โสภณธรรม ครั้งที่ 151


    ตอนที่ ๑๕๑

    เพราะฉะนั้นมโนทวารวิถีต้องแยกออกจากปัญจทวารวิถี อย่าปนกัน ถ้ายังไม่เข้าใจเรื่องของปัญจทวารวิถีและมโนทวารวิถี ก็คือมโนทวารวิถีเป็นปัญจทวารวิถีนั่นเอง หรือคิดว่าปัญจทวารวิถีนั่นเป็นมโนทวารวิถี เมื่อโลภมูลจิตเกิด โทสมูลจิตเกิด

    เพราะฉะนั้นก่อนที่จะถึงทางปัญจทวารวิถี ก็ขอกล่าวถึงตั้งแต่ปฏิสนธิ แล้วก็เป็นภวังค์ แล้ววิถีจิตวาระแรกต้องเป็นมโนทวารวิถีก่อน เพราะเหตุว่าการเกิดในสังสารวัฏ ซึ่งมีความยินดีพอใจในภพชาติ หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไป ภวังคจิตดับไป จะมีการนึกถึงอารมณ์ซึ่งไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ เป็นมโนทวารวิถีจิตเกิด มีความยินดีพอใจในภพชาติที่เป็นอยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีปัญจทวาราวัชชนจิต ไม่มีจักขุวิญญาณ ไม่มีสัมปฏิจฉันนะ ไม่มีสันตีรณะ ไม่มีโวฏฐัพพนะ

    ทางมโนทวารวิถี ทันทีที่มโนทวาราวัชชนจิตซึ่งทำอาวัชชนกิจดับลง โลภมูลจิตหรือโทสมูลจิต หรือกุศลจิตเกิดขึ้นแล่นไปซ้ำกัน ๗ ขณะ ซึ่งมโนทวาราวัชชนจิตซึ่งเป็นมโนทวารวิถีจิตขณะแรก เกิดขึ้นเพียงขณะเดียว แต่ว่าเมื่อดับไปแล้ว โลภมูลจิตเกิด ๗ ขณะ โทสมูลจิตเกิด ๗ ขณะ หรือกุศลจิตเกิด ๗ ขณะ จึงทำชวนกิจ ที่ใช้คำว่า แล่นไป ตามไปเร็ว คือ ชวนกิจ กิจที่แล่นไปตามที่จิตนึกอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรีรอเลยที่จะพอใจหรือไม่พอใจในอารมณ์ที่จิตคิด นี่คือมโนทวารวิถี

    เพราะฉะนั้นการที่กล่าวถึงมโนทวารวิถีก่อน ก็อาจจะทำให้เข้าใจปัญจทวารวิถี ซึ่งจะเกิดภายหลัง หรือว่าในชีวิตประจำวันแม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ก็ยังนึกทางใจ หรือในขณะที่กำลังเห็น บางคนก็ไม่สนใจในสิ่งที่เห็น กลับคิดนึกเรื่องอื่น เพราะว่ามโนทวารวิถีจิตเกิด โดยมโนทวาราวัชชนจิตนึกถึงเรื่องนั้น แล้วโลภมูลจิต หรือโทสมูลจิต หรือมหากุศลจิตก็เกิดต่อ ไม่ใช่คิดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือในขณะที่ได้ยินเสียง มีคนถาม แต่ว่าไม่ได้สนใจในเสียงที่ได้ยิน เพราะเหตุว่ามโนทวารวิถีจิตเกิด โดยมโนทวาราวัชชนจิตนึกถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใด และกุศลจิตหรืออกุศลจิตก็แล่นตามอารมณ์ที่ทางมโนทวาราวัชชนจิตนึก เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าพูดอะไร จะเห็นได้ว่า บางคนถาม แล้วอีกคนหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ เพราะเหตุว่าขณะนั้นมโนทวาราวัชชนจิตนึกถึงอารมณ์อื่น แล้วโลภมูลจิตบ้าง โทสมูลจิตบ้าง มหากุศลจิตบ้างก็แล่นตามอารมณ์ที่มโนทวาราวัชชนจิตนึก

