รวมสติปัฎฐาน ตอนที่ 024


    ตอนที่ ๒๔

    แสดงว่าท่านพระราหุล เจริญอานาปานสติภาวนาตลอดเวลาเหล่านั้น

    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงลักษณะของรูป ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ท่านพระราหุลท่านก็ได้บรรพชาอุปสมบท เจริญสติปัฏฐานเป็นเวลานาน ไม่ใช่เป็นเวลาเล็กน้อย แต่ว่าท่านพระภิกษุในครั้งโน้นท่านมีศรัทธาออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต เจริญสติปัฏฐานกันวันแล้ววันเล่าทีเดียว แต่การที่จะละคลายการยึดถือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นเป็นสิ่งที่ยาก เป็นสิ่งที่ต้องเจริญเป็นเวลานาน

    ในมหาราหุโลวาทสูตร พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงลักษณะของรูป คือ ธาตุดินส่วนต่างๆ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อย่างในปฏิกูลมนสิการบรรพ ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยความว่า ส่วนต่างๆ เหล่านั้นเป็นปฐวีธาตุภายใน แล้วพระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ก็ปฐวีธาตุเป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี อันใด ปฐวีธาตุนั้นเป็นปฐวีธาตุเหมือนกัน ปฐวีธาตุนั้นเธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ดังนี้ เพราะบุคคลเห็นปฐวีธาตุนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมเบื่อหน่ายในปฐวีธาตุ จิตย่อมคลายกำหนัดในปฐวีธาตุ

    ต่อไปเป็นอาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ อากาศธาตุ

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    ดูกร ราหุล เธอจงเจริญภาวนา คือ อบรมจิตเสมอด้วยแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจที่เกิดแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

    ดูกร ราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้างลงที่แผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดด้วยของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

    ไม่ว่าจะเป็นท่านพระราหุล หรือท่านพระภิกษุในครั้งโน้นซึ่งมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีวิบากกรรมที่ได้สะสมที่จะได้รับกระทบอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง เมื่อกิเลสยังมีเป็นเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น แต่ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยแผ่นดินอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้ จักไม่ครอบงำก็เพราะเหตุว่าผู้นั้นเจริญสติ

    เวลาที่ให้เจริญอบรมจิตเสมอด้วยแผ่นดินไม่ใช่ให้นึกเอา แต่ว่าท่านพระราหุลท่านก็เจริญสติปัฏฐาน ได้ฟังธรรม ระลึกเป็นไปในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ในนาม ในรูป ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ถ้าจิตยังไม่เสมอด้วยแผ่นดินย่อมทำให้ยึดถือนามรูปที่กำลังกระทบด้วยความพอใจ ไม่พอใจ ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยทิฏฐิบ้าง ด้วยตัณหาบ้าง ด้วยมานะบ้าง แล้วแต่คุณธรรมของบุคคลที่กำลังเจริญสติ ถ้าผู้นั้นยังไม่ใช่พระโสดาบันบุคคล เวลากระทบกับความชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้าง ขณะที่ไม่รู้ว่าเป็นแต่เพียงนามเป็นแต่เพียงรูป ไม่ละไม่คลาย ย่อมถูกครอบงำด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้างในขณะนั้นได้ แต่ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสให้ท่านพระราหุลละคลายการที่จะยึดถือ ให้จิตที่กำลังเจริญอบรมภาวนานั้นเสมอด้วยแผ่นดิน ที่จะไม่ยึดมั่นด้วยความเป็นตัวตน หรือว่าด้วยตัณหา ด้วยมานะใดๆ ทั้งสิ้น

