รวมสติปัฎฐาน ตอนที่ 01


    ท่านอาจารย์ ข้อคิดประการหนึ่ง ที่ใคร่จะให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาด้วยตัวท่านเอง ก็คือว่า ในขณะที่กำลังเห็น หมดความสงสัยในลักษณะของนามและรูปหรือยัง ในขณะที่กำลังได้ยิน ได้ยินกำลังปรากฏ หมดความสงสัยในลักษณะของนามรูปหรือยัง เพราะว่าผู้เจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นผู้ที่ละความไม่รู้ ละความสงสัย ละการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน พอบรรลุคุณธรรม เป็นพระอริยบุคคลแล้ว จะไม่มีความสงสัยในนามรูปใดๆ เลย ที่จะเห็นผิด ยึดถือว่าเป็นตัวตน ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นผู้เริ่มเจริญสติก็จะทราบได้ด้วยตัวท่านเองว่า ปัญญาเริ่มรู้ลักษณะของนาม และรูปมากขึ้นหรือยัง ความสงสัยลดน้อยลงหรือยัง ความไม่รู้ลดลงไปบ้างหรือยัง แต่ถ้ายังสงสัยอยู่มาก ไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ ก็อย่าคิดเลยที่จะประจักษ์ การเกิดดับของนามและรูปได้ โดยการเพียงให้จดจ้องอยู่ที่นามเดียว หรือรูปเดียว ไม่ทราบว่า มีท่านผู้ฟังยังมีความสงสัย หรือความข้องใจในเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ที่ยินได้ฟังบ้างไหม

    ผู้ฟัง ได้ยินอาจารย์บางท่านอธิบายว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้น ไม่ให้เอาสติไปจดจ้องอารมณ์ใดๆ ให้อยู่เฉยๆ ปล่อยให้เกิดสติรู้สึกขึ้นมาเอง เพราะสติเป็นอนัตตา จะบังคับให้เกิดไม่ได้จึงทำให้สงสัยว่า สติจะเกิดขึ้นได้เองหรือ

    ท่านอาจารย์ ธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตาใช่หรือไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็นสติ ไม่ว่าจะเป็นเห็น ไม่ว่าจะเป็นได้ยิน ธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นสังขารธรรม อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งทำให้เกิดขึ้น ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย สติเป็นสังขารธรรมด้วย ทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุปัจจัย การเห็นก็ต้องมีเหตุปัจจัย โลภะก็ต้องมีเหตุปัจจัย โทสะก็ต้องมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่เคยฟังธรรมเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน สติปัฏฐานเคยเกิดมาก่อนไหม ก็ไม่เคย และเวลาที่ฟังธรรม ในขณะที่ฟังเข้าใจ อยากจะให้สติเกิด สติจะเกิดขึ้นเพราะความอยากได้ไหม ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เมื่อมีการฟัง มีความเข้าใจ เห็นคุณ เห็นประโยชน์ของสติ ได้ฟังธรรมกถาเรื่องของวิริยะ เรื่องให้เกิดศรัทธา มีฉันทะในการที่จะเจริญสติแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้สติระลึกได้ถึงสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟัง เมื่อมีความเข้าใจประกอบด้วยสติในขณะนั้น ก็พิจารณารู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้น จะให้มีใครไปทำ จะเอาตัวตนมาทำอีกหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่สามารถละการเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นตัวตนได้ การละการยึดถือสติว่าเป็นตัวตนก็ด้วยการรู้ลักษณะของธรรมชาติทั้งหลายว่า เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่ไม่ใช่มีตัวตนไปเจริญสติ สติเป็นอนัตตา อาศัยเหตุปัจจัยจึงได้เกิดขึ้น ไม่ใช่ให้มีตัวตนไปบังคับให้สติเกิด ถ้าเป็นโดยในลักษณะนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน ถ้าไม่เคยฟังธรรมเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน สติปัฏฐานก็ไม่เกิด แต่ก่อนนี้เกิดหรือไม่ แต่พอฟังแล้วเกิดไหม แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป็นตัวตนไปบังคับให้สติเกิด