    ถาม รู้ธรรมารมณ์ คือ รู้นาม รู้รูป หรือรู้บัญญัติ ทีนี้คนที่เพิ่งเกิดมา ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน และไม่เคยรู้เรื่องอะไรมาก่อน มโนทวารจะมีเรื่องอะไรคิดนึก และจะมีอารมณ์อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ที่จะว่า ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินเลยในสังสารวัฏ เป็นไปได้ไหม เรื่องค้างทั้งนั้นเลยที่คิด ไม่ยอมปล่อย ทั้งๆ ที่รูปที่ปรากฏทางตาดับจริงๆ เสียงที่ปรากฏทางหูก็ดับจริงๆ แต่ว่ายังค้างอยู่ในใจ เพราะสัญญาจำ แม้ว่ารูปนั้นจะดับแล้วไม่เห็น แต่ยังนึกถึงรูปที่เคยเห็น เสียงนั้นก็ดับแล้ว แต่ก็ยังนึกถึงเสียงที่เคยได้ยินได้ กลิ่นก็ดับแล้ว แต่ก็ยังนึกถึงกลิ่นได้ นอกจากนั้นยังคิดถึงเรื่องของสีที่ปรากฏทางตา นึกถึงเรื่องเสียงที่ได้ยินทางหู นึกถึงเรื่องกลิ่น มีใครอยากได้กลิ่นหอมๆ บ้างไหม วันนี้ต้องการกลิ่นชนิดไหน นั่นคือการนึกถึงเรื่องกลิ่นแล้ว นึกถึงเรื่องรสเป็นประจำ จะรับประทานอะไร ทั้งๆ ที่ขณะที่กำลังลิ้มรส รสก็ดับอย่างรวดเร็ว แต่ยังจำได้ว่า ลิ้มรสอะไร แล้วก็ยังอยากจะลิ้มนั้นอีกเมื่อไร จะปรุงแต่งรสนั้นอย่างไร

    เพราะฉะนั้นรูปดับไปจริง ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่ใจซึ่งติดตามไม่ลืมเรื่องนั้น ก็ยังนึกถึงเรื่องและรูปนั้นๆ อยู่ เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่า ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินอะไรในสังสารวัฏ เป็นไปไม่ได้เลย และโดยมากในทุกๆ วัน เป็นความพอใจ เพราะฉะนั้นขอให้มีอะไรเกิดขึ้น มีความต้องการที่จะเห็น หรือต้องการที่จะได้ยิน ต้องการที่จะได้กลิ่น ต้องการที่จะลิ้มรส ต้องการที่จะกระทบสัมผัส บางทีเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ทราบว่าอ่อนหรือแข็ง อยากรู้ไหม ต้องจับ เพื่อที่จะได้รู้ว่าอ่อนหรือแข็ง หรือว่าเย็นไหม ร้อนไหม

    นี่เป็นเรื่องของการที่จะต้องมีความยินดีพอใจในสิ่งที่ปรากฏเสมอ เพราะฉะนั้นเมื่อการสะสมความยินดีพอใจในแต่ละวัน ในแต่ละภพ ในแต่ละชาติ หลังจากที่ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วก็ดับไป ภวังคจิตเกิดแล้วก็ดับไป เป็นกระแสของภวังค์ จนกว่าวิถีจิตจะเกิดขึ้นนึกถึงอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด แต่ก็จะต้องแยกประเภทของจิตว่า จิตที่เป็นวิบากทำกิจอะไรบ้าง และจิตที่ไม่ใช่วิบากทำกิจอะไร มิฉะนั้นก็สับสนปนกัน คือ เอาจิตที่ไม่ใช่วิบากมาเป็นวิบาก อย่างบางคนก็เข้าใจว่า กุศลจิต อกุศลจิตเกิดขึ้นเพราะกรรม ทำกรรมมาเลยต้องคิดอย่างนี้ แต่ที่จริงไม่ใช่วิบาก บางคนเข้าใจว่า อกุศลจิตก็เป็นวิบาก ทำกรรมมาไม่ดี จึงต้องคิดไม่ดี เป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง แต่ไม่ใช่ เพราะเหตุว่ากรรมไม่ดี คือ อกุศลกรรม ทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นเห็น ขณะที่เห็นเป็นวิบาก แต่ว่าขณะที่ชอบหรือไม่ชอบในสิ่งที่เห็น จิตที่ชอบหรือไม่ชอบนั้นไม่ใช่วิบาก แต่ว่าเป็นตัวเหตุที่จะให้เกิดกรรม ซึ่งจะทำให้เกิดผล คือ วิบาก