    ในพยัญชนะที่ว่า ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะเหตุปัจจัย

    ผู้ฟัง เมื่ออาจารย์อธิบายมาถึงตอนนี้ ผมก็จะเอาเรื่องของสำนักหนึ่งได้สอนปฏิบัติตอนหนึ่งว่า ให้เจริญกายาฯ เพราะปรากฏได้ชัด และพวกเราที่เป็นเนยยบุคคลนั้นสมควรอย่างยิ่ง แต่ส่วนเวทนาฯ จะเจริญไม่ได้ เพราะเป็นของผู้ที่ฉลาด ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่า จะตั้งอยู่ในฐานของอภิชฌาและโทมนัส เพราะเวทนา ถ้าเราไปเจริญสติปัฏฐานเข้า ก็จะพบอิฏฐารมณ์บ้าง อนิฏฐารมณ์บ้าง เวลาพบอิฏฐารมณ์เข้า จิตใจยังโง่ เป็นเนยยบุคคลก็ไม่สามารถที่จะเจริญวิปัสสนาให้เป็นไปได้ เป็นไปทางโลภะก็เจริญไปทางโลภะ ไปทางโทสะก็จะไปทางโทสะ ไม่ตรงกับวิปัสสนาที่บอกว่า จะต้องให้เป็นไปทางไม่มีอภิชฌาโทมนัส นี่เป็นข้อความตอนหนึ่งของสำนักวิปัสสนามีชื่อแห่งหนึ่ง ผมจึงมาเรียนสอดแทรกให้สาธุชนเพื่อได้ฟังเทียบเคียง ก็เห็นจะมีประโยชน์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

    ท่านอาจารย์ จุดประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐาน เพื่อปัญญารู้ชัด ไม่ใช่เพื่อไม่รู้ ไม่รู้โน่น ไม่รู้นี่ ไม่รู้นั่น นั่นไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน พระโสดาบันในอดีตมีปัญญารู้ชัดในโลก ๖ โลกตามความเป็นจริงอย่างไร ในนามและรูปทั้งปวง ไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตนอย่างไร พระโสดาบันในสมัยนี้ หรือว่าในกาลต่อไปข้างหน้า ก็ต้องรู้อย่างนั้น รู้แจ้งอริยสัจจ์อย่างเดียวกัน ไม่ใช่ไม่รู้โน่น ไม่รู้นี่ ไม่รู้นั่น มีไหมในพระไตรปิฏกที่บอกว่า ไม่ให้รู้ ดีไหมที่เจริญความไม่รู้ เวทนาความรู้สึกมีไหม มี เป็นตัวตนทุกขณะที่ไม่ระลึกรู้ แล้วเมื่อไรจะละกันสักที ถ้าไม่รู้ แต่จะตรวจสอบได้ว่า ข้อความใดที่ไม่ใช่เหตุผล จะไม่มีปรากฏในพระไตรปิฏก ที่จะไม่ให้รู้เวทนานั้น ไม่มี แล้วในตอนต้น ในสูตรทั้งหลายที่ได้กล่าวถึงเรื่องธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็มีเรื่องของการรู้ชัดในความแช่มชื่นของปฐวีธาตุ หมายความถึงนามหรือรูป ความแช่มชื่น สุขโสมนัส ที่เกิดจากปฐวีธาตุดินก็ต้องรู้ชัด ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่ให้รู้แต่เฉพาะลักษณะที่แข็งอย่างเดียว แล้วก็จะเป็นพระอริยเจ้า การที่จะเป็นพระอริยะบุคคลได้ ปัญญาต้องรู้ชัดแล้วละคลายความไม่รู้ ความสงสัย ความเห็นผิดที่ยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนได้หมดสิ้น