    ขอกล่าวถึง มหาสติปัฏฐานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค เพื่อให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาโดยตรงจากพระสูตร ความจริงเรื่องของสติปัฏฐานนั้นมีอยู่ทั่วไปในพระไตรปิฎก ทั้งในทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย และทั้งในอภิธรรมปิฎกด้วย ในทีฆนิกายเป็นสูตรที่ยาวกว่าในสูตรอื่น ข้อความในมหาสติปัฏฐานสูตรมีว่า

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในแคว้นกุรุ มีนิคมหนึ่งของแคว้นกุรุ ชื่อว่า กัมมาสทัมมะ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงซึ่งความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ๔ ประการเป็นไฉน

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

    พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

    พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

    พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

    จบ อุทเทสวารกถา

    อุทเทสวารกถา หมายความว่า ข้อความเบื้องต้นเป็นข้อความโดยย่อ ยังไม่ใช่คำอธิบายโดยละเอียด


    2179

    หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก คือ สติปัฏฐาน ๔

    ในอุทเทสวาระชัดเจนอยู่แล้วที่ว่า หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงขั้นการฟัง ไม่ใช่เพียงขั้นการพิจารณา แต่เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่หลงเข้าใจผิด เมื่อเสียงปรากฏไม่หลงว่า “ได้ยิน ได้ยิน” หลงได้ เพราะไม่รู้ว่า ได้ยินมีลักษณะอย่างไร เสียงมีลักษณะอย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อมีเสียงปรากฏก็คิดหรือนึกว่า เสียงเป็นได้ยิน แต่ความจริงเป็นลักษณะของเสียงซึ่งในขณะนั้นหลงเข้าใจผิดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏได้ สิ่งที่ปรากฏมีทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ละลักษณะต้องมีสติระลึกรู้ลักษณะนั้นถูกต้องชัดเจนตามความเป็นจริง ไม่หลงเข้าใจธรรมอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง และการที่จะรู้ชัดอย่างนี้ได้ ต้องเป็นการระลึกรู้และการพิจารณาสภาพลักษณะของธรรมในขณะนั้น ข้อความละเอียดที่จะค่อยๆ พิจารณาไปทีละขั้นมีอยู่พร้อมสมบูรณ์ในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก และไม่ควรจะข้ามพยัญชนะด้วย อย่างข้อที่ว่า หนทางนี้เป็นหนทางอันเอก คือ การเจริญสติปัฏฐาน บางท่านสงสัยว่า การเจริญสตินี้เป็นมรรคมีองค์ ๘ ใช่ไหม คือ ยังคิดว่ามรรคมีองค์ ๘ กับสติปัฏฐานนั้นแยกกัน แต่ความจริงไม่แยกกันเลย

    การที่มีสติเกิดขึ้นรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ปัญญาเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยเป็นการเจริญมรรคที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะเหตุว่า การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม นั้นก็คือ การรู้แจ้งสภาพลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง ไม่ใช่รู้อย่างอื่น มีท่านผู้ใดที่คิดว่าจะเป็นการรู้อย่างอื่นนอกจากที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึกเหล่านี้ไหม เพราะเหตุว่าบางท่านนั้นคิดว่า การรู้แจ้งอริยสัจจ์นั้นรู้อย่างอื่น แต่ขอให้คิดว่า สิ่งที่กำลังปรากฏชัดทางตา คือ กำลังเห็นในขณะนี้ ไม่ใช่เมื่อวานนี้ ไม่ใช่ขณะอื่น หรือขณะที่กำลังได้ยิน หรือเสียงที่กำลังปรากฏ ชัดเจนด้วยสติสัมปชัญญะปกติบริบูรณ์ในขณะนี้ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าปัญญาไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังประจักษ์ แก่ตา แก่หู แก่จมูก แก่ลิ้น แก่กาย แก่ใจ ในขณะนี้แล้ว จะมีปัญญาไปรู้อะไร นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะบางท่านข้ามไป ไม่พิจารณาที่กำลังเห็น แล้วเมื่อไหร่ปัญญาจะรู้ลักษณะของเห็นกับสีที่กำลังปรากฏ ไม่พิจารณาลักษณะที่ได้ยินกับเสียง แล้วเมื่อไหร่จะรู้ชัดในลักษณะของได้ยินกับเสียงซึ่งปรากฏชัดเป็นปกติ เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญาที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงตามปกติด้วยสติสัมปชัญญะอย่างนี้ จะมีปัญญารู้อะไรได้ เพราะฉะนั้นการเจริญสติ คือ การระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นการเจริญมรรคมีองค์ ๘

    ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค วิรัทธสูตร มีข้อความว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งไม่ปรารภแล้ว บุคคลเหล่านั้นชื่อว่า ไม่ปรารภอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ที่ยังสัตว์ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งปรารภแล้ว บุคคลเหล่านั้นชื่อว่า ปรารภอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ที่ยังสัตว์ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน

    แล้วพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงสติปัฏฐาน ๔ คือ การพิจารณาเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรมนั่นเอง

    เพราะฉะนั้น บางท่านสงสัยนักว่า การเจริญสติปัฏฐานปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันนั้นจะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจ์ได้หรือ เป็นมรรคมีองค์ ๘ หรือ ซึ่งท่านก็คงจะหมดความสงสัยได้เมื่อได้อ่านและพิจารณาข้อความในวิรัทธสูตรนี้ว่า ทางที่จะบรรลุอริยสัจจธรรม รู้แจ้งสภาพของนิพพานได้นั้นต้องมีปัญญารู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก่อน และถ้ามีความเข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐานถูกต้อง จะเข้าใจสติปัฏฐานสูตรทั้งหมดไม่ว่าในทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย หรือที่ใดๆ ก็ตามในพระไตรปิฎก และถ้ามีความเข้าใจถูกต้องในเรื่องการเจริญสติว่า เป็นการเจริญภาวนาเพื่อให้เกิดปัญญารู้ลักษณะของธรรมชาติที่ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ปนกับการเจริญสมาธิ ก็จะไม่มีปัญหาเลย เพราะเหตุว่า บางท่านคงจะอ่านมหาสติปัฏฐานสูตร แต่ด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้นมีอานาปานสติด้วย มีกายคตาสติด้วย มีจตุธาตุววัฏฐาน คือ การพิจารณาธาตุทั้ง ๔ และมีอสุภะด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในหมวดของสมถภาวนา ก็ทำให้คิดว่า อานาปานสติก็ดี กายคตาสติก็ดี จตุธาตุววัฏฐานก็ดี อสุภกัมมัฏฐานก็ดีเหล่านั้น ท่านต้องเจริญสมาธิเสียก่อน ต้องให้ได้ฌานจิตเสียก่อน แล้วจึงจะเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้ นี่เป็นความเข้าใจของท่านเอง

    ในพระไตรปิฎกได้บัญญัติศัพท์แยกกัน สำหรับการเจริญอานาปานสติที่เป็นการเจริญสติปัฏฐานในหมวดของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ใช้พยัญชนะอย่างหนึ่ง แต่พอถึงการเจริญอานาปานสติที่เป็นการเจริญสมถภาวนาใช้คำว่า “อานาปานสติสมาธิ” แยกกัน เพราะในการเจริญอานาปานสติโดยนัยของสมถภาวนานั้น สมาธิเป็นประธาน ถือสมาธิเป็นใหญ่ ถือความตั้งมั่นของจิตที่ลมหายใจเพื่อให้สงบจนกระทั่งเกิดนิมิตบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน จนถึงปัญจมฌาน

