โสภณธรรม ครั้งที่ 105


    ตอนที่ ๑๐๕

    กุศลจิตก็มี อกุศลจิตก็มี แล้วแต่ว่ากุศลจิตจะเกิดมาก หรืออกุศลจิตจะเกิดมาก มีทั้งอกุศลและกุศล และขณะไหนบ้างที่สติสัมปชัญญะเกิด สามารถที่จะรู้ตรงลักษณะของอกุศลว่า ขณะนี้ต่างกับขณะที่เป็นกุศล ถ้าไม่สามารถจะรู้อย่างนี้ เจริญสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนาไม่ได้ ก็ยังคงเป็นเรื่องของกุศลจิตและอกุศลจิตในตำรา

    คือ ฟังเรื่องของอกุศลจิต รู้ว่ามีโลภมูลจิต มีโทสมูลจิต มีโมหมูลจิต และก็ฟังเรื่องของกุศลจิต ก็รู้ว่ามีมหากุศลจิต เป็นไปในทานบ้าง เป็นไปในศีลบ้าง เป็นไปในความสงบบ้าง แต่ขณะนี้เอง ขณะที่กำลังนั่ง ขณะนี้นั่งแล้วก็มีเห็น มีได้ยิน เรื่องของปรมัตถธรรมทั้งหมดที่ศึกษา จะต้องมีปัญญาอีกขั้นหนึ่ง คือไม่ใช่ขั้นเพียงฟังเรื่องของจิต เจตสิก รูป แต่เป็นขั้นที่รู้ว่า ในขณะนี้ที่กำลังนั่ง แล้วก็อาจจะลืมตาบ้าง หลับตาบ้าง มีการเคลื่อนไหวส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายบ้าง ไม่ได้อยู่เฉยเลยนี่เพราะอะไร ถ้าเป็นคนที่ช่างคิดพิจารณาในเหตุในผล ประกอบกับการได้ฟัง ก็จะรู้ได้ว่า เพราะไม่ใช่มีแต่รูปร่างกาย แต่ว่ามีนามธรรมด้วย คือ มีจิตด้วย ถ้าเพียงรู้ว่ามีจิตใจ มีนามธรรม และมีรูปร่างกาย เท่านี้ก็ยังไม่พอสำหรับปัญญาที่รู้เพียงเท่านี้เอง รู้เพียงเท่านี้เองดับกิเลสไม่ได้

    แต่ขณะนี้มีพร้อมทั้งรูปที่ประชุมรวมกันเป็นร่างกาย และก็มีทั้งนามธรรม คือ จิต เจตสิกด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นผู้ละเอียดก็จะเริ่มที่จะศึกษาลักษณะของนามธรรม ซึ่งทำให้รูปเคลื่อนไหวต่างๆ หรือว่าแม้ว่ารูปจะไม่เคลื่อนไหว แต่จิตเคลื่อนไหว คือ คิดนึกอยู่ตลอดเวลา ไม่มีจิตของใครอยู่เฉย พอเห็นแล้วก็คิดนึก แต่ไม่ได้รู้สึกตัวเลย บางทีก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคิดอะไร เวลาที่ได้ยินก็ไม่มีใครอยู่เฉย ก็มีการคิดนึก เวลาได้กลิ่น เวลาลิ้มรส เวลารู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีจิตที่คิดนึกอยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้นเวลาที่สามารถรู้ลักษณะของนามธรรม ซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ก็จะตรงกับการศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ ที่พิสูจน์ได้ คือ ไม่ใช่เพียงพอใจว่า รู้ว่ามีนามธรรมกับรูปธรรมเท่านั้น หรือรู้ว่ามีจิต เจตสิก รูป กี่ดวง กี่ชนิด กี่ประเภทในตำรา แต่จะต้องรู้ในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน หรือว่ากำลังคิดนึกในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นผู้ละเอียดที่จะสังเกต ศึกษา พิจารณาสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟัง และสภาพธรรมเหล่านั้นก็มีให้พิสูจน์ทุกขณะในชีวิตประจำวัน เพียงแต่ว่าเมื่อการฟังยังน้อย ก็ไม่เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกได้ว่า จะต้องศึกษาลักษณะของนามธรรม ซึ่งไม่ใช่รูปธรรม แม้ขณะที่กำลังนั่งอยู่ในขณะนี้