    ถ้าปกติในชีวิตประจำวัน ไม่เคยระลึกถึงลักษณะของนามของรูปที่เป็นตัวของท่านจริงๆ เลย เมื่อไรจะรู้ได้ ของจริงหรือเปล่าทุกวันทุกวันนี้ ไม่รู้ไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไรจะละได้ มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ถามดิฉันว่า ผู้ที่ไม่ไปสู่สำนักปฏิบัตินั้น เป็นเพราะกิเลส ดิฉันขอเรียนถามว่า ผู้ที่ไปสำนักปฏิบัติมีความต้องการอะไร ความต้องการนั้นเป็นกิเลสหรือไม่ใช่กิเลส ในขณะนี้มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ที่กำลังเป็นของจริงเป็นปัจจุบันไม่ใช่อนาคต ไม่ใช่อดีต กำลังเกิดขึ้น กำลังปรากฏ ถ้าปัญญาไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จะชื่อว่าปัญญาไหม สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้รู้ได้ไหม นี่คือสิ่งสำคัญ แล้วก็ต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ใช่ไหม แต่ถ้าไป ไปด้วยความต้องการ ไม่ได้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏก่อนจะไปเลยที่กำลังเป็นความจริง ที่ไปนั้นต้องการไหมถึงได้ไป ถ้าไม่มีความต้องการทำไมไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ถ้าไม่มีความต้องการมาพาไป ทำไมไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้นเป็นปัจจุบันในขณะนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่ไป หรือผู้ที่ไม่ไป เป็นผู้ที่มีความต้องการ ผู้ที่ไม่ไประลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏทันที ระลึกได้กำลังเป็นปัจจุบัน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่มีความต้องการที่จะไปรู้อย่างอื่น ที่อื่น ไม่มีโทมนัสที่จะไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ไม่มีอภิชฌาและโทมนัสใดๆ จึงระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏทันที ไม่ได้มีความต้องการหวังที่จะไป นั่นเป็นความหวัง นั่นเป็นโลภะ นั่นเป็นอภิชฌาที่จะไปรู้อย่างอื่น และมีโทมนัสที่จะไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏที่ผู้อื่นระลึกได้ทันที เพราะไม่มีความต้องการมาปิดกั้น และอีกประการหนึ่ง ไปแล้วไม่รู้ไม่ใช่ไปแล้วรู้ ไปแล้วไม่รู้อะไร ไปแล้วไม่รู้นามรูปตามปกติที่เป็นชีวิตจริงๆ ใช่ไหม ที่ไป ทำให้ไม่รู้นามและรูปที่เป็นปกติในชีวิตจริงๆ ที่เกิดขึ้นแล้วเพราะเหตุปัจจัย ไปไม่รู้ ไม่ใช่ไปรู้ ไปแล้วไม่รู้ใช่หรือไม่ใช่ ถ้ารู้สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นชีวิตจริงๆ ก็รู้เดี๋ยวนี้ที่ยังไม่ไป นั่นเป็นการรู้ชีวิตจริงๆ ตามปกติ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นปกติในชีวิตจริงๆ แต่ผู้ที่ไป ไปแล้วไม่รู้ชีวิตจริงๆ ตามปกติ ไม่มีหนทางที่จะกลับไปรู้ชีวิตจริงๆ ตามปกติ ตราบใดที่ยังไม่รู้ลักษณะของนามรูปที่ปรากฏในชีวิตปกติประจำวัน ชื่อว่า มีอวิชชา ไม่พ้นจากอวิชชาไปได้เลย ผู้ที่จะเกิดวิชชารู้ความจริง ก็ต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นปัจจุบัน ขอให้เข้าใจคำว่า ปัจจุบัน ไว้ด้วย คือ ขณะนี้ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องผัด ไม่ต้องคอย นามใด รูปใดก็ได้ จะเป็นโลภะ จะเป็นโทสะ จะเป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ได้ทั้งนั้น กำลังเป็นของจริงที่สติจะต้องรู้ชัด จึงจะไม่ใช่อวิชชา

