โสภณธรรม ครั้งที่ 125


    ตอนที่ ๑๒๕

    มีคำถาม ข้อ ๑. การบูชาไหว้เจ้า ตั้งศาลต่างๆ หรือมีสิ่งเหล่านี้อยู่เพื่อบูชากราบไหว้ จะถือว่างมงาย หรือผิดหลักพุทธศาสนิกชนหรือไม่

    ข้อ ๒. วิญญาณมีจริงหรือไม่ คนเราตายแล้วไปไหน

    ข้อ ๓. การทำบุญ บุญจะตกอยู่กับผู้ทำ แต่ถ้าเราต้องการแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับ เขาจะได้รับหรือไม่

    ตอบ น่าคิด เพราะเหตุว่าได้เรียนให้ทราบแล้วว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุผล เป็นเรื่องของปัญญา

    อย่างข้อ ๑. ที่ว่า การบูชาไหว้เจ้า ตั้งศาลต่างๆ หรือมีสิ่งเหล่านี้อยู่เพื่อบูชากราบไหว้ จะถือว่างมงาย หรือผิดหลักพุทธศาสนิกชนหรือไม่

    เจ้าคือใคร ก็คือผู้ที่เกิดเป็นเทพ ไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ อีกภพหนึ่งอีกภูมิหนึ่ง ใช่หรือไม่คะ ที่เรียกว่าเจ้า คงจะไม่มีใครไปไหว้สัตว์ในนรก พวกเปรต หรือพวกอะไร แต่ต้องไหว้ผู้ที่จากโลกนี้ไปสู่ภูมิที่สูงกว่านั้น ซึ่งควรแก่การที่จะระลึกถึงคุณความดี เพราะฉะนั้นการระลึกถึงคุณความดีของเทพ ไม่ว่าจะเป็นชั้นไหนก็ตาม อันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เป็นโทษเลย ทำให้รู้สึกว่าความดีเป็นสิ่งที่ควรระลึกถึงเพื่อประพฤติปฏิบัติตามด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เขาทำดีก็ดี เป็นเรื่องของเขา แล้วเราก็ทำไม่ดีต่อไป อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์เลย เพราะฉะนั้นอนุสติ คือ การระลึกถึงคุณความดีแม้แต่ของเทวดา ก็เพื่อที่เราจะได้ทำความดีนั้นๆ ด้วย

    แต่ว่าเรื่องของการตั้งศาลนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งภูมิเทพมีที่อยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ไม่จำเป็นต้องอยู่ศาลเล็กๆ เลย ใช่ไหมคะ เล็กกว่าบ้านคนธรรมดา แล้วก็คิดว่าเทพจะต้องอยู่ที่นั่น เทพไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่ศาล เพราะเหตุว่ามีที่อยู่ของเทพ เพราะเหตุว่าเทวดาก็มีหลายประเภท มีตั้งแต่เทวดาชั้นต่ำที่เป็นพวกรุกขเทวดา ซึ่งสูงกว่าภูมิมนุษย์ไม่มากนัก แล้วก็มีที่อยู่ โดยที่เราไม่ต้องไปเป็นห่วงกังวลว่าเราจะต้องหาที่อยู่ให้เป็นที่เล็กๆ ภายในบ้าน และการบูชาอย่างที่ได้เรียนให้ทราบว่า การบูชาเทพโดยถูกต้องนั้นก็ควรจะเป็นเมื่อทำกุศลใดๆ แล้วก็อุทิศให้เทพรู้และอนุโมทนา ไม่ใช่เพียงแต่กราบไหว้ด้วยของหอมหรืออะไรอย่างนั้น เพราะเหตุว่าถ้าเป็นในลักษณะนั้นก็เหมือนกับภูมิมนุษย์ ใครเอาดอกไม้มาให้เรา แต่เขาประพฤติชั่ว เราจะรู้สึกอย่างไรคะ กับเขาไม่ต้องเอาดอกไม้มาให้เรา แต่ว่าเขาประพฤติดี เราจะดีใจมากกว่าไหม หรือว่าใครดีใจเวลาที่คนชั่วเอาดอกไม้มาให้ แต่ว่าไม่ยินดีด้วยเมื่อเขาประพฤติดีโดยไม่เอาดอกไม้มาให้

