ตราบใดที่ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ชื่อว่ารู้จักโลกแม้จะอยู่ในโลกนี้มานาน


    เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แล้วพิจารณาพร้อมกับการอบรมเจริญสติปัฏฐาน จะไม่ชื่อว่า รู้จักโลก แม้ว่าจะได้อยู่ในโลกนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจำนวนกี่ปีสำหรับชาตินี้ และในอดีตชาติก่อนๆ ก็ไม่ได้รู้จักโลกค่ะ ตราบใดที่ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม และไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วก็ยังไม่สามารถที่จะพ้นไปจากโลก เพราะเหตุว่าเมื่อไม่รู้จักโลก จะพ้นไปจากโลกได้อย่างไร

    ไม่ว่าจะสุขสักเท่าไร ก็ไม่ได้สุขตลอดกาล เพราะเหตุว่าแท้ที่จริงแล้ว ความรู้สึกเป็นสุขก็เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะระยะที่สั้น เล็กน้อยมาก คือ ชั่วขณะจิตซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ซึ่งถ้าไม่ศึกษาสภาพธรรมตามความเป็นจริง จะไม่รู้แม้แต่ว่าอะไรปรากฏบนโลก อย่างเสียง เป็นต้น หรือสิ่งที่ปรากฏทางตา ทุกคนไม่สงสัย เพราะว่าได้ยินเสียง แต่ว่าถ้าไม่มีสภาพรู้ ไม่มีธาตุรู้ ซึ่งกำลังได้ยินหรือรู้เสียง เสียงจะปรากฏไหม เพราะฉะนั้นอารมณ์ต่างๆที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นสิ่งซึ่งแสดงให้รู้ในลักษณะของจิต ซึ่งเป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ได้ เพราะถ้าไม่มีอารมณ์ต่างๆปรากฏ จิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้กำลังเกิดดับนี้ ใครสามารถจะรู้ได้ในลักษณะของจิต ถ้าไม่เห็นเลย ไม่เห็นอะไรเลย ไม่ได้ยินอะไรเลย ไม่ได้กลิ่นเลย ไม่ได้ลิ้มรสเลย ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเลย ไม่คิดนึกเลย จะรู้ไหมคะว่า มีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งกำลังเกิดดับ ก็ไม่รู้ แต่เวลาที่มีการเห็น มีการได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ไม่รู้ลักษณะของสภาพของธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป สืบต่ออย่างรวดเร็ว จึงยึดถืออาการสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ว่าเป็นสัตว์บ้าง เป็นบุคคลต่างๆบ้าง เป็นวัตถุสิ่งต่างๆบ้าง

    ตราบใดที่ยังเข้าใจว่า โลกเป็นอย่างนี้ ไม่ชื่อว่า รู้จักโลกตามความเป็นจริง แม้ว่าจะได้ศึกษาเรื่องของโลกโดยวิชาการต่างๆ ไม่ว่าจะโดยภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ถึงหลายล้านปีมาแล้วก็ตาม หรือว่าโดยวิชาวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ชื่อว่า รู้จักโลกโดยความเป็นจริง และวิชาการทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะทำให้พ้นจากโลกได้ เพราะเหตุว่าเมื่อไม่รู้จักโลก ก็ย่อมพ้นจากโลกไม่ได้ แล้วโลกนี้วันหนึ่งๆ มีสาระอะไรบ้าง สุขเวทนาเกิดขึ้น แล้วก็หมดไปแล้ว จะให้สุขเวทนานั้นกลับคืนมาอีกก็ไม่ได้ หรือว่าท่านผู้ใดจะมีทุกข์ทรมานแสนสาหัสในโลกนี้ อยากจะพ้นจากโลกนี้สักเท่าไร ก็พ้นไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง

    แต่ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ท่านผู้ฟังพร้อมหรือยังคะที่จะไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน  แม้แต่ตัวท่านในขณะนี้ก็ไม่มี พร้อมไหมคะที่จะละทิ้งโลก เพราะต้องไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล เสียก่อน จึงจะดับโลก หรือว่าพ้นโลกได้ เพียงแต่คิดก็ไม่ไหวแล้ว ใช่ไหมคะ ที่ไม่มีตัวที่กำลังนั่ง แล้วก็ได้ยิน แล้วก็มีวงศาคณาญาติ มีมิตรสหาย มีวัตถุต่างๆซึ่งเป็นที่พอใจ ยังไม่ต้องให้พ้นโลก หรือว่าให้หมดวัตถุสิ่งต่างๆ เพียงแต่สักอย่างสองอย่าง ซึ่งคิดจะสละให้บุคคลอื่น ลองคิดดูว่า จะสละได้ไหม ทุกอย่างที่เป็นของๆท่าน แล้วก็ยังไม่ได้ต้องละจากโลกนี้ไป ยังไม่ต้องพ้นจากโลก เพียงแต่คิดจะให้คนอื่น ก็ยังยากที่จะสละให้ได้

    เพราะฉะนั้นการที่จะไม่ให้มีตัวตนเลย ต้องเข้าถึงอรรถอันนี้ว่า การที่รู้จักโลกตามความเป็นจริง คือ มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แล้วก็ดับไปแต่ละอย่าง ทีละอย่างที่ปรากฏ จึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน และไม่ใช่วัตถุสิ่งใดๆเลย พร้อมที่จะรับความจริง รู้ความจริงอย่างนี้ หรือว่ายังไม่พร้อม ยังทนไม่ไหว ทนไม่ได้ ที่จะเป็นอย่างนั้น ยังต้องเป็นเรา เป็นตัวตนอยู่

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักโลกตามความเป็นจริง จึงไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เพราะเหตุว่าผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องโลกตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ แล้วผู้ที่ฟังนี้ก็จะพิจารณาและน้อมประพฤติปฏิบัติอบรมเจริญปัญญา จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น จึงจะรู้ลักษณะของโลกได้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่รู้โลกในขณะอื่นเลย ขณะกำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึกในขณะนี้ แล้วมีหนทางที่จะทำให้รู้โลกที่กำลังเกิดดับในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็คือการที่จะน้อมไปพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเหล่านี้ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นโลก ถ้าวิธีอื่นแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะรู้จักโลกได้


    หมายเลข 7517
    21 ส.ค. 2558