    พระ จากที่บอกว่า นอกจากนามธรรมและรูปธรรม ยังต้องรู้การเคลื่อนไหวต่างๆ ทีนี้สนทนาธรรมกัน ก็เกิดปัญหาว่า วิปัสสนาญาณ ๓ ขั้นแรกเป็นเรื่องของจินตา คือผู้ที่ฟังการเจริญสติปัฏฐานแล้วก็พูดออกมา ขั้นนามรูปปริจเฉทญาณ ท่านเข้าใจกันอย่างนี้ว่า ขณะที่สภาพธรรมซึ่งเป็นปรมัตถธรรมปรากฏเช่น เสียง สติเกิดขึ้นระลึกลักษณะของเสียง หลังจากนั้นก็คิดและรู้ตามปริยัติว่า นั่นแหละคือลักษณะของรูปธรรม

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ ถ้าอย่างนั้นนามรูปปริจเฉทญาณก็เกิดเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่นึกเอาก็เป็นนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว นี่คือความเข้าใจผิด ไม่ได้พิจารณาว่า วิปัสสนาญาณ ไม่ใช่เป็นการคิดตาม ขณะนี้ทุกคนเห็นแล้วก็เหมือนนึกขึ้นได้ว่ากำลังเห็นนี่ เป็นอาการรู้ เป็นลักษณะรู้ เป็นธาตุรู้ และก็กำลังนั่งอยู่ขณะนี้เป็นรูป เท่านี้เป็นนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว ไม่ต้องเจริญอะไรเลย สติปัฏฐานเพื่ออะไร สติปัฏฐานมีลักษณะอย่างไร สติปัฏฐานระลึกรู้อะไร ก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นถ้าเข้าใจผิดอย่างนี้ เพียงคำว่า “จินตญาณ” ก็ไม่ได้เข้าใจว่า วิปัสสนาญาณทุกญาณรู้อะไร ทำไมจึงเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ

    พระ ปัญญาจะต้องรู้ขณะที่ธรรมกำลังปรากฏ และเข้าใจในสภาพธรรมที่ยังปรากฏอยู่ โดยไม่ใช่ธรรมดับไปแล้ว แล้วมานั่งคิดขึ้นมา ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ได้เคยกล่าวถึงเรื่องของตรุณวิปัสสนาญาณ ๓ นามรูปปริจเฉทญาณ ปัจจยปริคคหญาณ และสัมมสนญาณว่า ที่ใช้คำว่า “จินตญาณ” เพราะเหตุใด ไม่ใช่เพียงการคิด และขณะนี้เองเป็นวิปัสสนาญาณทั้ง ๓ ญาณ ถ้ากล่าวว่าทั้ง ๓ ญาณนี้เป็นจินตญาณ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะรู้ว่า คำว่า “วิปัสสนา” คืออะไร “ญาณ” คืออะไร

    ญาณ คือ ความรู้ชัด ความรู้

    วิปัสสนา คือ เห็น

    ความรู้ซึ่งเกิดจากการเห็น คือ การประจักษ์แจ้ง ขณะที่วิปัสสนาญาณแต่ละญาณเกิด ไม่มีอัตตา ไม่มีโลก ไม่มีตัวตน มีแต่ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ในขณะที่วิปัสสนาญาณซึ่งได้แก่มหากุศลญาณสัมปยุตต์เกิดทางมโนทวาร จึงสามารถที่จะรู้เฉพาะลักษณะของธาตุรู้ได้

