โสภณธรรม ครั้งที่ 136


    ตอนที่ ๑๓๖

    ยิ่งมีศีลมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการขัดเกลากิเลสมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่ยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ ถ้าสามารถที่จะรักษาศีลเพียง ๕ ข้อให้สมบูรณ์ นั่นก็เรียกว่าเป็นการกระทำที่กระทำได้ยาก แม้การเป็นคฤหัสถ์ที่ดีก็ไม่ง่ายเลย ถ้าจะพิจารณาว่ามีศีล ๕ เป็นนิจ ครบถ้วนหรือไม่ เพราะว่าตามความเป็นจริงผู้ที่จะรักษาศีล ๕ ได้สมบูรณ์นั้น คือ พระอริยบุคคล คือ พระโสดาบันเป็นต้นไป

    ถาม ศีลบางข้อ เช่น มุสา ห้ามพูดปด ใช่ไหม ทีนี้ถ้ามีคนมายืมเงินเรา เรารู้ว่าเขามีหนี้สินรุงรัง ถ้าเราให้เขาไปก็ไม่ได้คืน เรามี เราก็บอกว่าไม่มี ผมก็โกหกไป อย่างนี้จะผิดศีลไหม

    ท่านอาจารย์ สำหรับผู้ที่พยายามจะรักษาศีล ๕ จะเป็นผู้ที่รู้สึกตัวในขณะที่พูดว่า พูดสิ่งที่จริงหรือพูดสิ่งที่ไม่จริง เพราะฉะนั้นเวลาที่มีคนมาขอยืมเงิน แล้วเราก็ไม่ให้ แล้วเราก็บอกว่าไม่มีที่จะให้ หรือไม่มีพอที่จะให้ มีพอสำหรับอย่างอื่นทั้งนั้น นอกจากไม่มีพอที่จะให้

    มีคำถาม ใคร่เรียนถามอาจารย์ว่า ในสมัยพุทธกาลมีการกล่าวถึง การเหาะเหินเดินอากาศของสาวกพระพุทธเจ้า มีการกล่าวถึงนาค ครุฑ เทวดา แม้กระทั่งการเทศน์สั่งสอนอบรมของพระในสมัยปัจจุบันว่า อดีตมีจริง แต่อาจารย์จะให้ข้อคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างใด ว่ามีจริงหรือเปล่า หรือเป็นอุบายสอนคนรุ่นหลังให้มีความเชื่อศรัทธาเท่านั้น เพื่อจะได้ใช้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตกับธรรมต่อไปในแนวทางที่ถูกต้อง

    ตอบ อันนี้ก็เป็นที่น่าสงสัยจริงๆ เพราะเหตุว่าต่างยุคต่างสมัย คนในสมัยนี้คงจะนึกภาพพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้แน่ๆ เลย แม้ว่าจะแสดงมหาปุริสสลักษณะไว้ถึง ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะคิดแล้วก็เทียบเคียงได้ว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีรูปร่าง จะมีหน้าตาอย่างไร นี่ก็เป็นความสงสัยอย่างหนึ่ง เพราะว่าต่างกาล ต่างสมัย เพราะฉะนั้นเมื่อจะมาถึงเรื่องของการเหาะเหินเดินอากาศทั้งของพระผู้มีพระภาคเองและของสาวกเอง ต่างกาลสมัยมาถึงสมัยนี้ จะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไหม

    สมัยนี้ทุกคนไปต่างประเทศได้ ทั้งๆ ที่ยังมีกิเลส ทางเครื่องบิน จะใช้จรวดไปโลกอื่นด้วย ซึ่งเราอาจจะคิดว่าในสมัยก่อนโน้นจะเป็นไปได้ไหม ถ้าคิดว่าสมัยนี้มีได้ ก็จะคิดต่อไปว่า สมัยก่อนๆ โน้น เมื่อ ๗,๐๐๐ กว่าปี หรือแสนปีก่อนจะมีอย่างนี้หรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องของความสงสัย จะมีความสงสัยหลายอย่าง เพราะฉะนั้นสมัยนี้ไม่เคยเห็นใครเหาะ ไม่เห็นใครเดินบนน้ำ หรือว่าไม่เห็นมีใครจะทะลุกำแพง หรือล่องหนออกไปได้เลย เพราะฉะนั้นจะมีได้ไหม เหตุต้องสมควรแก่ผล แต่ว่าขอให้คิดว่า แม้ยุคนี้คนที่มีกิเลสมากๆ ก็ยังข้ามประเทศไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่าโดยวิธีต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นยุคสมัยของการเจริญทางด้านจิตใจ เพราะเหตุว่าเป็นกาลที่เป็นกาลสมบัติ มีพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ลักษณะของจิตของแต่ละคนในขณะนี้ว่า เป็นสังขารธรรม เพียงจิตขณะเดียวที่เกิดขึ้น มีอะไรเป็นปัจจัย หลายปัจจัยที่ทำให้จิตชั่วขณะนี้เกิดขึ้นทำกิจรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วดับ คือ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เหล่านี้ แล้วก็ทรงแสดงสภาพของรูปไว้ละเอียดยิบ จนกระทั่งยากที่คนอื่นแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถที่จะแสดงถึง สมุฏฐานของรูปแต่ละรูปได้ว่า รูปบางกลุ่มซึ่งเล็กที่สุดนั้น ซึ่งมีอากาศธาตุ ช่องว่างคั่นอยู่ทั่วตัว บางรูปเกิดขึ้นเพราะกรรม บางรูปเกิดขึ้นเพราะจิต บางรูปเกิดขึ้นเพราะอาหาร บางรูปเกิดขึ้นเพราะอุตุ คือความเย็นความร้อน

    เพราะฉะนั้นผู้ที่สะสมบารมีมาถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่หาง่ายในแสนโกฏิกัปป์ แล้วแต่ว่าจะถึงกาลสมัยของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งเมื่อไร แล้วก็พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ก่อนพระองค์นี้ ก็ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้อริยสัจจธรรม ซึ่งแสนที่จะรู้ยาก เพราะฉะนั้นก็จะต้องเก่งกว่าพวกนักวิทยาศาสตร์มากมาย ที่สามารถจะพาคนหลายๆ คนเหาะไปพร้อมๆ กัน แต่ว่านี่เป็นเรื่องความเจริญทางด้านจิตใจ

    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ วิชชา ก็คือ วิชชา ๓ โดยที่ไม่ต้องกล่าวถึงโดยละเอียด วิชชา ๓ วิชชา ๘ หมายความว่า นอกจากการที่จะตรัสรู้อริยสัจจธรรมแล้ว ก็ยังทรงสามารถที่จะระลึกชาติ หรือเหาะเหินเดินอากาศทำสิ่งที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ เพราะสมบูรณ์ด้วยเหตุ

    เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดงจิต จำแนกออกเป็น ๘๙ ประเภท หรือ ๑๒๑ ประเภทโดยละเอียด และจิตบางประเภทไม่ใช่จิตที่ทุกคนมีในชีวิตประจำวัน จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตคิดนึก เป็นกามาวจรจิต เป็นจิตที่วนเวียนอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มีจำนวน ๕๔ ประเภท ที่เหลือสูงกว่าระดับนี้ เป็นรูปาวจรจิต เป็นอรูปาวจรจิต และสำหรับแม้เพียงกามาวจรจิต ๕๔ ประเภทในขณะนี้ ทุกคนก็มีไม่ครบ เพราะเหตุว่ารวมถึงจิตของพระอรหันต์ด้วย ซึ่งแม้ว่าเป็นจิตที่ดับกิเลสหมด แต่ยังเห็น ยังได้ยิน ยังเป็นไปในรูปทางตา ในเสียงทางหู ในกลิ่นทางจมูก ในรสทางลิ้น ในโผฏฐัพพะ