    นี่ก็ขึ้นอยู่กับคุณธรรมของเทพ หรือของคนที่รับการกราบไหว้บูชา อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ดับกิเลสหมด แต่แม้กระนั้นก็มีคนที่นำทุกอย่างที่สวยงาม เช่นดอกไม้ของหอมต่างๆ ไปถวายเป็นการบูชา โดยที่พระองค์ไม่ได้ทรงยินดีในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เพราะเหตุว่าทรงดับกิเลสหมดแล้ว แต่ทรงให้ประพฤติธรรมเป็นการบูชา เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ทำตามคำสอนที่ศึกษาพระธรรม มีความตั้งใจที่จะดับกิเลส นั่นคือปฏิบัติบูชา ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ จึงได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่เพื่อที่จะรับดอกไม้ แต่เพื่อที่จะให้สัตว์โลกได้หมดกิเลสด้วยการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม

    เพราะฉะนั้นเทพก็เช่นเดียวกัน นานาจิตตัง แล้วแต่เทพไหนจะยินดีอย่างไหน และท่านที่จะบูชาเทพ ก็เลือกเทพได้อีกเหมือนกันว่า จะบูชาเทพชนิดที่ยินดีในพวกดอกไม้ หรือจะยินดีในการประพฤติธรรม

    ข้อ ๒. วิญญาณมีจริงหรือไม่ คนเราตายแล้วไปไหน

    ตอบ คำตอบนี้จะรู้ได้ด้วยตัวเองเมื่อเข้าใจคำว่า วิญญาณ

    วิญญาณไม่ใช่สิ่งที่เกิดหลังจากตายแล้ว แต่ว่าในขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ ทุกคนมีจิต ซึ่งภาษาบาลีใช้หลายคำ ใช้คำว่า มนัส มโน วิญญาณ ก็ได้ หมายความถึงสภาพรู้ อาการรู้ ธาตุรู้ หรือลักษณะรู้

    ถ้าพูดถึงคำภาษาไทย อย่างคำว่า จิต หรือคำว่า จิตใจ ไม่เป็นที่สงสัยเลย ทุกคนมีจิตใจแน่ๆ แต่ถ้าถามให้ละเอียดกว่านั้นอีกนิดหนึ่งว่า จิตอยู่ที่ไหน กำลังมีแท้ๆ และบอกด้วยว่ามี จะตอบได้ไหมคะว่า ขณะนี้จิตอยู่ที่ไหน ถ้ายังตอบไม่ได้ ก็ยังสงสัยเหมือนข้อ ๒ แต่ถ้าตอบได้จะไม่สงสัยเลย คือ กำลังเห็นเป็นจิตชนิดหนึ่ง กำลังได้ยินเป็นจิตชนิดหนึ่ง กำลังได้กลิ่นเป็นจิตชนิดหนึ่ง กำลังลิ้มรสเป็นจิตชนิดหนึ่ง กำลังรู้สิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อนเป็นจิตชนิดหนึ่ง กำลังอยากได้อาหารอร่อยเป็นจิตชนิดหนึ่ง กำลังฟังเพลงเพราะเป็นจิตชนิดหนึ่ง กำลังอยากเห็นสิ่งที่สวยๆ งามๆ เป็นจิตชนิดหนึ่ง กำลังโกรธ กำลังไม่พอใจ ก็เป็นจิตแต่ละชนิด