    พระ แต่ว่าต้องเข้าใจถึงการทำลายอัตตา ความเคยยึด เคยเห็นผิด หรือว่าเคยรวมกลุ่มรวมก้อนกันอยู่

    ท่านอาจารย์ และเมื่อกล่าวว่าเป็นผล ก็จะต้องมีเหตุด้วยว่า วิปัสสนาญาณที่จะเกิดประจักษ์แจ้งอย่างนั้นเหตุมาจากไหน ถ้าไม่รู้ถึงเหตุ แล้วกล่าวว่าเป็นผลแล้วนั้นไม่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นเหตุคือสติปัฏฐาน จากการฟังที่รู้ว่า นามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ แล้วสติระลึกที่ลักษณะของนามธรรม แล้วแต่ว่าขณะนี้เป็นนามธรรมประเภทใด แล้วก็รู้ในอาการรู้นั้นเพิ่มขึ้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งที่จะเป็นวิปัสสนาญาณ ที่สามารถที่จะแยกขาดลักษณะของนามธรรมออกจากรูปธรรมทางมโนทวาร

    ต้องมีเหตุ ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุ มิฉะนั้นแล้วใครก็ตามที่คิดว่าฟังแล้วคิด เพราะกล่าวว่า “จินตญาณ” เพราะฉะนั้นเพียงแต่ได้ยินแล้วก็บอกว่า เสียงเป็นรูป ได้ยินขณะนี้เป็นนาม แล้วก็จะเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ปัจจัยปริคคหญาณ สัมมสนญาณ เพราะว่าดับไปหมดแล้ว เท่านี้ไม่ได้

    อีกประการหนึ่งที่กล่าวว่า เป็นจินตญาณ ก็เพราะเหตุว่าแม้ในขณะนั้นมีปัจจัยที่จะให้ตรึกถึงลักษณะของสภาพธรรม แต่ว่าสภาพที่ตรึกนั้นเป็นนามธรรม นี่คือความต่างกันของวิปัสสนาญาณและไม่ใช่วิปัสสนาญาณ

    พระ ตรึกในขณะที่สภาพธรรมยังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ในขณะที่กำลังเป็นวิปัสสนาญาณได้ จึงเป็นจินตญาณ

    พระ แต่ถ้าไม่เป็นจินตญาณ จะไม่มีลักษณะของการตรึก

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เป็นแต่เพียงคิด แต่แม้ขณะที่กำลังคิด เช่นในขณะนี้ คิดก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่งซึ่งต่างกับเห็น เพราะฉะนั้นลักษณะนั้นปรากฏความต่างกันทางมโนทวาร แต่ว่าเมื่อยังมีปัจจัยที่จะให้ตรึกหรือนึกถึงอารมณ์ที่กำลังปรากฏ ลักษณะของนามธรรมที่คิดก็เกิดได้ ในขณะที่สภาพธรรมกำลังปรากฏที่เป็นวิปัสสนาญาณ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่าเป็นจินตญาณ เพราะเหตุว่ายังไม่สมบูรณ์ถึงขั้นของอุทยัพพยญาณ ซึ่งประจักษ์การแยกขาดจากกันที่ชัดเจนและก็ละเอียดกว่าสัมมสนญาณ

    พระ เพราะฉะนั้นการที่ไม่เกิดการตรึก เพราะเห็นชัดแล้วก็แยกขาดแล้ว ลักษณะของการตรึกก็ต้องเกิดขึ้นคิดอีก จึงไม่เกิดขึ้น ต่างกันตรงนี้

