที่จริงจัง แต่ถ้าเพียงจิตไม่คิดถึงเรื่องนั้นเท่านั้น เรื่องนั้นจะไม่มี

    เพราะฉะนั้นที่ท่านกำลังคิด และมีความรู้สึกยึดถือผูกพันในเรื่องราวที่คิด เห็นว่าเป็นจริงเป็นจังนั้น ให้ทราบว่า เป็นเพราะจิตนั้นเองเกิดขึ้นคิดตามการสะสม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นอกุศลจิตที่คิด แต่ว่าจะเห็นไหมว่า เป็นอกุศลที่คิด เพราะเหตุว่าในขณะนั้นพอใจในเรื่องที่คิด เพลิดเพลินไปในเรื่องที่คิดด้วยความยินดีที่เป็นโลภะ หรือว่าขณะนั้นอาจจะเป็นความคิดที่ไม่สบายใจ เป็นอกุศลจิตที่ประกอบด้วยโทสะที่คิดในขณะนั้นก็ได้ แต่ว่าให้นึกถึงความดีที่อาจจะเกิดคิดขึ้นมา แล้วก็จะรู้ได้ว่าขณะนั้นช่างคิดได้ถึงอย่างนั้น ลักษณะนั้นเป็นลักษณะของจิตที่คิด

    6713 ที่ชื่อว่าจิตเพราะอรรถว่าคิด อธิบายว่ารู้แจ้งอารมณ์

    ข้อความในอัฏฐสาลินีว่า

    ที่ชื่อว่า “จิต” เพราะอรรถว่า คิด อธิบายว่า รู้แจ้งอารมณ์

    คำว่า “รู้” มีความหมายหลายอย่างตามลักษณะและประเภทของธรรมนั้นๆ เช่น เจตสิกก็เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ แต่ว่าไม่ได้เป็นใหญ่ในการรู้ เจตสิกแต่ละประเภทเกิดขึ้นพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต แต่ว่ากระทำกิจเฉพาะของเจตสิกนั้นๆ เช่น ผัสสเจตสิกที่ได้กล่าวถึงแล้ว เป็นสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต พร้อมกับจิต แต่เป็นธรรมชาติที่กระทบอารมณ์ ถ้าไม่รู้อารมณ์ จะกระทบอารมณ์ได้ไหม ไม่ได้ หรือว่าถ้าไม่กระทบอารมณ์ จะรู้อารมณ์ได้ไหม ถ้าเจตสิกไม่กระทบอารมณ์ ก็รู้อารมณ์ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นผัสสเจตสิกรู้อารมณ์โดยกระทบอารมณ์ เพราะฉะนั้นผัสสเจตสิกก็รู้อารมณ์ด้วย แต่ไม่ใช่รู้แจ้งอารมณ์

    สำหรับปัญญาเจตสิก ก็เป็นสภาพธรรมที่รู้ถึงลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั่นเป็นลักษณะของปัญญาที่รู้ถูกต้องตามความเป็นจริง

    แต่ว่าสำหรับจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ซึ่งมีคำอธิบายว่า รู้แจ้งอารมณ์ ไม่ใช่เป็นการรู้อย่างผัสสะที่กระทบอารมณ์ ไม่ใช่เป็นการรู้อย่างสัญญา ที่หมายรู้ลักษณะของอารมณ์ หรือจำอารมณ์ และไม่ใช่เป็นการรู้อย่างปัญญาที่รู้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร แต่ว่าจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งในลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ที่ปรากฏ

    6714 จิตรู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏต่างกันทางตา

    ขณะนี้อารมณ์ที่ปรากฏต่างกันไหม ที่กำลังเห็นนี้ต่างกันไหม ตามความเป็นจริง ตามปกติ ธรรมเป็นสัจธรรม เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ เห็นสิ่งเดียว อย่างเดียวเท่านั้นทางตา หรือว่าเห็นสิ่งต่างๆ ลักษณะต่างๆ ทางตา อย่างไร เห็นอย่างเดียว สีเดียวหมด หรือว่าเห็นสิ่งต่างๆ ลักษณะต่างๆ และความละเอียดของสิ่งที่ปรากฏ เพชรแท้กับเพชรเทียม เหมือนกันหรือไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกัน เพราะอะไร ปรากฏทางตาต่างๆ กัน ใครรู้ จิตเป็นสภาพที่เห็นแจ้ง คือ รู้แจ้งอารมณ์ลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ต่างๆ อุปมาเหมือนกระจกเงาที่ใสสะอาด ไม่ว่าสิ่งใดจะผ่าน ย่อมปรากฏลักษณะนั้นในกระจกเงาต่างๆ กัน ฉันใด เพราะฉะนั้นในขณะนี้มีจักขุปสาทเป็นรูป ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษซึ่งสามารถรับกระทบเฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียงไม่สามารถที่จะปรากฏรูปร่างสัณฐานทางตา แต่โสตปสาทเป็นรูปพิเศษ ที่มีลักษณะที่สามารถกระทบเฉพาะเสียง เพราะฉะนั้นเวลานี้ที่เสียงปรากฏกับได้ยิน สภาพที่รู้เสียง ไม่ปรากฏทางตา ไม่มีเสียงปรากฏทางตาเลย แต่ว่าเสียงมีจริง แล้วก็เป็นรูป ซึ่งปรากฏกับโสตปสาท ซึ่งเป็นรูป ซึ่งมีคุณลักษณะพิเศษที่กระทบเฉพาะเสียง ทางตานี้ก็มีจักขุปสาท ซึ่งเป็นรูปพิเศษที่สามารถกระทบเฉพาะสี