    เพราะฉะนั้นจิตทั้งหมดมี ๘๙ ชนิด น่าสนใจไหมคะ ทุกคนมีกี่ชนิดที่ควรจะได้รู้ นี่คือการที่จะรู้จักตัวเองทีละเล็กทีละน้อยในวันหนึ่งๆ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า จะใช้คำว่า “จิต” ก็ได้ จะใช้คำว่า “วิญญาณ” ก็ได้ เช่นในขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ ภาษาบาลีใช้คำว่า “จักขุวิญญาณ” หมายถึงจิตที่รู้โดยอาศัยตา เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจักขุปสาทแล้วจะไม่เห็น สำหรับในขณะที่กำลังได้ยิน ขณะที่เสียงกำลังปรากฏ ต้องมีจิตที่ได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังได้ยินเสียง เป็นจิตชนิดหนึ่ง ใช้คำว่า “โสตวิญญาณ” คือ จิตที่รู้โดยอาศัยหู

    นี่ก็คือธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ว่าศัพท์จะทำให้เราเข้าใจผิด โดยเฉพาะใช้คำว่า “วิญญาณ” ก็เลยกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งเสียแล้ว คือ กลายเป็นว่าตายไปแล้ว วิญญาณล่องลอยไปที่ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่หลักที่เป็นพระพุทธศาสนาเลย เพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนามีนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ จะใช้คำว่า “จิต” ก็ได้ หรือจะใช้คำว่า “วิญญาณ” ก็ได้

    ไม่ทราบว่ายังสงสัยหรือเปล่าคะ ในเรื่องของจิตกับวิญญาณ เหมือนสตรีกับนารี เหมือนกันหรือเปล่าคะ ถ้าสตรีกับนารีเหมือนกัน จิตกับวิญญาณก็เหมือนกัน เพราะเหตุว่าได้แก่สภาพรู้ ลักษณะรู้ อาการรู้

    ที่ว่าคนเราตายแล้วไปไหน ที่ว่า “ตาย” ก็คือ แทนที่จะเห็น แทนที่จะได้ยิน ก็มีจิตดวงหนึ่ง ขณะหนึ่ง ทำกิจจุติ คือ ทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ พ้นสภาพจากความเป็นบุคคลนี้โดยสิ้นเชิง จะไม่มีการกลับมาเป็นบุคคลนี้อีก ที่ใช้คำว่า “ตาย” ก็เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป จะมีปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อ คือ เกิดทันที หลังจากที่จุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตต้องเกิดต่อ เหมือนกับในขณะนี้จิตที่เห็นดับ จิตอื่นเกิดคั่น และจิตได้ยินก็เกิด เมื่อจิตได้ยินดับ จิตอื่นเกิดคั่น และจิตเห็นก็เกิด

    เพราะฉะนั้นการเกิดดับของจิต จะไม่มีใครสามารถทำลายได้เลย นี่คือสังสารวัฏฏ์ นอกจากปัญญาที่รู้ความจริง จนกระทั่งดับกิเลสหมดเมื่อไร เมื่อนั้นจึงจะไม่มีปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด

    เพราะฉะนั้นผู้ที่จะไม่เกิดอีก ก็มีบุคคลประเภทเดียว คือ พระอรหันต์ ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ แม้ว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี ก็ยังต้องเกิด แต่ว่าน้อยชาติลง เพราะเหตุว่าได้ดับกิเลสไปเรื่อยๆ

    อาจารย์มีอะไรเพิ่มเติมไหม

    สมพร ที่อาจารย์พูดก็ถูกแล้ว จิตก็คือวิญญาณ วิญญาณก็คือจิต แต่ส่วนมากคนเข้าใจว่าตายแล้วเป็นวิญญาณ แท้จริงที่เรานั่งอยู่นี่ วิญญาณก็เกิดดับทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทางตาก็เรียกว่าจักขุวิญญาณ ทางหูก็เรียกว่า โสตวิญญาณ เหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องตายแล้วจึงมีวิญญาณ วิญญาณไม่ปรากฏกับเราเพราะไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าวิญญาณคืออะไร จิตคืออะไร ความจริงวิญญาณกับจิตก็เป็นสภาพรู้อารมณ์เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่า เห็นปรากฏ ก็คือจักขุวิญญาณนั่นเอง วิญญาณในที่นี้ไม่แตกต่างจากการตายหรือการเกิด ใช้อย่างเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ ถามอาจารย์ว่า การทำบุญ บุญจะตกอยู่กับผู้ทำ แต่ถ้าเราต้องการแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับ เขาจะได้รับหรือไม่