    ท่านอาจารย์ สภาพคิดนึกนี่จะติดตามไปอยู่เสมอ ท่านผู้ฟังจะสังเกตได้ว่า ไม่มีใครยับยั้งความคิดได้ แม้แต่เวลาที่ เริ่มที่สติปัฏฐานจะเกิดระลึกลักษณะของแข็งที่กำลังปรากฏ บางคนก็คิดว่า แข็งเป็นรูป แต่เมื่อเป็นวิปัสสนาญาณ ลักษณะของนามธรรมทั้ง ๒ อย่างที่รู้แข็ง ก็เป็นรู้แข็ง ที่คิดก็เป็นคิด แยกขาดจากกัน

    พระ ละเอียดขึ้น ทำให้เข้าใจได้ว่า ขณะที่คิดและตรึก วิปัสสนาญาณยังไม่เกิด แล้วอาตมาก็เคยคิดอย่างนี้มาก่อนเหมือนกันว่า คงจะเป็นแล้ว คงจะใช่แล้ว หลังจากนั้นคิดแล้วก็ใช่ ตามปริยัติหมด

    ท่านอาจารย์ ตามปริยัติ แต่ไม่ใช่เป็นการประจักษ์แจ้ง คือคิดตามที่ได้ศึกษา แล้วก็เข้าใจเอาเองว่าขณะนั้นเป็นวิปัสสนาญาณ

    นิภัทร อยากจะเรียนถามว่า สมาธิที่เป็นบาทของวิปัสสนา คือมีพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ เพราะว่าผู้ที่มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมสามารถรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ คำว่า “จิตตั้งมั่น” หรือว่าจิตเป็นสมาธิ ที่จะให้รู้แจ้งตามความเป็นจริงนั้น มันหมายถึงสมาธิแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ ในมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาสมาธิด้วย แต่ว่าที่จะเป็นสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ ๘ ได้ จะต้องเกิดร่วมกับสัมมาทิฏฐิและสัมมาสติ ถ้าไม่เกิดร่วมกับสัมมาทิฏฐิและสัมมาสติ และองค์อื่นๆ ก็ไม่ชื่อว่า สัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ ๘

    เพราะฉะนั้นสัมมาสมาธิที่จะทำให้รู้แจ้งลักษณะของอริยสัจจธรรม จะต้องเป็นสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่สัมมาสมาธิอื่นๆ ในขั้นของทาน ในขั้นของศีล หรือในขั้นของการเจริญสมถภาวนา

    นิภัทร ไม่ใช่ว่าไปเจริญสมาธิจนจิตสงบแล้ว สติปัญญาจะรู้เองเห็นเอง โดยไม่ต้องไปทำอย่างอื่น หมายความว่าอาศัยสมาธินั่นแหละ เมื่อจิตมีสมาธิแล้วก็จะรู้แจ้งตามความเป็นจริงเองอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ โดยมากท่านผู้ฟังจะได้ยินคำพูดอย่างนี้บ่อยๆ และก็จะมีการปฏิบัติอย่างนี้ตามคำพูดอย่างนี้ด้วยว่า ทำสมาธิไป แล้วปัญญาก็จะเกิด แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ แม้แต่ว่าที่ว่าทำสมาธิไปก่อน แล้วปัญญาจะเกิดทีหลัง ควรที่จะถามผู้ที่แนะนำนั้นว่า ทำสมาธิอย่างไร ไม่ใช่บอกโดยที่ไม่เกิดปัญญาอะไรเลย แล้วก็นั่งทำ แล้วก็ไม่รู้ว่าทำอะไร แล้วก็หวังว่าปัญญาจะเกิดขึ้น ถ้าจะถามบุคคลที่ไปทำสมาธิเสียก่อนเถอะ แล้วปัญญาจะเกิด ถ้าถามท่านผู้นั้นว่า ปัญญาที่จะเกิดนั้น ปัญญานั้นรู้อะไร ท่านผู้นั้นจะตอบได้ไหมว่า ปัญญานั้นจะรู้อะไร

