โสภณธรรม ครั้งที่ 129


    ตอนที่ ๑๒๙

    ท่านอาจารย์ เหมือนกัน ไม่ว่าเราจะทำบุญแบบไหนก็ตาม กุศลจิตของใครเกิดก็เป็นบุญของคนนั้น อกุศลจิตของใครเกิด ก็ไม่ใช่บุญในขณะนั้น มิฉะนั้นแล้วคนอื่นต้องกระทำให้ใครๆ ได้ โดยที่คนนั้นไม่ต้องทำเลย เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง ไม่เห็นวิญญาณ

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น ไม่ได้ ถ้าเขาไม่อนุโมทนา เพราะเหตุว่าเมื่อเขาเกิดกุศลจิต เขาจึงอนุโมทนา ถ้าเขาไม่เกิดกุศลจิต เขาก็ไม่อนุโมทนา

    ผู้ฟัง ...

    ท่านอาจารย์ ต้องมี เพราะเขาไม่ใช่พระอรหันต์ เมื่อตายแล้วก็ต้องเกิด ทุกคนที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังมีกิเลสอยู่ ตายแล้วไม่ใช่สูญสิ้นไป มีปัจจัย มีเหตุที่จะทำให้เกิด เว้นพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่เกิด

    เรื่องบุญนี่เรื่องใหญ่ เพราะโดยมากไม่ทราบจริงๆ ว่าขณะไหนเป็นบุญ คือ จิตมีหลายชนิด จิตที่โลภก็ไม่ใช่บุญ จิตที่โกรธก็ไม่ใช่บุญ จิตที่หลงก็ไม่ใช่บุญ ขณะใดที่จิตไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ขณะนั้นจึงเป็นบุญ ของใครก็ของคนนั้น ยกบุญของเราให้คนอื่นไม่ได้ แต่บอกให้เขารู้ เพื่อให้เขาอนุโมทนาได้

    อย่างขณะนี้กุศลจิตเกิดก็เป็นบุญ เพราะเหตุว่ามีการสนทนาธรรม มีการอนุโมทนาในท่านที่สนใจและจัดให้มีการสนทนาธรรมขึ้น

    ผู้ฟัง ...

    ท่านอาจารย์ ได้กุศล ไม่ได้หมายความว่าไปได้มาจากอื่น คือว่าจิตเป็นกุศลขณะใด เป็นบุญขณะนั้น

    ผู้ฟัง ที่เราเข้าใจว่า วิญญาณนั้นยังไม่ไปเกิด เราก็แผ่เมตตาให้เขา จนกระทั่งเขาไปเกิด

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็นอย่างนั้นเลย เพราะเหตุว่าทุกคนกำลังมีจิต แต่ว่าไม่เคยรู้ความจริงว่า จิตของเราเป็นอย่างไร จิตอยู่ที่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือ ทุกคนกำลังมีจิต พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดต้องดับ นี่คือความหมายของไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สภาพที่ไม่เที่ยงนั้นเป็นทุกข์ เพราะเหตุว่าทุกคนอยากจะให้ทุกอย่างเที่ยง ไม่อยากให้โลกนี้เสื่อมสลาย ไม่อยากให้ตัวเองต้องจากโลกนี้ไป แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้วทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงทุกขณะ แม้แต่ความตายที่เราเรียกว่า สมมติมรณะ คือ สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะไม่กลับคืนมาสู่ความเป็นบุคคลนี้อีกเลย ทันทีที่จุติจิตซึ่งเป็นจิตดวงสุดท้าย ขณะสุดท้ายของชาตินี้ดับไป มีปัจจัยที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย เหมือนอย่างขณะเมื่อกี้นี้กับขณะเดี๋ยวนี้ ก็เป็นคนละขณะ แล้วก็มีจิตเกิดดับสลับมากมาย ทั้งทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางใจคิดนึก นี่ก็แสดงให้เห็นความรวดเร็วของการเกิดดับของจิต

    เพราะฉะนั้นเวลาที่จุติจิต คือ ตาย ที่เราเรียกว่า ตาย จิตขณะสุดท้ายนั้นดับไป ก็มีปฏิสนธิจิตคือจิตขณะแรกของชาติต่อไปเกิดขึ้น ต้องเกิดทันที ไม่มีใครจะไปยับยั้งการเกิดดับสืบต่อกันของจิตได้

    ผู้ถาม ...