    สมพร เราทำบุญ เราต้องได้บุญแน่นอน แต่ที่จะอุทิศให้คนอื่น ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ถ้าเขายังมีอารมณ์ในบุญที่เราได้ทำ เราอุทิศส่วนกุศลให้ เขาอนุโมทนา เขาก็ได้รับ แต่ถ้าเขาไปเกิดแล้วในที่ที่ไม่รู้ในบุญที่เราอุทิศให้ อันนี้ก็แน่นอนเขาจะไม่ได้รับส่วนกุศลนั้น ขอให้อาจารย์เพิ่มเติมอีกหน่อยครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเขาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็เช่นเดียวกับเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ก็อนุโมทนาไม่ได้ แต่ถ้าเกิดเป็นเปรต แล้วมีทางที่จะรู้ ก็อนุโมทนาได้

    เพราะฉะนั้นการได้บุญ หรือการรับส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ ไม่ใช่เราหยิบยื่นบุญของเราให้คนอื่น แต่หมายความว่าเราอุทิศส่วนกุศลให้เขารู้ แล้วถ้าจิตของเขาอนุโมทนา คือ ยินดีด้วย นั่นคือกุศลจิตเขาเกิด จึงเป็นบุญของเขา ไม่ใช่บุญของเราเอาไปให้เขา แต่ต้องเป็นบุญของเขาเอง คือ กุศลจิตของเขาเองเกิดแล้วอนุโมทนา

    เพราะฉะนั้นแม้ว่าญาติพี่น้องมิตรสหายจะสิ้นชีวิตไปแล้ว เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เผื่อว่าเขาจะรู้และอนุโมทนา แต่ขึ้นอยู่กับเขา ถ้าไม่รู้ ก็อนุโมทนาไม่ได้ หรือถ้ารู้แต่ไม่อนุโมทนา เราจะเอาบุญของเราไปให้เขาก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าบุญของใครก็ขึ้นอยู่กับของคนนั้น ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนนั้น

    ข้อต่อไป ในชีวิตประจำวันบางช่วงรู้สึกสดใส สบายใจ อยากจะกระทำแต่ความดี เช่น ตื่นเช้าสวดมนต์ทำวัตร ฟังธรรม แต่บางช่วงขี้เกียจ ง่วงเหงา ไม่ขยัน คิดว่าคงเกิดจากกิเลสครอบจิตใจ อยากทราบแนวทางปฏิบัติที่จะทำให้จิตใจดำรงมั่นอยู่ในช่วงที่ดีตลอด เช่น ขยัน ไม่มีความเบื่อหน่าย

    ตอบ ดูเสมือนว่าเป็นผู้ที่ดีพร้อมตลอด ไม่อยากจะไม่ดี ไม่อยากจะไม่ขยัน ไม่อยากจะเบื่อหน่าย จะเป็นไปได้ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ค่อยๆ สะสมความดีไปเรื่อยๆ เท่าที่จะกระทำได้ เพราะว่าอกุศลทั้งหลาย กิเลสทั้งหลายที่สะสมมามากกว่ากุศล เพราะฉะนั้นก็ย่อมจะมีโอกาสเกิดและแสดงตัวให้เห็นว่า ความไม่ดีของเรามีแค่ไหน ซึ่งควรจะเป็นอนุสติ ถ้าใครเห็นความไม่ดีของตนเอง คนนั้นก็ควรที่จะทำความดี แล้วก็รู้ว่าอกุศลเป็นสิ่งที่ควรจะละเว้น แทนที่จะอยาก โดยที่ว่าไม่มีเหตุ แต่ว่าจะต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่ากิเลสจะลดลง