    นิภัทร ก็คงรู้แบบนึกคิดเอาเอง เพราะว่าเท่าที่สังเกตดูเวลาผู้บรรยายในทำนองนี้คือเมื่อทำสมาธิไป เมื่อจิตเข้าที่ หรือจิตรวม จิตตกภวังค์ ที่เขาพูดกัน และก็จะใช้จิตนั้นแหละคิดถึงสภาวธรรมต่างๆ เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ก็ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแต่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม กระผมเข้าใจว่าเป็นการคิดเอา โดยที่ไม่ได้เข้าใจสภาวธรรมที่ปรากฏจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ขออนุโมทนาท่านผู้ฟังที่ท่านช่วยกรุณาเป็นตัวแทน หรือไม่ทราบว่าท่านมีความคิดอย่างนี้หรือเปล่า แต่ท่านก็จะช่วยให้ท่านผู้ฟังอีกหลายท่านทีเดียว หรือท่านที่ชอบปฏิบัติ ที่เคยทำสมาธิมา แล้วก็ยังไม่ได้สนทนาธรรมที่จะพูดกันถึงเรื่องเหตุผล เป็นโอกาสที่จะให้ดิฉันขอซักถามสำหรับเป็นตัวแทนของท่านที่อาจจะเคยทำสมาธิ แล้วก็คิดว่าปัญญาจะเกิด

    ถ้าดิฉันจะทำอย่างที่ว่า จะให้ดิฉันทำสมาธิอย่างไร เริ่มสอนให้ทำสมาธิ จะให้ดิฉันทำอย่างไร คือทุกอย่างที่พูดต้องทำ เมื่อคิดอย่างไร เข้าใจอย่างไร พูดอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ถ้าคิดถูก เข้าใจถูก ก็ทำถูก ถ้าคิดผิด พูดผิด เข้าใจผิด ก็ทำผิด

    เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดว่า ทำสมาธิเสียก่อน แล้วปัญญาจะเกิดทีหลัง ก็ขอเรียนถามว่า จะให้ดิฉันทำสมาธิอย่างไร

    นิภัทร เท่าที่ได้เคยสัมผัสมาพอสมควร อย่างสมมติว่าให้เจริญพุทโธ ก็จะบริกรรมภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ

    ท่านอาจารย์ ในขณะที่พูดคำว่า พุทโธ จิตเป็นกุศลหรือเปล่า

    นิภัทร จิตอาจจะเป็นกุศลก็ได้ ไม่เป็นกุศลก็ได้

    สุ. ถ้าไม่เป็น

    นิภัทร ถ้าไม่เป็นก็ ขณะนั้นหวังจะให้จิตสงบ

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่เป็น ทำอย่างไรก็ไม่เป็น จะสอนอย่างไรให้เป็น ถ้าเอาเด็กๆ มาพูดว่าพุทโธ แล้วเอาผู้ใหญ่รุ่นขึ้นอีกมาหน่อยพูดว่าพุทโธ จะรู้ได้ไหมว่า ทั้งสองคนจิตเป็นกุศลหรือเปล่า

    นิภัทร กระผมสังเกตดู แม้จะท่องคำว่า พุทโธ หรือคำว่า อรหันต์ ก็ดี ไม่ได้เข้าใจความหมายของคำว่า พุทโธ แล้วไม่เข้าใจความหมายของคำว่า อรหันต์ ว่าหมายถึงอะไร ก็เป็นแต่ท่องๆ ไป สมมติว่าจะเปลี่ยนคำว่า พุทโธ หรืออรหันต์ เป็นคำอื่น อย่างศาสดาอื่น ที่ไม่ใช่ศาสดาในศาสนาพุทธของเรา ผมก็ว่ามีค่าเท่ากันกับใช้คำว่า พุทโธ หรืออรหันต์