    ท่านอาจารย์ ไม่มีตัวตนถาวรแม้แต่ในขณะนี้จิตก็กำลังเกิดดับ แต่เร็วจนกระทั่งเราไม่รู้สึก จากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่งอย่างแนบสนิทมาก นี่เป็นเหตุที่เราไม่เข้าใจความหมายจริงๆ ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราคิดว่าต่อเมื่อใดเราแก่ เราเจ็บ จึงจะเป็นอนิจจัง แต่ความจริงอนิจจังนั้นรวดเร็วกว่านั้นมาก ขณะที่เห็นเป็นอนิจจัง ดับไป ขณะที่ได้ยินเกิดขึ้นเป็นอนิจจัง ดับไป ขณะที่คิดนึก เป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ดับไป เร็วมาก แล้วก็สืบต่อกัน

    นี่คือสังสารวัฏฏ์ การท่องเที่ยวสืบต่อทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกภพทุกชาติเหมือนกันหมด ชาติก่อนเคยเห็นเหมือนอย่างนี้ ชาติหน้าก็จะต้องเห็นเหมือนอย่างนี้ ชาติก่อนเคยได้ยินเหมือนอย่างนี้ ชาติหน้าก็จะต้องได้ยินเหมือนอย่างนี้ ไม่สิ้นสุด

    ผู้ฟัง อันนี้ถ้าเราสร้างความดี คือ เราไม่ยากจน แล้วเราไปเกิดในภพหนึ่ง ฐานะของเราจะดีขึ้นไหม

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนสภาพจากความเป็นบุคคลนี้โดยเด็ดขาด ไม่มีการกลับมาสู่ความเป็นบุคคลนี้อีกเลย ถึงเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่คนนี้ เพราะว่ากรรมที่ทำให้เป็นบุคคลนี้สิ้นสุด ทุกคนมีกรรมจึงทำให้เกิดขึ้นต่างกัน และกรรมหนึ่งในสังสารวัฏฏ์จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากขณะที่จุติจิตดับ ทันทีที่ตาย กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วกรรมหนึ่ง จะทำให้จิตเกิดในภูมิใหม่พร้อมกับรูปใหม่ แล้วแต่ว่าเป็นผลของกรรมอะไร กรรมดีก็มี กรรมชั่วก็มี ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็เกิดเป็นสัตว์รูปร่างต่างๆ ที่เรามองเห็น เป็นปลา เป็นนก เป็นเต่า เป็นสัตว์ที่น่ารัก ที่น่าชัง แล้วแต่ว่ากรรมวิจิตรมากที่จะทำให้เป็นไปต่างๆ อาจจะเกิดเป็นมนุษย์ อาจจะเกิดเป็นเทวดาก็ได้ แต่ว่าทันทีที่ตายต้องเกิด เราไม่สามารถจะรู้ได้ เหมือนกับชาตินี้เราก็ระลึกไม่ได้ว่า ชาติก่อนเราเป็นใคร อยู่ที่ไหน ตายด้วยลักษณะอาการอย่างไร เหมือนกับชาตินี้ก็ไม่มีทางที่เราจะรู้ได้เลยว่า เราจะสิ้นชีวิตลงในลักษณะอาการอย่างไรเมื่อไร แต่ก็จะต้องมีจิตเกิดสืบต่อเป็นบุคคลใหม่ทันที

    มาจากไหนก็ไม่ทราบ และจะไปที่ไหนก็ไม่ทราบ

    ฟังดูเหมือนเป็นกุศโลบายที่จะทำให้คนทำดี เข้าใจว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นไม่ทราบว่าขณะนี้ จิตกำลังเกิดดับ ถ้ารู้ว่าจิตกำลังเกิดดับ จะรู้ว่าจิตไหนเป็นเหตุ และจิตไหนเป็นผล คือ เราศึกษาพระธรรมหรือฟังพระธรรมอย่างผิวเผินมาก่อน เช่น เรื่องของกรรม ทุกคนรู้ว่ากรรมมีจริง คือ การกระทำดี มี การกระทำบาป มี แล้วเราก็รู้ว่าผลของกรรมก็ต้องมี ในเมื่อกรรมเป็นเหตุมี ผลของกรรมก็ต้องมีด้วย ใช่ไหม