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นสีใดๆ ก็ตาม จะเป็นเพชรแท้หรือเพชรเทียม หยก หิน หรือแม้ดวงตาซึ่งมีแววริษยา ขณะนั้นก็ปรากฏกับจิตที่กำลังเห็นสิ่งต่างๆ ลักษณะต่างๆ ที่ปรากฏทางตา เคยมองตาคนอื่นไหม ตาของแต่ละคนมีความหมาย แล้วแต่ว่าผู้นั้นจะมีสัญญาที่หมายรู้ลักษณะของรูปที่ปรากฏได้ละเอียดแค่ไหน เพราะเหตุว่าบางครั้งแม้แต่เพียงการมอง ถ้าจิตของบุคคลนั้นประกอบด้วยความริษยา รูปร่างภายนอกอาจจะไม่ปรากฏเลย แต่ก็ยังปรากฏแววของความริษยาที่นัยน์ตาของบุคคลนั้นได้

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ในขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ปรากฏกับจิตที่รู้แจ้ง ไม่ว่าลักษณะนั้นจะเป็นอย่างไร จิตรู้แจ้งในลักษณะที่กำลังปรากฏ คือ เพียงเห็น รู้แจ้งในที่นี้ หมายความถึงเห็นลักษณะต่างๆ ของสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏ ไม่ว่าสิ่งใดๆ จะเกิดขึ้น รูปร่างสัณฐานใดๆ ทั้งหมด จักขุวิญญาณ หรือจิตนี้รู้แจ้งในอารมณ์ที่กำลังปรากฏ จึงเกิดรู้ความหมาย รู้สัณฐาน คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ได้ ตามลักษณะอาการของสิ่งที่ปรากฏ

    6715 จิตรู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏต่างกันทางหู

    ทางหู มีเสียงเดียวเท่านั้นปรากฏ หรือว่ามีเสียงต่างๆ ปรากฏ ไม่ว่าเป็นเสียงต่างกัน เพราะเหตุปัจจัยอย่างไร อาการที่ต่าง ลักษณะที่ต่างนั้นๆ ปรากฏกับจิตที่รู้เสียง จึงชื่อว่า รู้แจ้งลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ที่ปรากฏ เสียงลมพัด เสียงน้ำตก เสียงสัตว์ร้อง เสียงสัตว์นานาชนิดต่างๆ กัน ก็เสียงต่างๆ กัน หรือแม้แต่เสียงคนที่ร้องเลียนเสียงสัตว์ จิตก็ยังรู้แจ้งในเสียงที่ได้ยินนั้น เพราะความต่างกันของลักษณะของเสียงนั้น มี ถ้าไม่มีก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เป็นเสียงสัตว์จริงๆ หรือว่าเป็นเสียงคนที่ร้องเลียนเสียงสัตว์ แต่เพราะเหตุว่าอาการต่างๆ ลักษณะต่างๆ เสียงต่างๆ ไม่ว่าจะต่างกันอย่างไร จิตรู้แจ้งในอารมณ์ คือ รู้ลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ต่างๆ ที่กำลังปรากฏ เสียงที่เยาะเย้ย มีไหม สำเนียงที่ถากถาง ดูหมิ่น ดูถูก มีไหม ปรากฏทั้งหมดกับจิตที่รู้แจ้งลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นที่ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏได้ อย่าลืมว่า มีสภาพรู้ มีธาตุรู้ ที่เกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฏ

    6716 จิตรู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏต่างกันทางจมูก

    ทางจมูก จิตก็รู้แจ้งอารมณ์ต่างๆ ลักษณะของอารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฏ สัตว์ทุกชนิดมีกลิ่นต่างๆ และพืชพันธุ์ต่างๆ ก็มีกลิ่นต่างๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นดอกไม้นานาชนิด กลิ่นอาหาร กลิ่นแกง กลิ่นขนม ไม่เห็น เพียงได้กลิ่น รู้ไหมว่า แกงอะไร