    อันนี้คงจะเป็นข้อสุดท้ายที่ถามว่า ถ้ามนุษย์ไม่มีการฆ่าสัตว์เลย แล้วปัจจุบันการดำรงชีวิต โดยเฉพาะการกินอยู่ เราก็กินเนื้อสัตว์แทบทุกวัน ถ้าไม่ฆ่าสัตว์ จะดำรงชีวิตกันอย่างไร เพราะส่วนมากมนุษย์กินเนื้อสัตว์กันส่วนมาก และขอเรียนถามอาจารย์ด้วย อาจารย์ทานเนื้อสัตว์หรือไม่

    ตอบ ดิฉันรับประทานเนื้อสัตว์ เช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลาย ท่านก็บริโภคเนื้อสัตว์ตามพระวินัย คือ สำหรับพระภิกษุแล้ว เมื่อไม่เห็น ไม่ได้ยิน และไม่สงสัยในเนื้อนั้น ท่านก็บริโภคได้ เพราะเหตุว่าคำถามนี้เป็นที่ข้องใจไม่ใช่สำหรับชาวพุทธ แต่ว่าอาจจะเป็นข้อโจมตีหรือข้อตำหนิของศาสนาอื่น ซึ่งเคยได้ยินได้ฟังมาว่า คำสอนของเราดูคล้ายๆ กับ ปากว่าตาขยิบ คือ ในขณะเดียวกันที่ไม่ให้ฆ่า แต่ก็บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องปากว่าตาขยิบ หรือว่าไม่ใช่เรื่องที่จะไม่สอดคล้อง แต่เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นว่า ตราบใดที่ยังมีกิเลส หรือกิเลสยังไม่ดับ ตราบนั้นก็ยังมีการฆ่า แต่ผู้ที่ดับกิเลส เช่นพระโสดาบันเป็นต้นไป จะไม่มีเจตนาฆ่าอีกเลย แต่ว่าบริโภคเนื้อสัตว์ได้

    เรื่องของการบริโภค ไม่ใช่ว่าเนื้อสัตว์จะทำให้เราเกิดปัญญา หรือว่าเนื้อสัตว์จะทำให้เราเป็นพระอริยบุคคล ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเนื้อสัตว์ แต่อยู่ในขณะที่เรากำลังบริโภคว่า เราบริโภคด้วยอกุศลจิต ด้วยกิเลส หรือว่าด้วยจิตที่เป็นกุศล

    นี่เป็นข้อที่ต่างกัน เพราะเหตุว่าการฆ่านั้นแน่นอน ต้องเป็นอกุศลจึงฆ่า จิตที่เป็นโทสมูลจิต ประกอบด้วยความไม่ยินดี ต้องการที่จะทำลายสิ่งนั้นจึงได้ฆ่า ขณะนั้นต้องเป็นอกุศล แต่ขณะที่บริโภคด้วยสติ ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมโดยความเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าสิ่งที่บริโภค ทางตาก็เป็นแต่เพียงสีสันต่างๆ เวลาที่กระทบสัมผัสลิ้นหรือริมฝีปาก ก็อ่อนหรือแข็ง ก็เป็นแต่เพียงธาตุชนิดหนึ่ง เวลาที่กระทบกับลิ้น ก็ปรากฏเป็นรสต่างๆ ซึ่งเกิดดับ

    เพราะฉะนั้นถ้าในขณะนั้นปัญญาเกิดขึ้นรู้ลักษณะของสภาพธรรม ในขณะนั้นก็ต่างกับผู้ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ด้วยความพอใจ