    เพราะฉะนั้นการศึกษาเรื่องจิต ต้องศึกษาโดยประเภทว่า เป็นชาติอะไร เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล หรือเป็นวิบาก หรือเป็นกิริยา และจิตนั้นทำกิจอะไร เพื่อที่จะรู้ว่า ขณะใดรู้สึกตัว และขณะใดไม่รู้สึกตัว

    ถาม ภวังคจิตทางปัญจทวารไหวตามอารมณ์ที่มากระทบเป็นปัจจุบัน ถูกต้องไหม

    ท่านอาจารย์ อารมณ์นั้นเกิดขึ้นแล้วยังไม่ดับ

    ผู้ฟัง ทางมโนทวาร ภวังคจิตนั้นไหวได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ตามอารมณ์ของปัญจทวารรับรู้ต่อ เมื่อปัญจทวารวิถีจิตดับไป เช่น จักขุทวารวิถีจิตดับ ภวังคจิตเกิด ต่อจากนั้นมโนทวารวิถีจิตจะนึกถึงสีที่ปรากฏทางปัญจทวารต่อทันที ทางมโนทวารวิถีจิตจะต้องเกิดสืบต่อจากทางปัญจทวารวิถี หลังจากที่ภวังคจิตคั่นแล้ว มิฉะนั้นแล้วจะไม่มีการรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอะไร ที่รู้เป็นทางมโนทวาร เพราะเหตุว่าทางจักขุทวารเพียงเห็น โดยยังไม่รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร ยังไม่รู้ความหมายของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นการที่ไถ่ถอนความสำคัญที่ยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย โดยขั้นของปริยัติ คือ การฟัง ซึ่งการฟังมากๆ เป็นพหุสูต ก็จะทำให้เข้าใจชัดถึงความต่างกันของจิตแต่ละประเภทที่เกิดในขณะที่เห็น หรือในขณะที่นึกถึงสิ่งที่เห็น

    ถ้าใช้คำว่า “ทวาร” หมายความถึง ทางที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่จิตประเภทหนึ่งประเภทใดเกิด สอบความเข้าใจของตนเองได้เลยว่า ในขณะนั้นจิตเกิดโดยอาศัยทางไหน

    ข้อความในอภิธัมมัตถสังคหะ วิภาวินีฎีกา ปริจเฉทที่ ๓ มีว่า

    ชื่อว่า “ทวาร” เพราะอรรถว่า เป็นเหมือนประตู เพราะความเป็นทางแห่งความเป็นไปของอรูปธรรมทั้งหลาย

    ถ้าเป็นแต่เพียงปฏิสนธิดับไป แล้วเป็นภวังค์ เป็นกระแสภวังค์อยู่เรื่อยๆ โดยไม่มีการรู้อารมณ์อื่นเลย ก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ที่จะต้องเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง คิดนึกบ้าง จะต้องอาศัยทวาร ซึ่งทั้งหมดมี ๖ ทางเป็นรูป ๕ ทาง และเป็นจิต ๑ ทาง

    เรื่องของทวารกับเรื่องของวัตถุ ต่างกัน “วัตถุ” คือ ที่เกิดของจิต แต่ “ทวาร” เป็นทางที่เหมือนประตูที่จิตจะเกิดขึ้นเป็นไป

    วัตถุที่เกิดของจิตเป็นรูปทั้งหมด มี ๖ รูป แต่ทวารซึ่งเป็นทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ก็มี ๖ แต่ว่าเป็นรูป ๕ เป็นนาม ๑ คือ จักขุปสาทเป็นจักขุทวาร โสตปสาทเป็นโสตทวาร ฆานปสาทเป็นฆานทวาร ชิวหาปสาทเป็นชิวหาทวาร กายปสาทเป็นกายทวาร เป็นรูป ๕ ทวาร ส่วนมโนทวาร ได้แก่ ภวังคุปเฉทะซึ่งเกิดก่อนวิถีจิตทางใจ

    ถ้าจะทบทวนกิจทั้งหมด ๑๔ กิจ ก็คงจะไม่ลืม เพราะเหตุว่าเมื่อกี้นี้ก็มีท่านผู้ฟังที่กล่าวถึงกิจต่างๆ เกือบจะครบ คือ