    เพราะฉะนั้นลักษณะต่างๆ ของแกงต่างๆ ปรากฏกับจิต ที่รู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏ กลิ่นกระเทียม กลิ่นหอม ทุกคนรู้ทั้งนั้น ใช่ไหม แต่ละกลิ่นก็มีลักษณะต่างๆ ซึ่งจิตรู้แจ้งในลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ต่างๆ นั้น

    6717 จิตรู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏต่างกันทางลิ้น

    ทางลิ้น รสอาหารก็มีมากมายต่างๆ ไป ซึ่งจิตก็รู้แจ้งในลักษณะต่างๆ ของรสต่างๆ เช่น รสเกลือ รสน้ำตาล น้ำส้ม มะนาว มะขาม ไม่เหมือนกัน ใช่ไหม ต่างๆ ใครรู้ เพราะว่าจิตลิ้มรส รู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏ แม้ว่าจะต่างอย่างละเอียด จิตก็สามารถที่จะรู้แจ้งในลักษณะความต่างนั้นได้

    เวลาที่ปรุงอาหารแล้ว เวลาที่ลิ้มรส จิตก็ยังรู้แจ้งในรสนั้นว่า ยังขาดอะไร ยังจะต้องปรุงอะไร ใส่อะไร เติมอะไร หรือแม้แต่รสผลไม้ทุกชนิด รสชา รสกาแฟ นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ไม่ใช่ตัวตนเลย เกิดขึ้นเพราะปัจจัย เพราะผัสสะกระทบอารมณ์ใด จิตที่เกิดพร้อมผัสสะนั้นก็รู้แจ้งในลักษณะอาการที่ต่างๆ กันของอารมณ์นั้นๆ

    6718 จิตรู้แจ้งอารมณ์ที่ปรากฏต่างกันทางกาย

    ทางกาย มีการกระทบสัมผัส ก็ยังรู้ถึงความต่างกัน ว่าเย็นลม หรือว่าเย็นน้ำ หรือว่าเย็นอากาศ หรือสิ่งที่กระทบสัมผัสนั้นเป็นผ้าไหม หรือว่าเป็นผ้าขนสัตว์

    มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ซึ่งท่านก็เจริญสติปัฏฐานและได้เล่าให้ฟังว่า ท่านกำลังยืนอยู่ที่ถนน ก็เกิดระลึกถึงลักษณะที่แข็งที่ปรากฏ แล้วต่อไปก็คิดว่า นี่แข็งนี้เป็นถนน แล้วต่อไปก็คิดว่า แข็งนี้เป็นรองเท้า แล้วต่อไปก็คิดว่า แข็งนี้เป็นถุงเท้า

    นี่เป็นความคิด แต่ลักษณะจริงๆ เป็นเพียงสภาพแข็ง ขณะที่แข็ง ลักษณะนั้นปรากฏ แต่มีปัจจัยให้เกิดคิดนึกขึ้น ซึ่งยับยั้งไม่ได้ แม้ความคิดก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ที่จะคิดว่าแข็งนี้อะไร แข็งนี้ถนน แล้วต่อไปก็คิดว่าแข็งนี้คือรองเท้า แล้วต่อไปก็คิดว่า แข็งนี้คือถุงเท้า ซึ่งทุกท่านจะทราบได้ว่า ไม่มีใครที่จะสามารถจะยับยั้งความคิด แต่การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะรู้ว่า จิตเกิดขึ้นรู้แจ้งอารมณ์แต่ละขณะ แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กำลังคิดถึงถนน ในขณะที่กำลังคิดถึงรองเท้า หรือในขณะที่กำลังคิดถึงถุงเท้า ในขณะนั้นไม่ใช่ชั่วขณะที่รู้แจ้งลักษณะที่แข็ง