    แต่ทีนี้ถ้าพูดอย่างนี้ว่า กรรมมี ผลของกรรมมี ขณะไหนในวันนี้ที่เป็นกรรม และวันนี้ขณะไหนที่เป็นผลของกรรม คือ ถ้าเราไม่ละเอียด เราจะไม่รู้เลย เราก็ไม่เชื่อเรื่องผลของกรรมทั้งชาติหน้าและชาตินี้ แต่ถ้าเรารู้ว่า ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย และไม่ใช่สิ่งที่จะมาขู่กัน เพื่อที่จะให้ทำความดี แต่มีทางของผลของกรรมที่จะเกิดขึ้น ทางตา มีการเห็นสิ่งที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ ทุกคนอยากจะเห็นสิ่งที่ดีๆ ทั้งนั้น น่าเพลิดเพลินเจริญใจ อยากเห็นดอกไม้สวยๆ อยากฟังเรื่องเพราะๆ อยากได้กลิ่นหอม อยากลิ้มรสอาหารอร่อย อยากกระทบสัมผัสที่สบาย นี่คือผลของกรรม เพราะเหตุว่าแม้ว่าจะอยากสักเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับว่า กรรมใดจะทำให้ได้รับสิ่งที่ดีหรือไม่ดีในขณะไหน ทุกชีวิตต้องเคยรับประทานอาหารอร่อย ขณะที่รสอาหารกำลังกลมกล่อม เป็นผลของกุศลกรรม แต่ถ้ามีพริกที่เผ็ดจัดแล้วเกิดลิ้มรสเผ็ดนั้นในขณะนั้น เป็นผลของกุศลกรรมหรือเปล่า

    นี่เป็นการที่ไม่รู้ได้เลยว่า กรรมใดจะให้ผล กำลังเป็นผลของกุศล อกุศลก็เกิดให้ผลขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าขณะใดเป็นผลของกรรม และขณะใดเป็นกรรม เราก็ต้องทราบว่า ในเมื่อกรรมซึ่งเป็นเหตุมี และผลของกรรมในชาตินี้ก็มี เพราะฉะนั้นเมื่อกรรมยังไม่ได้ดับหมดสิ้นไป ผลของกรรมก็จะต้องมีต่อไปด้วย ตราบใดที่ยังมีเหตุที่จะให้ทำกรรม ก็ต้องมีผลของกรรมเกิดด้วย

    ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถที่จะมีจักษุทิพย์ สามารถที่จะเห็นภูมิไกลๆ หรือว่าโลกอื่น ไม่สามารถที่จะระลึกชาติได้ เราก็เลยไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่า ที่เราเกิดมาได้ เราเกิดมาได้อย่างไร ตาเรามาจากไหน ผมเรามาจากไหน ร่างกายเรามาจากไหน ไม่เคยรู้ ไม่เคยคิด เมื่อเกิดมาแล้วก็ทึกทักว่าเป็นของเรา แล้วก็เป็นเรา แต่ถ้าคิดจริงๆ พิจารณาจริงๆ ศึกษาจริงๆ จะรู้ว่า มีรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมประเภทหนึ่ง และมีรูปซึ่งเกิดเพราะจิตประเภทหนึ่ง มีรูปซึ่งเกิดเพราะอาหารประเภทหนึ่ง มีรูปซึ่งเกิดเพราะอุตุ ความเย็นความร้อนประเภทหนึ่ง คือ เรื่องของตัวเราเอง ทั้งจิตใจและร่างกาย แต่เราไม่เคยรู้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ทำให้เราคิดเองว่า กรรมไม่มี หรือผลของกรรมไม่มี ถ้าคิดว่าชาติหน้าไม่มี ก็คือผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม ยังรับผลของกรรมไม่หมดเลย จบแล้วก็สบาย ทั้งๆ ที่กำลังทำกรรม ผลของกรรมก็ไม่มี ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่า ไม่เชื่อในเรื่องเหตุกับผล

    ถาม ...