    กิจที่ ๑ ปฏิสนธิกิจ ไม่ใช่วิถีจิต กิจที่ ๒ ภวังคกิจ ไม่ใช่วิถีจิต เพราะเหตุว่าไม่ต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดรู้อารมณ์ กิจที่ ๓ คือ อาวัชชนกิจ เป็นวิถีจิตขณะแรกมี ๒ ดวง คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต เป็นวิถีจิตแรกทางปัญจทวาร และมโนทวาราวัชชนจิต เป็นวิถีจิตแรกทางมโนทวาร

    นี่เป็นกิจที่ ๓ คือ อาวัชชนกิจ ถ้าจะเรียงลำดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กิจที่ ๔ ก็คือ ทัสสนกิจ ได้แก่ จักขุวิญญาณ ทำกิจเห็น ต้องอาศัยจักขุปสาท เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงจักขุวิญญาณ คือ จิตที่กำลังเห็นในขณะนี้ ทุกท่านก็ตอบได้ว่าเป็นวิถีจิต เพราะเหตุว่าไม่ใช่ภวังค์ และทุกท่านก็จะตอบได้ด้วยว่า เป็นจักขุทวารวิถีจิต เพราะเหตุว่าเป็นจิตที่อาศัยจักขุปสาทเกิดขึ้น และถ้าศึกษาโดยละเอียดต่อไป จำได้ว่า จักขุวิญญาณเกิดที่จักขุปสาทรูปนั่นเอง เพราะฉะนั้นสำหรับจักขุวิญญาณมีจักขุปสาทรูปเป็นทวาร เป็นทางเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏ และอาศัยจักขุปสาทรูปเป็นวัตถุ คือ เป็นที่เกิด เพราะฉะนั้นจักขุวิญญาณในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ชั่วขณะจิตเดียวที่เกิดขึ้นเห็น จิตนั้นเกิดขึ้นที่จักขุปสาท แล้วก็เห็นสิ่งที่กระทบกับจักขุปสาท

    นี่เป็นกิจที่ ๔ ทัสสนกิจ จักขุวิญญาณ

    ทบทวน ๑. ปฏิสนธิกิจ ๒. ภวังคกิจ ๓. อาวัชชนกิจ ๔. ทัสสนกิจ จิตเห็น ได้แก่ จักขุวิญญาณ ๒ ดวง ๕. สวนกิจ ได้แก่ โสตวิญญาณ ๒ ดวง สวนกิจ คือ กิจได้ยิน กำลังได้ยินอยู่ในขณะนี้เป็นโสตวิญญาณที่เกิดขึ้นทำสวนกิจ อาศัยโสตปสาทจึงเกิดขึ้นได้ยินเสียง และสำหรับโสตวิญญาณเกิดที่โสตปสาทรูปแล้วดับทันที เพราะฉะนั้นโสตปสาทรูปเป็นโสตทวารของโสตวิญญาณ และเป็นที่เกิดของโสตวิญญาณด้วย

    มีใครเคยรู้บ้างว่า โสตวิญญาณดับที่โสตปสาทรูป เกิดที่โสตปสาทรูปและดับที่โสตปสาทรูป และได้ยินที่โสตปสาทรูป

    กิจที่ ๑ ปฏิสนธิกิจ กิจที่ ๒ ภวังคกิจ กิจที่ ๓ อาวัชชนกิจ กิจที่ ๔ ทัสสนกิจ กิจที่ ๕ สวนกิจ กิจที่ ๖ ฆายนกิจ คือ จิตที่เกิดขึ้นได้กลิ่น ได้แก่ ฆานวิญญาณ ๒ ดวง

    กิจที่ ๗ ได้แก่ สายนกิจ ได้แก่ชิวหาวิญญาณที่เกิดขึ้นลิ้มรส ๒ ดวง เกิดที่ชิวหาปสาทรูป ดับที่ชิวหาปสาทรูป และรู้อารมณ์โดยอาศัยชิวหาปสาทรูป