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จนไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน จะเห็นได้ว่า ต้องรู้ชัด แม้ในขณะที่กำลังคิดว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่คิด เพราะเหตุว่าถ้าปัญญายังไม่มั่นคง เวลาที่มีสภาพธรรมปรากฏทางกาย แล้วแต่จะเป็นลักษณะที่อ่อนนุ่ม หรือแข็งก็ตาม ในขณะที่ยังไม่รู้ว่า เป็นอะไรนี้ขณะนั้น แล้วภายหลังจะเกิดต้องการรู้ว่า แข็งนั้นอะไร บางท่านก็อาจจะต้องลืมตา หรือเปิดไฟขึ้นดูว่ากำลังกระทบสัมผัสอะไร แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้วชั่วขณะที่แข็ง ยังไม่ทันนึกคิดอะไรเลย จะไม่มีโลกของถุงเท้า ไม่มีโลกของรองเท้า โลกของถนน ไม่มีโลกของสมมติบัญญัติเลย มีแต่สภาพธรรมที่กำลังรู้ลักษณะที่แข็ง แม้สภาพธรรมที่กำลังรู้แข็งก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงสภาพรู้แข็ง ซึ่งในขณะนั้นไม่ใช่รู้เสียง แต่ภายหลังจะเห็นได้ว่า เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจจะเกิดคิดนึกถึงเรื่องราวสมมติบัญญัติของสิ่งที่ปรากฏ จนลืมว่าแท้ที่จริงแล้วในขณะที่เพียงแข็งปรากฏกับสภาพที่รู้แข็ง ในขณะนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่อย่างหนึ่งอย่างใดเลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป เพราะเหตุว่ามีการคิดถึงถนน ซึ่งไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้แจ้งในลักษณะของแข็ง

    6719 รู้แจ้งอารมณ์หมายถึงรู้ลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่า รู้แจ้งอารมณ์ ซึ่งเป็นอรรถของจิต ซึ่งเป็นสภาพรู้ ก็จะต้องรู้ชัดในความหมายว่า “รู้แจ้งอารมณ์” หมายความถึงรู้ลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ

    เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งจะทำให้ปัญญารู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ และสภาพธรรมซึ่งเป็นรูปธรรม จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่ผิดจากชีวิตปกติประจำวัน เพราะแม้ในขณะนี้เองจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏ ถ้าจิตไม่เกิดขึ้น สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ปรากฏไม่ได้เลย เมื่อไรจะรู้อย่างนี้

    นี่คือการอบรมเจริญสติปัฏฐาน จะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ เพราะเกิดขึ้นแล้วจึงปรากฏ ทุกอย่างที่ปรากฏในขณะนี้เกิดขึ้นแล้ว และสติก็สามารถที่จะเกิดระลึกรู้ในลักษณะซึ่งเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เข้าใจผิดว่า “จิตสั่ง”ไม่มีเลย ไม่ว่าจะเป็นขณะใดก็ตาม

    เสียงปรากฏ มีสภาพที่รู้เสียง สีสันวัณณะต่างปรากฏ มีสภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏ กลิ่นปรากฏ มีสภาพที่รู้ คือ จิตกำลังรู้กลิ่น คิดนึกเกิดขึ้น มีจิตที่กำลังรู้คำ ที่กำลังคิดแต่ละคำๆ ๆ

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่สั่ง การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมต้องตรง ตามลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรม ถ้าเข้าใจผิด จะเกิดสติที่ระลึกรู้ไหม ในขณะที่กำลังเห็น ถ้าเข้าใจผิด สติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ในขณะที่กำลังได้ยินเสียงไหม ซึ่งถ้าสติยังไม่เกิด ผู้อบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็พากเพียรโดยการฟัง โดยการพิจารณารู้ว่า จุดประสงค์ในชีวิตก็คือเป็นผู้ที่มั่นคงในการที่จะศึกษารู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แล้วแต่ว่าสติจะเกิดขณะไหน เป็นผู้ที่มีความอดทน มีวิริยะ มีความเพียรที่จะไม่เร่งรัด หรือว่าไม่ต้องการผลอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งไปพากเพียรทำอย่างอื่น ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะเกิดแล้วจึงได้ปรากฏในขณะนี้ตามปกติ ตามความเป็นจริง

    6720 อารมณ์เป็นอารัมมณปัจจัย

    สำหรับในวันนี้ ท่านผู้ฟังก็คงจะได้ทราบความหมายของคำว่า “อารมณ์” แล้วว่า หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ แล้วก็ได้ทราบแล้วด้วยว่า สภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปนามหรือนามธรรม ต้องมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้น เพราะฉะนั้นอารมณ์นั้นเป็น “อารัมมณปัจจัย” คือ เป็นปัจจัยโดยเป็นอารมณ์

    เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ยินอะไร ก็ควรที่จะพิจารณาด้วย และสำหรับเรื่องของปัจจัย ๒๔ ก็เป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่ว่าถ้าจะเรียนเป็นขั้นตอน ก็อาจจะต้องพากเพียรที่จะจดจำว่า มีปัจจัยอะไร กี่ปัจจัย แยกอย่างไร ขณะไหน แต่ถ้าเริ่มรู้ แม้ในขั้นต้น เช่น จิตเป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จิตรู้ โดยพยัญชนะ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติว่า เป็น “อารัมมณะ” หมายความถึงสิ่งที่เป็นอารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 18
    15 ก.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