    ลองคิดถึงคน ๒ คน คนหนึ่งไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่มีโลภะขณะที่กำลังบริโภค อีกคนหนึ่งบริโภคเนื้อสัตว์ แต่ว่ามีปัญญาในขณะที่บริโภค ควรเจริญอย่างไหน เพราะเหตุว่าในขณะนั้นไม่ใช่ผู้ฆ่า และตราบใดที่คนทั้งโลกยังบริโภคเนื้อสัตว์ ยังมีกิเลส การบริโภคของผู้ที่เลี้ยงง่าย ก็ย่อมจะไม่มีการพิถีพิถันจนกระทั่งทำให้คนอื่นเขาลำบาก อย่างบางคนอาจจะนิยมพระภิกษุบางรูปที่มักจะถามว่า อาหารที่นำมาใส่บาตรเป็นเนื้อสัตว์หรือเปล่า ถ้าบอกว่าเป็นเนื้อสัตว์ก็ไม่รับ ที่จริงแล้วไม่ถูก เพราะเหตุว่าผู้นั้นมีศรัทธาที่จะถวายภัตตาหาร เพราะฉะนั้นพระภิกษุผู้เป็นผู้เลี้ยงง่าย จะต้องรับเพื่อไม่ให้เขาขาดกุศลที่ควรเป็นไป ขอให้อาจารย์เพิ่มเติมด้วย

    สมพร อันนี้เป็นความจริง การบริโภคเนื้อสัตว์สำหรับคนที่ฆ่าและคนไม่ฆ่าต่างกัน การที่จะห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ แม้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตลอด ๔๕ พรรษาก็ยังไม่สามารถห้ามไม่ให้คนฆ่าสัตว์ได้ ห้ามได้เฉพาะบางพวกที่มีปัญญา และคนที่ไม่มีปัญญาก็มากมาย เพราะฉะนั้นตกถึงปัจจุบันนี้ เราก็ไม่สามารถจะห้ามคนเหล่านั้นได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย

    ทีนี้ก็มาพิจารณาดูอีกอย่างหนึ่งว่า คนมีสติปัญญาบริโภคเนื้อสัตว์ กับคนไม่มีสติปัญญาไม่บริโภคเนื้อสัตว์ อันไหนกุศลจะเกิด อันไหนอกุศลจะเกิด เราก็เข้าใจแล้ว คนหนึ่งฆ่าสัตว์ เราบริโภคเนื้อสัตว์ ก่อนที่จะพิจารณาแยกว่าสิ่งนี้เป็นธาตุ จิตที่เรารู้นี้ก็เป็นธาตุเท่านั้นเอง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เรียกว่าประกอบด้วยปัญญา เมื่อเรามีปัญญาเกิดขึ้นบริโภคเนื้อสัตว์อย่างนี้ กุศลก็เกิดขึ้น คนที่ไม่รู้ ไม่มีปัญญา ไม่ได้ศึกษาเลย ก็บริโภคด้วยความยินดีติดใจในรส ในอาหาร อกุศลก็เจริญมากขึ้น คือเจริญมากขึ้นอย่างไร บางทีไม่ถูกใจ โทสะก็เกิดขึ้น โทสะคืออะไร คือ ความไม่สบายใจ ไม่ชอบใจ บางครั้งเมื่ออร่อย ชอบใจ โลภะก็เกิดขึ้น

    นี้เป็นผลมาจากการไม่ศึกษา ไม่เล่าเรียนของคนที่ไม่มีปัญญา

    ท่านอาจารย์ ข้อที่น่าคิดก็คือว่า ดิฉันเคยเห็นคนที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ฆ่าสัตว์ ฆ่ายุง ง่ายๆ เลย พอยุงกัดก็ตบเลย แต่ว่าเป็นผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ นี่ก็เป็นข้อที่น่าคิด

    ถาม แล้วอย่างเราแต่งตัวสวยๆ แต่งหน้าทาปาก อย่างนี้แสดงว่าเรายังมีโลภะมากใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อันนี้เป็นสิ่งซึ่งยังไม่ค่อยเข้าใจกันว่า ปฏิบัติธรรมคืออะไร และใครปฏิบัติธรรม คนที่ยังมีกิเลสควรปฏิบัติธรรมหรือไม่ควร หรือหมดกิเลสแล้ว จึงปฏิบัติธรรม ทุกอย่างเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาในเหตุผลว่า ถ้าหมดกิเลสแล้ว ไม่มีกิเลสเลย ไม่ต้องปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ผู้ที่จะต้องปฏิบัติธรรม คือ การอบรมเจริญปัญญา คือผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ แล้วก็เพียรที่จะดับกิเลสตามระดับขั้นของปัญญา