    กิจที่ ๘ คืออะไร

    ทุกคนก็จำได้หมดแล้ว แต่สำหรับผู้ที่มาฟังใหม่ๆ อาจจะคิดว่ายาก แต่ยากเฉพาะชื่อ แต่ความจริงเป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจเหล่านี้ เป็นประจำ ทบทวนอีก

    ๑. ปฏิสนธิกิจ ๒. ภวังคกิจ ๓. อาวัชชนกิจ ๔. ทัสสนกิจ ๕. สวนกิจ ๖. ฆายนกิจ กิจได้กลิ่น ๗. สายนกิจ กิจลิ้มรส ๘. ผุสนกิจ กิจที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ๙. สัมปฏิจฉันนกิจ จิตที่รับรู้อารมณ์ต่อจากจักขุวิญญาณ ๒ ดวง โสตวิญญาณ ๒ ดวง ฆานวิญญาณ ๒ ดวง ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง กายวิญญาณ ๒ ดวง ๑๐. สันตีรณกิจ ๑๑. โวฏฐัพพนกิจ ๑๒. ชวนกิจ ๑๓. ตทาลัมพนกิจ กิจสุดท้าย คือ กิจที่ ๑๔ จุติกิจ

    ตามที่ท่านผู้ฟังกล่าวถึงเมื่อกี้นี้ ท่านมาเรียงลำดับให้ฟัง ก็เป็นการทบทวน แต่ว่าให้เห็นความวิจิตรของนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ มีใครเคยคิดบ้างไหมว่า รสที่เป็นรูปๆ หนึ่ง ซึ่งเกิดรวมอยู่กับมหาภูตรูป คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีใครสามารถจะลิ้มได้ แต่จิตที่มีชิวหาปสาทเป็นทวาร แม้ว่ารสจะอยู่ในรูปที่เป็นมหาภูตรูป แต่ชิวหาวิญญาณก็ยังสามารถที่จะรู้ คือ ลิ้มรสนั้นได้ รู้ว่ารสนั้นเค็มแค่ไหน หรือหวานอย่างไร หรือเผ็ด เปรี้ยว มันอย่างไร และจากการจดจำหลังจากที่ลิ้มรส ก็รู้ว่ารสนั้นมี อยู่ที่มหาภูตรูปนั่นเอง แต่การที่สามารถรู้รสนั้นได้ ก็โดยต้องมีชิวหาปสาทเป็นทวารหรือเป็นทางที่เมื่อรสนั้นกระทบกับชิวหาปสาท ก็มีจิตขณะหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ลิ้มรสนั้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นรูปใดๆ น่าอัศจรรย์ เช่น สีสันวัณณะที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ก็เป็นอุปาทายรูป หรือเป็นรูปหนึ่งซึ่งเกิดรวมอยู่ในมหาภูตรูป ๔ ถ้าในขณะนั้นเป็นภวังคจิต จะไม่มีการเห็นรูปนี้เลย แต่เวลาที่มีจักขุปสาทรูปเกิดแล้วยังไม่ดับ และรูปารมณ์เกิดแล้วยังไม่ดับ กระทบกัน เพียงชั่วขณะจิต ๑๗ ขณะที่ทั้งปสาทรูปและรูปารมณ์ยังไม่ดับ ก็ทำให้มีจักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็นแม้รูปซึ่งเกิดรวมอยู่ในมหาภูตรูป ซึ่งเป็นรูปพิเศษที่กระทบกับจักขุปสาทรูปได้เท่านั้น

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกขณะในชีวิตประจำวันซึ่งดูเป็นธรรมดาๆ แต่ถ้าคิดถึงความอัศจรรย์ที่จะต้องอาศัยเหตุปัจจัย แล้วก็ทำให้สภาพนามธรรมเกิดขึ้นแต่ละอย่างๆ ก็จะเห็นได้ว่า ไม่น่าที่จะมีใครไปลิ้มรสที่อยู่ในมหาภูตรูปนั้นได้เลย แต่ว่าแม้กระนั้นเพียงแต่มีทวารหรือมีทาง คือ มีชิวหาปสาทรูป คือ รูปนั้นกระทบเมื่อไร ชิวหาวิญญาณก็เกิดขึ้นลิ้ม คือ รู้รสนั้นชั่วขณะจิตเดียวแล้วก็ดับที่ชิวหาปสาทรูปนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือไม่ว่าจะเป็นทางหู เสียงก็เป็นรูปๆ หนึ่ง ที่เกิดรวมอยู่กับมหาภูตรูป แต่เวลาที่ได้ยินเสียง ไม่มีใครคิดถึงมหาภูตรูปเลย แต่แท้ที่จริงแล้ว เสียงเป็นอุปาทายรูป ต้องเกิดกับมหาภูตรูป ถ้าไม่มีมหาภูตรูป คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เสียงจะเกิดไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังได้ยินเสียงในขณะนี้ เสียงเป็นเพียงรูปๆ หนึ่ง ซึ่งเกิดรวมอยู่กับมหาภูตรูป แต่เมื่อมีโสตปสาทที่ยังไม่ดับ และเสียงยังไม่ดับกระทบกัน ก็เป็นปัจจัยให้โสตวิญญาณเกิดขึ้นได้ยินเสียงชั่วขณะเดียวแล้วก็ดับ