    ท่านอาจารย์ แล้วยังอยากจะให้ดิฉันทำสมาธิอย่างนี้หรือ คือท่องเฉยๆ พูดเฉยๆ แล้วก็เป็นอกุศล หรือเป็นกุศล ก็ไม่ทราบ หรือจะใช้คำอื่นแทนก็ได้ ไม่มีเหตุผลพอ แล้วปัญญาจะรู้อะไร ถ้าท่องอย่างนี้ พอถึงขั้นของปัญญาที่หวังว่าเมื่อเป็นสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดนั้น ปัญญารู้อะไร กำลังท่องๆ อยู่อย่างนี้ แล้วปัญญาจะรู้อะไร

    นิภัทร ปัญญารู้ว่า เท่าที่ฟังดู ก็รู้ว่า ตัวเราไม่มีอะไร นอกจากดิน น้ำ ไฟ ลม

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ ก็กำลังท่อง พุทโธ อยู่ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีอะไร นอกจากดิน น้ำ ไฟ ลม

    นิภัทร คือหลังจากท่องแล้ว เข้าใจว่าจิตสงบ หลังจากพยายามทนทรมานนั่งจนเหนื่อย รู้สึกว่าจิตสงบ พอรู้ว่าจิตสงบก็คิดไปว่า ร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าเป็นดิน ก็เป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียทีแรก ไม่ต้องไปนั่งท่องพุทโธ ไม่ได้หรือ

    นิภัทร คือคิดแต่ทีแรก คิดไม่ออก

    ท่านอาจารย์ ทำไมไม่สอนให้เข้าใจ แทนที่จะไปท่อง ให้รู้ว่าพุทโธนั้นตรัสรู้อะไร ที่จะให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตัวเองที่จะรู้ว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พุทโธ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้ตรัสรู้ เป็นผู้เบิกบานนั้นเพราะตรัสรู้อะไร ให้เข้าใจอย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ

    นิภัทร ที่กระผมว่ามาทั้งหมด เป็นความเข้าใจที่กระผมมารู้ตอนหลังแล้วว่า เป็นความเข้าใจที่สอนกันผิด และก็ไม่ทราบว่าผิดกันมาตั้งแต่เมื่อไร แล้วก็ยังจะผิดต่อไปอีกเท่าไรก็ยังไม่ทราบ เพราะว่าเท่าที่สนทนากับผู้ที่เคยทำอย่างนี้มาแล้ว เขาไม่มีทางที่จะมาเชื่อ มาเข้าใจในทางที่ถูกต้องได้ เพราะว่าเขาทำอย่างนั้น เขาเห็นว่าถูกต้องแล้ว เขายึดถือคำว่า ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิแล้ว ปัญญาจะเกิดไม่ได้ เขาจะเถียงเราอย่างนี้เสมอไป เพราะฉะนั้นกระผมจึงบอกว่า สมาธิที่ว่าจะต้องเจริญนั้น อยากจะเข้าใจให้แน่ชัดว่า ไม่ใช่สมาธิที่สงบนิ่งอยู่เฉยๆ

    มันเป็นสมาธิที่ประกอบด้วยปัญญาที่เกิดกับองค์มรรค ไม่ใช่สมาธิที่ไปนั่งนิ่งแล้วเห็นอะไรต่ออะไร แล้วก็นึกว่าตัวเองได้เห็นในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งกระผมเห็นว่า เป็นลัทธิของอาจารย์ คือหมายความว่าเชื่อตามอาจารย์สอนอย่างไร ก็ไม่ต้องคำนึงถึงหลักฐาน ไม่คำนึงถึงถูกต้องหรือผิดอะไรอย่างนี้ ไม่ได้คำนึงถึง ก็เชื่อไป การเชื่ออย่างนี้ กระผมก็เชื่อมามากแล้ว และไม่เกิดความรู้ความเข้าใจในทางที่ถูกต้องขึ้นมาได้ นอกจากเราจะมาศึกษาตามแนวทางที่อาจารย์บรรยายนี้ ก็ปรากฏว่าถึงแม้ว่ากิเลสยังมีอยู่ แต่ความเข้าใจถูกในข้อปฏิบัตินี้ก็ก้าวหน้าขึ้นได้พอสมควร ไม่เหมือนอย่างที่ไปนั่งเพื่อจะให้เป็นสมาธิ และจะให้ปัญญาเกิดขึ้นเอง สรุปแล้วก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้