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าศึกษาโดยละเอียด มีจิตระดับสูงอีกหลายขั้น ซึ่งเป็นจิตที่มีพลัง หรือมีกำลัง ซึ่งถ้าได้ฝึกหัดอย่างยอดเยี่ยมแล้ว จะทำให้สามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ แต่ไม่ใช่ของหลอกลวง หรือไม่ใช่สิ่งที่จะเชื่อง่ายๆ ว่า แม้คนยุคนี้ก็ทำได้ เพราะเหตุว่าคนยุคนี้ไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องเหตุ ที่จะทำให้เกิดผลอย่างนั้น เพียงแต่ว่าอ้างอิงว่าสามารถจะกระทำได้ แต่ถ้าพิจารณาถึงลักษณะของจิตซึ่งมีพลัง คือ มีกำลังของสมาธิขั้นต่างๆ แม้มิจาฉาสมาธิ ก็ยังสามารถที่จะทำให้เกิดรูปเพียงเล็กๆ น้อยๆ ได้ เช่นบางคนอาจจะพยายามรักษาโรคด้วยกำลังของสมาธิ แต่ขณะนั้นเป็นมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ ยังมีพลังที่จะเป็นอย่างนั้นได้

    เพราะฉะนั้นถ้าจิตนั้นระงับจากอกุศล หรือดับกุศลได้ตามลำดับขั้น แล้วก็เป็นผู้มีจิตสงบมั่นคงมาก และก็สามารถที่จะฝึกหัดจิตนั้นในทางหนึ่งทางใด ก็จะทำให้มีจักษุทิพย์จริงๆ ได้ โสตทิพย์จริงๆ ได้ ระลึกชาติจริงๆ ได้ แสดงอิทธิปาฏิหาริย์จริงๆ ได้

    เพราะฉะนั้นถ้าคนสมัยนี้จะกล่าวว่า ไม่เชื่อ ก็หมายความว่ายังไม่ได้พิจารณาว่า เหตุที่จะทำให้สามารถเกิดสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้มีหรือเปล่า ก็คิดว่าไม่มี แต่ถ้าศึกษาแล้ว ก็จะรู้ได้ว่า แม้มีก็ยากแสนยากที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ผู้ที่เชื่อง่าย โดยเพียงใครบอกอย่างไรก็เชื่ออย่างนั้น

    ผู้ที่เป็น พุทธศาสนิกชนที่ศึกษาพระธรรม และเป็นผู้ที่มีเหตุผล แล้วก็รู้ด้วยว่า ผลที่กล่าวนั้นมาจากเหตุอะไร เพราะทรงแสดงไว้โดยตลอด ไม่เป็นผู้ที่จะเชื่อใครได้ง่ายๆ เลย ถ้าจะมีใครบอกว่า บุคคลนี้เป็นพระอรหันต์ พุทธศาสนิกชนจะไม่เชื่อ เพียงแต่คำบอกเล่าว่า นี่เป็นพระอรหันต์ แต่จะต้องรู้ว่า ข้อปฏิบัติอย่างไรที่จะทำให้แม้ปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณก่อนที่จะเป็นพระโสดาบันนั้น ต้องเป็นปัญญาที่รู้อย่างไร และอบรมเจริญถูกต้องอย่างไร

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ผู้ที่ตื่นเต้น หรือว่าเชื่อง่าย ไม่ว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งใดที่มีกล่าวไว้ เช่น นาค หรือครุฑ หรือเทวดา ก็แสดงถึงกำเนิดที่ต่างกันเพราะกรรม ขณะนี้มนุษย์ในโลกนี้จะมีสักกี่แสนกี่พันล้านคนก็ตาม ไม่มีหน้าตาที่เหมือนกัน อาจจะมีส่วนคล้าย แต่กรรมก็จำแนกส่วนละเอียด ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า แม้แต่หัวแม่มือ ไม่มีทางที่จะเหมือนกันเลย หัวแม่มือนี่ไม่ได้ใหญ่เลย เล็กนิดเดียว แต่ว่าเขาก็สามารถจะขยายให้เห็นความต่างกันของลายนิ้วมือของหัวแม่มือได้ ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า ส่วนอื่นก็จะต้องต่างกันด้วย แม้แต่รูปร่างกายแล้วก็จิตใจ