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า วิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรม มีวิบากจิตหลายประเภทที่ทำกิจต่างกัน คือ นอกจากจักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงชั่วขณะเดียวดับไป สัมปฏิจฉันนจิตเป็นวิบากจิต ซึ่งกรรมทำให้เกิดขึ้นรับรู้รูปที่ปรากฏ หลังจากที่จักขุวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนะรับรู้รูปนั้นต่อ เพราะเหตุว่ารูปนั้นยังไม่ดับ และหลังจากที่สัมปฏิจฉันนจิตดับแล้ว สันตีรณจิตซึ่งเป็นวิบากก็เกิดขึ้นพิจารณารูปนั้นแล้วดับ

    จะเห็นได้ว่า จักขุวิญญาณก็ดี สัมปฏิจฉันนจิตก็ดี สันตีรณจิตก็ดี เป็นวิบากจิต ซึ่งเกิดจากกรรมที่ทำให้กระทบกับรูปนั้น และมีการเห็นรูปนั้น แต่ว่าการที่จะรู้ว่าเป็นวิบากจิตในขณะที่เห็น ชั่วขณะเดียวนั้นก็สั้นมาก แต่ว่าสัมปฏิจฉันนจิตรับต่อ สันตีรณจิตรับต่อ โวฏฐัพพนจิตเกิดต่อ แล้วกุศลจิตหรืออกุศลจิต โลภมูลจิต โทสมูลจิตเกิดต่อ ยินดีพอใจในรูปที่ยังไม่ดับ ทำให้เหมือนกับเห็นอยู่ตลอดเวลาที่เป็นจักขุทวารวิถีจิต แต่ว่าตามความเป็นจริงจักขุวิญญาณเกิดเพียงชั่วขณะเดียว

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้วิบาก ซึ่งเป็นผลของกรรมจริงๆ แม้ว่ากำลังเห็นอยู่ ก็ต้องรู้ที่ชวนจิต แม้ว่ากำลังได้ยินอยู่ เสียงยังไม่ดับ จะรู้จริงๆ ก็ต้องรู้ที่ชวนจิต

    ชวนะ นี่คุ้นหูไหม ที่ได้กล่าวถึงในวันนี้ แล่นไปในอารมณ์ เพราะฉะนั้นก็ได้แก่ กุศลจิตหรืออกุศลจิตนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงชวนจิตก็ต้องทราบว่า หมายความถึง โลภมูลจิตบ้าง โทสมูลจิตบ้าง หรือกุศลจิตบ้าง ที่ทำชวนกิจต่อจากมโนทวาราวัชชนจิตทางมโนทวารวิถี หรือต่อจากโวฏฐัพพนจิตทางปัญจทวารวิถี

    ท่านที่ได้ศึกษามาแล้ว ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจ แต่ท่านผู้ฟังใหม่ๆ ก็จะต้องอาศัยหนังสือ “ปรมัตถธรรมสังเขป” กับ “จิตตสังเขป” ที่จะทบทวนให้ทราบ และให้คุ้นหูกับชื่อภาษาบาลีต่างๆ เหล่านี้

    พระ เวลาจะรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ทำไมต้องรู้ที่ชวนจิตด้วย คือ ขณะที่จะรู้อารมณ์ทางตาเกิดขึ้น ในขณะนั้นจะต้องรู้อารมณ์ในชวนจิต ใช่ไหม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    24 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