    ท่านอาจารย์ ในขณะที่ท่องพุทโธ จะรู้ไหมว่า มีนามธรรมและรูปธรรม แม้ในขณะที่กำลังนั่งนึกคำว่า พุท คำว่า โธ จะรู้ลักษณะของนามธรรมไหม จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่งที่กำลังคิดไหม ถ้าไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม และจะเจริญอะไร เพื่อประโยชน์อะไรไม่ทราบ

    ปัญญาจะต้องรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จึงจะละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมในขณะนี้ว่าเป็นเรา

    นี่คือประโยชน์และจุดประสงค์ของการเจริญปัญญา ซึ่งเกิดจากการอบรมเจริญสติปัฏฐาน เพื่อรู้แล้วละ รู้อะไร รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม วิปัสสนาญาณทุกญาณเป็นการประจักษ์แจ้งลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเป็นผล

    เพราะฉะนั้นเหตุก็คือ สติจะต้องระลึกลักษณะของนามธรรม แล้วพิจารณาศึกษาจนรู้ชัดในลักษณะที่เป็นสภาพรู้ และสติก็จะต้องระลึกลักษณะของรูปธรรมจนรู้ชัดว่า เป็นลักษณะของสภาพที่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่มีเราเลย มีแต่ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมชนิดต่างๆ ประเภทต่างๆ นั่นคือประโยชน์ที่จะทำให้ละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นเรา

    นิภัทร พูดถึงการรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ก็ยังมีการแตกแขนงออกไปอีกในสายวิปัสสนา คือ การที่จะรู้สภาพของรูปธรรมและนามธรรมที่ปรากฏเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ตามปกติในชีวิตประจำวันนี้ บางท่านก็บอกว่าปกตินี่รู้ไม่ได้ จะต้องไปอยู่ในห้องปฏิบัติหรือเข้าที่ปฏิบัติ เพราะว่านามธรรมและรูปธรรมจะเกิดตอนนั้น ตอนเข้าห้องปฏิบัติ ซึ่งกระผมเองก็เคยไปเข้าเพื่อจะให้เห็นนามธรรมและรูปธรรมในห้องปฏิบัติอยู่เป็นเวลาหลายเดือนเหมือนกัน โดยที่คิดว่า รูปธรรมนามธรรมจะโผล่มาให้เห็น เป็นความเข้าใจที่รู้สึกว่าน่าสงสารจริงๆ เพราะว่าไม่ใช่เป็นความเข้าใจที่ตรงตามหลักฐาน ตามคำสอนของพระพุทธองค์เลย เพราะว่ารูปธรรมนามธรรมไม่จำเป็นต้องไปหา มีอยู่เป็นปกติ ที่จะต้องหานั้นคือความเข้าใจ ไม่ได้เข้าใจอย่างนั้นแต่แรก ก็เลยหลงผิดอยู่ตั้งนาน

    มีอีกเรื่องหนึ่งที่กระผมอยากจะเรียนถาม คือข้องใจอยู่นานเหมือนกัน ผู้ที่ได้ฌานแล้ว แล้วท่านก็มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิปัสสนาดี ในขณะที่จิตท่านอยู่ในฌาน ท่านจะเจริญวิปัสสนาได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะเหตุว่าวิปัสสนาญาณทุกวิปัสสนาญาณไม่ใช่รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต

    นิภัทร อย่างนั้นในสมัยอดีต ที่ล่วงมาแล้วนานๆ อย่างท่านดาบสต่างๆ ที่ท่านเจริญฌานจนได้สมาบัติ เหาะเหินเดินอากาศมีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ท่านก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    11 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