    แต่ในการเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่อย่างนั้น เวลาที่ถึงข้อความนิทเทสวาระของกายานุปัสสนาสติปัฏฐานในหมวดของอานาปานสติจะพบว่าไม่มีข้อความอย่างนั้นเลย และในพระสูตรอื่นๆ ทรงแสดงไว้ชัดว่า อานาปานสติสมาธินั้นเจริญอย่างไรจึงจะมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หมายความว่า เมื่อผู้ใดเคยเจริญอานาปานสติโดยนัยของสมถภาวนาแล้ว การเจริญอานาปานสติสมาธินั้นจะมีผลมาก มีอานิสงส์มากด้วยการเจริญอย่างไรต่อไป นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อีกวิธีหนึ่ง ในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น ไม่ว่าจะเป็นอานาปานสติ กายคตาสติ หรืออสุภะก็ตาม การระลึกรู้ลักษณะของลมหายใจของส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือของความเป็นอสุภะนั้น ต่างกับสมถภาวนา เพราะเพียงเป็นเครื่องระลึกเท่านั้น เมื่อลมหายใจเป็นส่วนของกาย ก็รวมอยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานด้วย

    ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ได้ทรงแสดงส่วนของกายตั้งแต่ที่ละเอียดที่สุด คือ ลมหายใจ เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ทุกคนที่ยังมีชีวิต ยังยึดถือรูปร่างกายว่า เป็นตัวตนนั้น ส่วนของกายที่ละเอียดที่สุด คือ ลมหายใจ

    เพราะฉะนั้น ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานทรงแสดงทุกส่วนของกายที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นบรรพต่างๆ เริ่มตั้งแต่ลมหายใจ อานาปานะ ไปจนกระทั่งถึงอสุภะที่เป็นกระดูกที่ป่นเป็นผงก็ยังเป็นส่วนของกาย กระดูกของใคร ถ้าไม่พิจารณาก็เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เพราะฉะนั้น ทุกส่วนที่เนื่องกับกายรวมอยู่ในกายานุปัสสนาทั้งสิ้น แต่การพิจารณานั้นไม่ใช่โดยลักษณะของสมถภาวนา แต่เป็นการเจริญสติปัฏฐานซึ่งจะกล่าวถึงในภายหลัง

    ถ้าท่านเข้าใจในการเจริญสติปัฏฐานแล้ว ก็คงจะไม่สงสัยข้องใจว่า ธรรมชาติใดๆ ก็ตามที่มีจริงเป็นเครื่องให้สติระลึกรู้ลักษณะสภาพนั้นถูกต้องตามความเป็นจริงได้ทั้งสิ้น ไม่ยับยั้งปัญญาว่า อย่ารู้ รู้ไม่ได้ ไม่ควรจะรู้ นั่นไม่ใช่เรื่องของการเจริญปัญญา แต่เป็นเรื่องของอวิชชา พอกพูนอวิชชาไม่ให้รู้สิ่งนั้นไม่ให้รู้สิ่งนี้ เมื่อไม่รู้ จะละความไม่รู้ซึ่งเคยมีมามากได้อย่างไร ก็ยังคงไม่รู้ต่อไป

    เพื่อที่จะขยายความในมหาสติปัฏฐาน ขอกล่าวถึง พระอภิธรรมปิฎก เล่ม ๔ วิภังคปกรณ์ ภาค ๒ สติปัฏฐานวิภังค์ ซึ่งเป็นการขยายมหาสติปัฏฐานให้ละเอียดขึ้น ในสติปัฏฐานวิภังค์ที่ว่า เราทุกคนมีกาย และการเจริญสติระลึกที่กาย และเห็นกายในกายนั้นคืออย่างไร คำอธิบายมีว่า

    เห็นกายในกาย คือ ตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไปเบื้องบน ตั้งแต่ปลายผมลงมาเบื้องต่ำ

    เว้นส่วนหนึ่งส่วนใดไหม ไม่เว้น นอกจากนั้นในสติปัฏฐานวิภังค์ยังได้กล่าวถึงการเห็นกายในกายที่เป็นภายใน คือ ที่ตน กับ ที่เป็นภายนอกคือที่บุคคลอื่น ก็เป็นเครื่องให้สติระลึกได้