    พุทธบริษัทมี ๔ คือ ภิกษุ ๑ ภิกษุณี ๑ อุบาสก ๑ อุบาสิกา ๑ ในสมัยโน้นมีครบทั้ง ๔ แต่ว่าสมัยนี้ไม่ใช่กาลสมัยของพระภิกษุณี เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทก็มี ๓ คือ ภิกษุ ๑ อุบาสก ๑ อุบาสิกา ๑ สำหรับสามเณรก็รวมอยู่ในเพศบรรพชิต คือ เป็นอนุปสัมบัน ถึงแม้จะไม่ใช่พระภิกษุ ก็ยังเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยที่ทรงแสดงไว้ว่า สิกขาบทของสามเณรมีเท่าไร

    ในสมัยของพระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล มีทั้งที่เป็นพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แม้ผู้ที่บรรลุคุณธรรมเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี ก็มีทั้งที่เป็นพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาพระธรรม เป็นผู้ที่ตรงต่อตัวเอง เมื่อตนเองเป็นอย่างไรตามความเป็นจริง ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่การหลอกลวงบุคคลอื่น ถ้าเป็นผู้ที่มีนิจศีล คือ มีศีล ๕ ก็ไม่ทำตนว่าเป็นผู้มีศีลมากกว่านั้น คือถึงศีล ๘ หรือศีล ๑๐

    เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็รู้จักตัวเองได้ว่า ผู้ที่จะเป็นพระอริยบุคคลแม้เพียงศีล ๕ ก็เป็นพระโสดาบันได้ เป็นพระสกทาคามีได้ เป็นพระอนาคามีได้ ไม่จำกัด แล้วแต่ว่าสะสมมาอย่างไร เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมกับท่านสุทัตตเศรษฐี ที่เรารู้จักท่านในนามของ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อท่านได้ฟังพระธรรมแล้ว ท่านก็ได้เป็นพระโสดาบัน แล้วท่านก็ไม่ได้บวชเป็นพระภิกษุเลย แม้อุบาสิกาวิสาขาได้ฟังพระธรรมในขณะที่มีอายุเพียง ๗ ขวบ ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านก็ไม่ได้บวช แล้วท่านก็มีครอบครัว มีบุตร มีหลานมากมาย เพราะว่าท่านรู้จักตัวของท่านเองตามความเป็นจริงว่า ท่านดับความยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ท่านยังไม่ได้ละความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ

    เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ตรง ไม่ใช่หลอกลวง ไม่ใช่ยังมีกิเลสอยู่ แต่ก็ทำเสมือนว่าไม่มีกิเลส บุคคลใดมีกิเลสขั้นใดก็รู้ตัวเองตามความเป็นจริงขั้นนั้น ด้วยเหตุนี้พุทธบริษัทจึงมี ๒ ฝ่าย คือฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายฆราวาส ถ้ายังพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ อบรมเจริญปัญญาได้ อย่าคิดว่าช่างมีกิเลสมากมายเสียเหลือเกิน สติปัญญาคงไม่เกิด ไม่มีอะไรเป็นเครื่องกั้นปัญญา นอกจากความเห็นผิด หรือความไม่รู้หนทางข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ถ้าเป็นผู้รู้หนทางข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง แล้วก็ค่อยๆ อบรมเจริญไป สักวันหนึ่งก็จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ทันที จะต้องเริ่มจากความเป็นพระโสดาบันเสียก่อน ซึ่งยังเป็นผู้ที่ยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    14 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