    เพราะฉะนั้นนาค หรือครุฑ หรือเทวดาก็ต้องมีได้ ในเมื่อสัตว์บกสัตว์น้ำก็ยังมีรูปร่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ถึงอย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้นถ้าจะมีปากอย่างครุฑ มีปีกอย่างครุฑ หรืออะไร ก็ไม่ใช่เป็นความน่าอัศจรรย์ ในเมื่อเป็นเรื่องของกรรม เพียงแต่ว่าต่างกาล ต่างสมัย สมัยนี้ไม่มีใครเห็นไดโนเสาร์ แต่จะบอกได้ไหมว่า ไม่เคยมี เพียงสัตว์ชนิดเดียว เพราะฉะนั้นย้อนไปอีก ไกลกว่านั้นอีก จะมีผู้ที่เป็นนาค เป็นครุฑได้ไหม ถ้ามีเหตุที่จะให้เป็นได้ ก็ต้องเป็นได้ แต่เทวดานั้นมีแน่นอน เพราะเหตุว่ากุศลกรรมมีทั้งที่ประณีตและไม่ประณีต การเกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศล แต่ว่ามนุษย์ก็ยังต้องรับผลของอกุศลกรรมยามเจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่าถูกภัยพิบัติต่างๆ น้ำท่วม ไฟไหม้ บางคนก็อาจจะอัศจรรย์ใจในกรรมของแต่ละคน อาจจะอยู่ในห้องเล็กๆ ที่แคบและมีไฟไหม้ ออกมาไม่ได้ พวกที่ติดอยู่ในห้องที่มีลูกกรง เวลาที่เกิดไฟไหม้แต่ละครั้ง

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นอย่างนั้นสัก ๑๐ วัน ๒๐ วัน ๑๐๐ วันด้วยอำนาจของกรรม ก็ย่อมเป็นไปได้ ในภูมิมนุษย์ที่เป็นผลของกุศล ยังได้รับผลของกรรมอย่างนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิดในภูมิซึ่งเร่าร้อนด้วยไฟ หรือด้วยอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ฉันใด ถ้าเป็นผลของกุศลที่ประณีตกว่าภูมิมนุษย์ สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ประณีตกว่า ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฏฏ์ ก็ยังมีเหตุให้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เกิดเป็นเปรต เกิดในนรก หรือว่าเกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดในสวรรค์ หรือแม้แต่จะเป็นพรหมก็ยังต้องเหตุ คือว่าจะต้องเป็นระดับจิตอีกขั้นหนึ่ง คือ ขั้นกุศลสงบมั่นคงถึงฌานจิตซึ่งไม่ใช่ง่าย

    ถาม จิตใต้สำนึกนั้นสามารถจะสั่งการให้ร่างกายของผู้นั้นทำอย่างหนึ่งอย่างใดได้หรือไม่ เช่น นอนหลับแล้วละเมอ ทำสิ่งต่างๆ เพราะอะไรจิตใต้สำนึกจึงสั่งการได้

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องละเอียด แล้วจะต้องเป็นเรื่องเข้าใจถูก แม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยชินหู เช่นคำว่า “จิตสั่งรูป” ขอให้ทราบว่า จิตสั่งไม่ได้เลย จิตเป็นเพียงสภาพรู้ คือ เห็น หรือได้ยิน หรือคิดนึก ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ว่ามีกลุ่มของรูปที่เกิดขึ้นเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน แต่ไม่ใช่จิตสั่ง จิตไม่มีเวลาจะสั่งอะไรเลย จิตเป็นสภาพที่รู้อย่างเดียว ไม่ว่าจิตประเภทใดเกิด จิตประเภทนั้นกำลังรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด

    คำว่า “อารมณ์” ขอเรียนให้ทราบสั้นๆ ย่อๆ ว่า หมายความถึงสิ่งที่จิตกำลังรู้ เมื่อมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่จิตกำลังรู้ และสิ่งที่จิตกำลังรู้นั้นเรียกว่า “อารมณ์”

    เพราะฉะนั้นอารมณ์นี่ก็กว้างขวางมาก เพราะจิตสามารถจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะฉะนั้นแม้นิพพานก็เป็นอารมณ์ของจิตด้วย เป็นอารมณ์ของโลกุตตรจิตซึ่งจะทำให้เป็นพระอริยบุคคลดับกิเลสได้

    เพราะฉะนั้นขอให้ทราบว่า จิตสั่งไม่ได้ เพราะจิตเป็นสภาพที่เพียงเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป แต่ว่ามีรูปที่เกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐานได้

    อย่างเวลาที่ทุกคนนั่ง แล้วก็ลุกขึ้นยืน จิตสั่งอะไรหรือเปล่า จิตสั่งรูปให้ยืนหรือเปล่า

    ผู้ฟัง จิตสั่ง

    ท่านอาจารย์ สั่งว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง สั่งให้ยืน

    ท่านอาจารย์ นึกเป็นคำหรือ หรือนึกอย่างไร เพราะโลภมูลจิตต้องการจะยืนเกิดขึ้น จึงเป็นปัจจัยให้รูปยืนขึ้น เพราะมีความต้องการแม้จะยื่นมือออกไป ก็ไม่ใช่สั่งมือว่ายื่นไป ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เพราะความต้องการที่จะหยิบ เมื่อมีความต้องการอย่างนี้เกิดขึ้น ก็มีรูปที่เกิดเพราะจิตที่ทำให้มีการเคลื่อนไหวไปจับต้องสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ไม่มีการนึกว่าหยิบน้ำส้ม หยิบแก้ว ลุกขึ้น ไม่มีการสั่งอย่างนั้น หรือไม่มีแม้การนึก แต่เป็นการที่เมื่อจิตประสงค์หรือต้องการ โลภมูลจิตอย่างใดเกิด ก็ทำให้รูปเป็นไปอย่างนั้น ตามที่ต้องการ

    อันนี้พอจะเข้าใจ จิตไม่สั่ง หรือว่ายังสั่งอยู่ เพราะจิตมีความต้องการ อย่างเมื่อกี้ที่ลุกขึ้นยืน ต้องการยืนใช่ไหม เมื่อต้องการยืน ก็มีรูปที่ยืนขึ้น เป็นปัจจัยให้รูปนี้ยืนขึ้น เพราะมีจิตที่ต้องการจะยืน แต่ไม่ใช่สั่งว่า ยืนขึ้น ใช่ไหม ไม่ได้นึกเป็นคำอะไรเลย หรือสั่งคะ เวลายืนเมื่อกี้นี้

    ผู้ฟัง ก็โดยอัตโนมัติ อยากรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าจิตที่ต้องการอย่างใด ก็ทำให้อาการของรูปอย่างนั้นเป็นไปตามความต้องการของจิต

    ถ้าพูดถึงจิตที่ขาดความรู้สึกตัว พวกละเมอต่างๆ ก็หมายความว่า มีโลภมูลจิต มีโมหมูลจิตเกิดสลับกัน และโมหะซึ่งเป็นสภาพที่ไม่รู้สึกตัวมีมาก จึงทำให้แม้จะมีกิริยาอาการเคลื่อนไหวไปด้วยกำลังของโลภมูลจิต แต่เพราะเหตุว่าโมหะแทรกคั่นมาก ก็ทำให้ไม่รู้ตัว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    15 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