    ท่านอาจารย์ ขออนุโมทนาในความสนใจที่จะเข้าใจพระธรรมจริงๆ เพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องปัญญาของผู้ฟัง ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ตอนเย็นๆ ณ พระวิหารเชตวัน ณ พระวิหารเวฬุวัน ก็มีพุทธบริษัทไปเฝ้าเพื่อฟังพระธรรม จุดประสงค์ในการแสดงพระธรรม ก็เพื่อให้ผู้ฟังพิจารณาและเกิดปัญญาของตนเอง เพราะเหตุว่าพระองค์ก็ดับกิเลสหมดแล้ว พระปัญญาสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ไม่มีกิจที่จะต้องกระทำส่วนพระองค์ นอกจากสัตตูปการคุณ คือ การทรงแสดงธรรมเพื่ออุปการะแก่สัตว์โลก เพื่อให้ผู้ฟังเกิดปัญญา

    เพราะฉะนั้นแม้ในสมัยนี้ เหตุการณ์ครั้งนั้นจะผ่านล่วงเลยมาถึง ๒,๕๐๐ กว่าปี ผู้ที่เคยสนใจฟังพระธรรม ก็ยังไม่ทิ้งโอกาสเวลาที่มีพระธรรมที่ได้เคยทรงแสดงไว้ ณ ที่ใด ก็ฟัง และพิจารณา แต่ข้อสำคัญก็คือให้รู้ว่า เพื่อปัญญาของตนเองเกิดขึ้น เข้าใจเหตุและผลโดยสมบูรณ์ โดยไม่ผิด เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของเหตุและผลทั้งสิ้น

    สำหรับการอบรมเจริญวิปัสสนาภาวนา ก็จะต้องเข้าใจแม้แต่ความหมายของคำว่า “วิปัสสนา” คืออะไร เพราะเหตุว่าถ้าพูดถึงโสตาปัตติมรรคจิต โสตาปัตติผลจิตแล้ว ต้องเป็นผลที่เกิดจากการอบรมเจริญปัญญาขั้นวิปัสสนา คือ ขั้นที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นสัจจธรรม เพราะฉะนั้นการที่จะฟังให้เกิดปัญญาจริงๆ ต้องไม่ข้ามแม้สักคำเดียว ที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เช่น คำว่า “ธรรม” คืออะไร

    ธรรม คือสภาพที่มีจริงๆ แต่ว่าสภาพนั้นไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ใครไม่รู้ก็จะยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา หรือว่าเป็นตัวเรา เช่น การเห็น เป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ถ้าไม่รู้ว่าการเห็นเกิดได้อย่างไร และเมื่อเห็นแล้วก็ดับไปอย่างไร ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็เป็นเราเห็น ไม่มีความเป็นอนัตตาเลย ไม่เข้าใจว่าอนัตตาคืออย่างไร

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็จะต้องฟังเรื่องของธรรมว่า เป็นสภาพที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อกล่าวว่า ธรรม ก็อย่าไปเอาธรรมนั้นมาเป็นเรา ธรรมต้องเป็นธรรม จะเป็นใครไปไม่ได้ แม้แต่เพียงการฟังอย่างนี้ ก็จะต้องพิจารณาว่า ในขณะนี้ที่เคยยึดถือว่าเป็นเราทั้งหมด คือ ธรรมแต่ละอย่าง เช่น ได้ยิน ขณะที่กำลังได้ยิน เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นธรรมแล้ว จะเป็นชื่อ สุดา หรือจะชื่อ สุจินต์ หรืออะไรก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าได้ยินเป็นสภาพที่เกิดขึ้นได้ยินเสียงแล้วก็ดับไป

    นี่คือความหมายของธรรม เพราะฉะนั้นที่ว่า การเจริญวิปัสสนา คือ การอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะรู้ธรรมที่มีจริงๆ ที่เป็นสัจจธรรม ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ต้องอาศัยการฟังให้เข้าใจก่อนที่จะถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล ซึ่งถ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่า ทุกขณะในชีวิตเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่ตัวเราอย่างไร แต่เมื่อทรงแสดงแล้ว เราจะต้องฟังแล้วก็เทียบเคียง แล้วก็พิจารณาแม้ในขั้นการฟังว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ธรรมไม่มีการข้ามขั้นเลย ต้องฟังโดยละเอียดก่อนที่ปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณที่จะถึงโสตาปัตติมรรคจิตหรือโสตาปัตติผลจิต จะต้องมีปัญญาขั้นฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจก่อนเป็นขั้นต้น แล้วภายหลังสติปัฏฐานจึงจะระลึกตรงลักษณะของสภาพนั้น เป็นผู้มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏ เพื่อที่จะประจักษ์ความไม่เที่ยง คือ การดับไปของสภาพธรรมนั้น เป็นวิปัสสนาญาณอย่างชัดเจน ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ไม่เคยประจักษ์แจ้งมาก่อนตามลำดับขั้น ก่อนที่จะถึงโสตาปัตติมรรคจิตและโสตาปัตติผลจิต