    การฟังธรรม ขอให้พิจารณาเหตุผลด้วย บางทีฟังแล้วเชื่อตามทันที ได้ยินใครบอกว่าคนที่ไม่ไป ไปไม่ได้เพราะว่ามีกิเลสเชื่อทันที ที่ไปไปทำไม เวลานี้ไม่มีรูปนามหรือ ทำไมไม่ระลึก เพื่อให้สั้นที่สุด มีปรากฏในพระไตรปิฎกไหม ถ้าไม่มีก็ไม่ควรจะสนใจ ใครจะเป็นยังไงเรื่องของนอกพระไตรปิฎกก็เป็นเรื่องของนอกพระไตรปิฎก บุคคลในครั้งโน้นจะไปที่ไหน ก็เป็นผู้มีปกติจะเจริญสติ ไม่ใช่ห้ามการไป ไปวัด ไปบ้านเพื่อน ไปธุระ ไปที่ไหน ก็ต้องไป เกิดมาแล้วไม่ไปไม่มี ไป แต่ว่าเป็นผู้มีปกติเจริญสติ ไม่ใช่เป็นผู้เข้าใจผิดคิดว่า การที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้นอยู่ที่บ้าน อยู่ที่ชีวิตปกติประจำวันรู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ได้ บุคคลในครั้งโน้นไม่ได้เข้าใจผิดอย่างนี้ เพราะเหตุว่าบางท่านกล่าวอีกกล่าวว่า การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวันก็เจริญได้ แต่ไม่ได้ผล ลืมไป ว่าผลของการเจริญสติปัฏฐานนั้นคืออะไร การที่ปัญญารู้ลักษณะของนามและรูปแต่ละขณะ แต่ละอย่าง ตามปกติ จนกระทั่งชินขึ้น มากขึ้น คมกล้าขึ้น นั่นเป็นปัญญาใช่ไหม เป็นผลของการเจริญสติปัฏฐานใช่ไหม ชื่อว่าได้ผลไหม ถ้าขณะนี้สติของใครจะระลึกรู้ลักษณะของนามหรือรูป ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วแต่สติจะระลึกบ่อยๆ เนืองๆ เพิ่มขึ้น มากขึ้น ปัญญารู้ชัดขึ้น คมกล้าขึ้น ละได้เป็นอนัตตา ไม่มีใครจะสามารถกฏเกณฑ์ได้ว่า จะต้องบรรลุมรรคผล อินทรีย์แก่กล้า ที่นั่น ที่นี่ ซึ่งไม่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏกว่าจะต้องเป็นที่นั่น หรือที่นี่ เพราะฉะนั้นแม้แต่ผลของการเจริญสติปัฏฐาน บุคคลที่กล่าวเช่นนั้นก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าผลของการเจริญสติปัฏฐานทุกขณะจิตที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปชัดเจนขึ้น เพิ่มขึ้นมากขึ้น นั่นเป็นผลของการเจริญสติปัฏฐาน แล้วก็ความเป็นอนัตตาของสติ ความเป็นอนัตตาของญาณแต่ละขั้น ความเป็นอนัตตาของอินทรีย์ที่แก่กล้า ไม่เคยมีจำกัดว่าเฉพาะที่นั่นหรือที่นี่ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็เป็นเรื่องที่ต้องใคร่ครวญพิจารณา แล้วก็ให้ทราบจริงๆ ว่าผลของการเจริญสติปัฏฐานนั้น คือเมื่อไร ขณะไหน ถ้าไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ จะชื่อว่าเป็นผลของการเจริญสติปัฏฐานได้ไหม แม้แต่รูปที่ท่านไปเพียรรู้กัน ตรงตามรูปที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกไหม รูปที่กล่าวว่าอย่ารู้นั้น มีอยู่ในพระไตรปิฏกว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้เพราะเป็นสิ่งที่ปรากฏ ใช่ไหม

    ข้อความต่อไปเป็นอาโปธาตุ พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระราหุลโดยนัยเดียวกันว่า ดูกร ราหุล เปรียบเหมือนคนทั้งหลายล้างของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้างลงในน้ำ น้ำจะอึดอัด หรือระอา หรือเกลียดด้วยของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำ ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

    ถ้าเข้าใจการเจริญสติปัฏฐาน การศึกษาพระไตรปิฎกก็เกื้อกูลความเข้าใจให้ชัดเจนขึ้น ตลอดไปทุกๆ พยัญชนะ เพราะไม่ว่าจะเจริญอบรมจิตใจให้เสมอด้วยน้ำก็เช่นเดียวกัน คือ ไม่ว่าจะกระทบรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ชอบใจ ไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่ครอบงำจิตด้วยทิฏฐิ ตัณหา มานะได้

    สำหรับการเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟก็โดยนัยเดียวกัน

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ราหุล เปรียบเหมือนไฟย่อมเผาของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ไฟจะอึดอัด หรือระอา หรือเกลียดด้วยของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟ ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยไฟอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

    เป็นปกติธรรมดา เมื่อปัญญาเจริญขึ้น มากขึ้น การละคลายมากขึ้น จิตก็ย่อมจะเสมอกับแผ่นดิน เสมอกับน้ำมากยิ่งขึ้น เสมอกับไฟมากยิ่งขึ้น

    สำหรับเรื่องของการเจริญภาวนาเสมอด้วยลม ก็โดยนัยเดียวกัน

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ราหุล เปรียบเหมือนลมย่อมพัดต้องของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลมจะอึดอัด หรือระอา หรือเกลียดด้วยของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยลม ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยลมอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

    ต่อไปเป็นการเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศ ซึ่งเป็นโดยนัยเดียวกัน

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ราหุล เปรียบเหมือนอากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

    พยัญชนะนี้เข้าใจไหม ที่ว่า อากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ เพราะเหตุว่า อากาศนั้นแทรกซึมไปทั่วหมด ในร่างกายมีอากาศไหม แทรกซึมอยู่ทุกส่วนที่จะทำให้แตกย่อย กระจัดกระจายได้อย่างละเอียด ในรูปต่างๆ วัตถุสิ่งของเหล่านี้มีอากาศแทรกซึมอยู่ไหม ก็มี เพราะฉะนั้น อากาศก็ไม่ได้เลือกที่จะอึดอัด ที่จะระอา ที่จะแทรกซึมแต่เฉพาะสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ว่าเมื่อเป็นผู้เจริญภาวนาเสมอด้วยอากาศ จิตก็มั่นคง ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้

    ส่วนข้อความต่อไปก็เกื้อกูลกับท่านผู้ที่เจริญสติปัฏฐานด้วย

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ราหุล เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาทได้

    เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญกรุณาภาวนาอยู่ จักละวิหิงสาได้

    เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่ จะละอรติได้

    เธอจงเจริญอุเบกขาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ จะละปฏิฆะได้

    เธอจงเจริญอสุภภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอสุภภาวนาอยู่ จักละราคะได้

    เธอจงเจริญอนิจจสัญญาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่ จักละอัสมิมานะได้

    ต่อจากนั้นพระผู้มีพระภาคได้ให้ท่านพระราหุลเจริญอานาปานสติภาวนา พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว ท่านพระราหุลมีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค

    ทำไมว่าข้อความตอนท้ายจะเกื้อกูลแก่การเจริญสติปัฏฐาน ที่ว่า ดูกร ราหุล เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาทได้ ขณะนั้นท่านพระราหุลยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ยังมีกิเลส

    ตามธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น ความไม่พอใจ ความไม่แช่มชื่น พยาบาทมีไหม วิหิงสามีไหม อรติมีไหม ปฏิฆะมีไหม ราคะมีไหม อัสมิมานะมีไหม ก็ยังมีอยู่ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ขอให้ทราบว่า การทรงแสดงธรรมทั้งหมด เพื่ออนุเคราะห์กับทุกๆ ขณะที่เป็นปกติ ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ในชีวิตของแต่ละคน เลือกเห็นแต่สิ่งที่พอใจอย่างเดียวไม่ได้ เลือกที่จะรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพารมณ์แต่ที่ชอบใจอย่างเดียวไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อได้กระทบกับอารมณ์ที่พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง มีราคะเกิดขึ้นบ้าง มีโทสะเกิดขึ้นบ้าง มีอรติเกิดขึ้นบ้างเหล่านี้ เคยยับยั้งความคิดของตนได้ไหม ชีวิตปกติประจำวัน จะละ สั่งให้ไม่ให้คิดได้ไหม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 8
    2 เม.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