    เพราะฉะนั้น มหาสติปัฏฐานสูตร ชื่อก็บอกแล้ว กว้างขวางมาก ทุกสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏ สามารถจะเป็นเครื่องให้สติระลึกได้ทั้งสิ้น กายของตนเองตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไปเบื้องบน ตั้งแต่ปลายผมลงมาเบื้องต่ำ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้สติระลึกได้ ถ้าได้ฟังได้เข้าใจ ก็สามารถระลึกได้ถูกต้อง นอกจากนั้น กายของคนอื่นสามารถที่จะทำให้สติเกิดขึ้น ระลึกถึงความเป็นอสุภะ ความเป็นปฏิกูล ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา สติจะเกิดได้ไหมในเมื่อสิ่งนั้นมี จะห้ามสติไม่ได้ มิฉะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของมหาสติปัฏฐาน แต่เป็นเรื่องของสติปัฏฐานที่แคบมาก จำกัดมาก แต่มหาสติปัฏฐานกว้างมาก และเป็นข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ควรที่จะศึกษาด้วยความละเอียดว่า เมื่อเห็นบุคคลอื่นท่านสามารถระลึกได้ไหม อย่างที่กายนี้ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง สติเกิดจะระลึกขึ้นมาที่ผมได้ไหม ก็ได้ ผมคนอื่นได้ไหม ก็ได้ เล็บของตัวเองได้ไหม ก็ได้ เล็บคนอื่นได้ไหม ก็ได้อีกเหมือนกัน และการระลึกนั้นเป็นกุศล สามารถที่จะทำให้รู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏต่อไปได้ เพราะฉะนั้น อย่าจำกัดสติให้แคบ

    ที่ว่า สำหรับหนทางนี้ เป็นที่ไปอันเอก คงจะไม่มีความสงสัย และที่ว่า สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ

    ไม่ได้ระลึกได้บ่อยเลยในวันหนึ่งๆ ทั้งๆ ที่กายไม่เคยห่าง ไม่ว่าจะไปที่ไหน นั่งที่ไหน นอนที่ไหน ยืนที่ไหน เดินที่ไหน ก็มีกายอยู่ตลอดเวลา แต่แม้กระนั้นก็ยังไม่ระลึก เพราะฉะนั้น การที่จะระลึกรู้ลักษณะของกาย จึงต้องอาศัยความเพียร ความเพียรที่นี่ไม่ใช่ความเพียรที่ไปทำให้ผิดปกติ ไม่ใช่ความเพียรจดจ้องเพื่อจะให้รู้การเกิดดับตามความต้องการ แต่เพียรระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏที่กาย ถ้าเป็นในหมวดของกาย ก็ระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏที่กายบ่อยๆ เนืองๆ เพิ่มขึ้น มากขึ้น ตลอดชีวิตจนกว่าปัญญาจะรู้ชัด

    ที่ว่า เป็นสัมมาวายามะ เป็นความเพียรชอบ เป็นความเพียรอย่างยิ่งนั้น คือเพียรทุกขณะที่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ ไม่จำกัดอารมณ์ ความเพียรทุกๆ ขณะนี้ตลอดชีวิตทีเดียว เมื่อจะต้องเพียรกันตลอดชีวิตอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นความเพียรอย่างยิ่ง ไม่ใช่ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่เพียง ๑๐ วัน ๑๕ วัน ๑ เดือน แต่ต้องเป็นความเพียรเรื่อยๆ เนืองๆ บ่อยๆ ที่จะรู้สิ่งที่ไม่ไกลเลย สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา กำลังเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏทางหู กำลังได้ยิน สิ่งที่กำลังปรากฏทางจมูก กำลังได้กลิ่น มีความเพียรอย่างนี้ชื่อว่า เป็นความเพียรอย่างยิ่ง และกว่าจะรู้ได้ จะนานไหมที่จะประจักษ์การเห็นที่กำลังเห็นนี้ว่า เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เสียงที่ปรากฏเกิดแล้วก็ดับ เสียงเกิดขึ้นปรากฏมีลักษณะอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ได้ยิน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ได้ยินลักษณะอีกชนิดหนึ่งเกิดแล้วก็ดับ การรู้เรื่องของความหมายนั้นเป็นนามธรรมอีกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับ ความชอบความไม่ชอบเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป ต้องเป็นความเพียรอย่างยิ่งจริงๆ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 8
    24 ส.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