    เพราะฉะนั้นผู้ที่อบรมเจริญปัญญานั่นเอง เป็นผู้ที่รู้ตัว โดยที่คนอื่นไม่ต้องบอก เช่น ขณะนี้ฟังเรื่องของเห็น ฟังเรื่องของได้ยินว่าเป็นธรรม แต่ละขั้นมีความเข้าใจในขั้นนี้มากน้อยแค่ไหน คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลย แต่คนที่กำลังฟังแล้วก็กำลังพิจารณาว่า เป็นธรรมจริงๆ เอาเราออก เอาชื่อออก เอาสัตว์ออก เอานกออก เอาแมวออก เอาสุนัขออก ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมที่เห็นเหมือนกัน ได้ยินเหมือนกันทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นการเห็นก็เป็นของจริงอย่างหนึ่ง การได้ยินก็เป็นของจริงอย่างหนึ่ง ไม่ต้องตั้งชื่ออะไรเลย เป็นธรรม ที่สาธารณะทั่วไปกับทุกคน นี่จึงจะเอาการยึดถือว่าเป็นตัวตนออกจากชีวิตประจำวันทุกๆ ขณะได้

    เพราะฉะนั้นในขณะที่ฟังเข้าใจ ก็เป็นสติขั้นหนึ่ง แล้วผู้นั้นเองก็รู้ด้วยตนเองว่า ยังสงสัย หรือว่าเข้าใจ หรือว่าไม่แน่ใจ หรือว่าต้องฟังอีก ถึงจะเข้าใจยิ่งกว่านี้อีก เพราะฉะนั้นปัญญาแต่ละคน บุคคลนั้นเป็นผู้รู้ แม้แต่สติของใครจะเกิดระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรม คนอื่นก็ไม่รู้ ขณะนี้ใครจะคิดอะไร คนอื่นรู้ไม่ได้เลย ใครจะบอกได้ไหมว่า ท่านที่นั่งข้างๆ คิดอะไร ไม่มีทางเลยที่จะรู้ได้ ใจใครก็ใจคนนั้น คิดเรื่องอะไรก็เป็นเรื่องของคนนั้น ดิฉันคิดถึงกรุงเทพ คิดถึงพี่น้อง คิดถึงญาติ คนที่นี้ไม่สามารถที่จะคิดอย่างดิฉันได้เลย เพราะเหตุว่าเหตุที่จะให้คิดต่างกัน ซึ่งแต่ละท่านที่นั่งที่นี่ ดิฉันจะไปคิดถึงญาติของท่าน พี่น้องของท่าน ดิฉันก็คิดไม่ได้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพบ แต่เมื่อไรที่เห็นแล้วก็คิดได้ รู้จักแล้ว ต่อไปนี้ก็คิดได้ว่า เคยเห็นท่านที่นี่ กำลังนั่งฟัง แล้วก็ถามเรื่องนั้นเรื่องนี้

    เพราะฉะนั้นเรื่องของใจของแต่ละคน แม้แต่ความคิดก็ต่างกันตามการเห็น การได้ยิน เห็นแล้วชอบ ก็คิดเรื่องชอบ เห็นแล้วไม่ชอบ ก็คิดเรื่องไม่ชอบ

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า แม้ปัญญาและสติก็เป็นเฉพาะตน ที่ใช้คำว่า “ปัจจัตตัง” หมายความว่าบุคคลอื่นรู้ไม่ได้ นอกจากผู้นั้นเอง เมื่อปัญญาของผู้นั้นเกิด เช่นในขณะนี้ ปัญญาของใครที่เป็นโสตาปัตติมรรคจิตเกิด คนอื่นจะรู้ไม่ได้เลย นอกจากคนนั้นเอง ไม่ใช่คนนั้นไม่รู้ แล้วต้องให้คนอื่นมาบอก นั่นจะไม่เป็นเหตุเป็นผลเลย

    ถาม อยากทราบว่า ทำสมาธิมานานทำไมปัญญาไม่เกิด

    ท่านอาจารย์ ขออนุโมทนาที่ทราบความจริง เพราะเหตุว่าเมื่อทำสมาธิ ผลก็คือสมาธิ ไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญาจึงไม่เกิด เหตุเป็นอย่างไร ผลก็ย่อมเป็นอย่างนั้น ถ้าทำสมาธิ ผลก็คือสมาธิ ถ้าอบรมเจริญความเข้าใจ ความเข้าใจก็ค่อยๆ เจริญขึ้น เหตุเป็นอย่างไร ผลต้องเป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟัง ...

    ท่านอาจารย์ ญาณต้องเป็นปัญญา และเป็นปัญญาขั้นสูงด้วย ก็คือขั้นประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นยังไม่ควรใช้คำว่า “ญาณ” ถ้าไม่มีความเข้าใจอะไรเลย

    ผู้ฟัง ...

    ท่านอาจารย์ เวลาไม่จำกัด เวลามากหรือน้อยไม่สำคัญ สำคัญที่หนทางข้อปฏิบัติถูกหรือผิด และที่กล่าวว่า เห็นอย่างอื่นที่คนอื่นไม่เห็น ถ้าปัญญาที่ไม่สามารถจะรู้ความจริงของกำลังเห็นจริงๆ อย่างนี้ตามปกติ ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ไม่มีประโยชน์ เพราะเหตุว่าดับกิเลสไม่ได้

    ผู้ฟัง ...

    ท่านอาจารย์ ในขณะนี้ทางตาเป็นสิ่งที่มีจริง ทางหูมีจริง ทางจมูกมีจริง ทางลิ้นมีจริง ทางกายมีจริง ทางใจมีจริง ยังไม่ได้เป็นซากศพ เพราะฉะนั้นรู้อย่างไรจะถูกต้องกว่ากัน เพียงคิดถึงซากศพ แล้วก็เข้าใจว่าจิตควรจะสลด แต่เมื่อไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ที่รู้ลักษณะของสัจจธรรม ก็ไม่สลด

    ผู้ฟัง ...

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ทำได้ คือว่าต้องฟังเรื่องของสภาพธรรม คือ นามธรรมและรูปธรรมในขณะนี้จนกว่าจะเข้าใจ ต้องตั้งต้นใหม่ ถ้าปัญญาขั้นการฟังไม่มี จะไปทำสักเท่าไรก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ อันนี้สำคัญมากทีเดียว

    ถาม จริงๆ แล้วสภาพปัจจุบันของเรา ...

    ท่านอาจารย์ คือ โสตาปัตติมรรคจิต เป็นพระอริยบุคคลที่ประจักษ์แจ้งอริยสัจจะ ต้องดับความเห็นผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา หรือเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่ใช่เห็นอย่างอื่น แต่ว่าสามารถจะประจักษ์แจ้งการเกิดดับของเห็น ซึ่งต่างกับขณะที่ได้ยิน รู้ลักษณะของนามธรรมที่แยกขาดจากลักษณะของรูปธรรม จนกระทั่งโลกไม่ได้ปรากฏติดต่อกันให้เห็นว่าเป็นตัวคนที่กำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ เพราะเหตุว่าจิตเกิดดับเร็วมาก สติและปัญญาก็จะต้องระลึกจนประจักษ์แจ้งได้จริงๆ ว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างไม่ใช่ตัวตน เพราะเป็นแต่เพียงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ กระจัดกระจายสิ่งที่เคยรวมติดกันให้มีความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนออกได้ ไม่ใช่เห็นอย่างอื่น

    ถาม ...

    ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยวกับสมาธิ ไม่เกี่ยวเลย เพราะเหตุว่าสมาธิมี ๒ อย่าง คือ มิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ นี่ชัดเจนมากในพระไตรปิฎก ถ้าขณะใดที่ปัญญาไม่เกิด ไม่ว่าจะทำมา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ก็เป็นมิจฉาสมาธิ เพราะเหตุว่าไม่ได้เกิดความเข้าใจในเหตุในผล ในลักษณะของสภาพธรรม

    การอบรมเจริญภาวนา ต้องทราบคำว่า “ภาวนา” หมายถึง อบรมให้สิ่งที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    14 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