โสภณธรรม ครั้งที่ 149


    ตอนที่ ๑๔๙

    ในขณะที่เป็นจักขุทวารวิถีจิต ซึ่งกำลังมีรูปที่มีอายุ ๑๗ ขณะจิต ยังไม่ดับ เป็นขณะที่สั้นมาก สั้นจนไม่ทราบว่าจะเปรียบเทียบอย่างไรดี เพราะเหตุว่าในขณะนี้ที่รู้สึกว่า เหมือนคนกำลังเคลื่อนไหว นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า วิถีจิตทางตาเกิดแล้วก็ดับไป แล้วภวังคจิตก็เกิดต่อ แล้ววิถีจิตทางใจก็เกิดรับรู้หลายวาระ แล้วจึงจะมีการเห็นสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งดับไปอย่างรวดเร็ว สืบต่อจนกระทั่งทำให้ดูเสมือนว่า เป็นคนที่กำลังเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นเพียงชั่ววาระแรกที่เป็นมโนทวารวิถีเกิดขึ้น สั้นมากเกินกว่าที่จะรู้สึกตัวได้ แต่ก็เป็นความยินดีพอใจที่เกิดขึ้นยินดีพอใจในภพหนึ่งชาติหนึ่ง

    อดิศักดิ์ ขณะอยู่ในครรภ์มารดาก็กระทบทางกายได้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ได้ค่ะ แต่ว่าทีหลัง จะไม่มีการเกิดที่รวดเร็วเท่ากับการสะสมความยินดีพอใจในภพชาติ ซึ่งหลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตดับไปแล้ว มโนทวารวิถีจิตก็เกิดขึ้นยินดีพอใจในภพชาติที่เกิด

    สุชาติ ยังติดใจเรื่องเจ้าหญิงนิทราอยู่ ครั้งหนึ่งเคยมีความรู้สึกเมตตาและสงสารเจ้าหญิงนิทรา เพราะอะไร เพราะได้ยินคำถามว่า ตอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่นั้น อารมณ์ต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คงจะไม่เกิด คงจะมีแต่มโนทวารอย่างเดียว เราก็ไม่ทราบว่าจะเป็นมโนทวารอย่างเดียว หรือจะเป็นปัญจทวาร แต่เท่าที่ติดตามข่าวของเจ้าหญิงนิทรา เมื่อมารดาคร่ำครวญรำพัน มีอยู่ครั้งหนึ่งเด็กคนนั้นน้ำตาไหล ก็เข้าใจว่า คงจะมีโสตทวารเกิดขึ้น ถ้ามีน้ำตาไหล แสดงว่าเขาไม่สามารถบังคับตัวเองให้สื่อสารได้ เป็นความทรมานยิ่งกว่าความทรมานใดๆ เพราะเขารู้ เขาได้ยิน เขาเห็น แต่ไม่สามารถจะพูดให้ช่วยเหลือได้ จึงมีเพียงน้ำตาที่สามารถทำได้ กระผมเกิดความรู้สึกสงสารเด็กหญิงคนนั้นอย่างจับใจ ถ้าเขาไม่สามารถขยับกายได้ แต่เขารับรู้ จะมีประโยชน์อะไร ทำให้เขาทรมานเปล่าๆ สู้ไม่รับรู้เสียเลยดีกว่า คือ ไม่มีปสาททั้ง ๕ จะดีกว่า แต่บังคับบัญชาที่จะสื่อสารไม่ได้ ก็เหมือนกับเราเปรียบเทียบว่า ขณะที่เรามีชีวิตอยู่และตกไปอยู่ในหลุมลึก มืดสนิท แต่เรามีสติรู้อยู่ว่า เรายังไม่ตาย รู้ว่ามีคนอยู่ข้างบนพยายามจะช่วยเหลือ แต่เราไม่สามารถจะบอกได้ เราพยายามจะช่วยตัวเอง ก็ช่วยไม่ได้ เป็นระยะเวลายาวนานอย่างนี้ เราจะทำอย่างไร และคนที่อยู่ข้างนอกพ่อแม่ หมอ จะช่วยอย่างไร ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ความทรมานแก่เด็กนั้นคงจะมากมายมหาศาล จนกระทั่งหลายปีต่อมาก็สิ้นชีวิตลง ก็คงจะพ้นเคราะห์ไป

    เรียนถามอาจารย์เรื่องวิถีจิต เราทราบว่ารูปนั้นเกิดดับ ๑๗ ขณะของจิต เรานับการเกิดดับของรูปที่การรับรู้ของจิตใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่

    สุชาติ รูปเกิดดับ ๑๗ ขณะของจิตจริงๆ

    ท่านอาจารย์ รูปเป็นสังขารธรรม เป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นแล้วต้องดับไป แต่รูปก็มีอายุที่สั้นมาก ถึงแม้ว่ารูปจะมีอายุที่สั้นสักเท่าไรก็ตาม รูปก็ยังอายุยืนยาวมากกว่าจิต เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่า รูปหนึ่งที่เกิดขึ้นจะดับเมื่อไร ก็ไม่มีอะไรที่จะวัดได้เลย นอกจากเอาอายุของการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ แล้วรูปๆ หนึ่งจึงจะดับไป

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจิตจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม รูปนั้นจะเกิดอยู่ที่ไหนก็ตาม รูปใดก็ตามที่เกิด ที่จะรู้ว่ารูปนั้นดับ ก็ต่อเมื่อเทียบกับการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ เท่านั้นเอง

    สุชาติ สมมติเราเห็นรูปพร้อมกับการเกิดของรูป ก็นับไปตั้งแต่อตีตภวังค์ จนกระทั่งถึงตทาลัมพนจิต วิถีจิตก็ดับลงพอดี

    ท่านอาจารย์ ทีนี้รูปใดก็ตามที่เกิดก่อนอตีตภวังค์ หรือรูปใดก็เกิดหลังอตีตภวังค์ เพราะบางรูปเกิดตรงชวนจิตก็ได้ ตรงไหนก็ได้ แต่หมายความว่ารูปดับเร็วแค่ไหน ก็คือรูปดับเท่ากับการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ รูปๆ นั้นที่เกิดจึงจะดับ

    สุชาติ เพราะฉะนั้นเวลาที่วิถีจิตดับลง ก็ไม่จำเป็นว่ารูปจะต้องดับลงพร้อมกัน

    ท่านอาจารย์ รูปไหนก็นับไปว่า จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ นั้นจึงดับ

    สำหรับในวันนี้ก็จะขอกล่าวถึง ความสัมพันธ์ของนามธรรมและรูปธรรมในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เพราะเหตุว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นั้น นามธรรมและรูปธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นไป แต่ทั้งๆ ที่นามธรรมและรูปธรรมอาศัยกันและกัน แต่ว่าขณะใดก็ตามที่จิตไม่มีรูปหนึ่งรูปใดปรากฏเป็นอารมณ์ ขณะนั้นก็เปรียบเสมือนกับว่า รูปที่เกิดขึ้นและดับไปนั้นก็ไม่มีความหมาย ไม่มีความสำคัญอะไรเลย

    เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้ทราบความสัมพันธ์ของจิต เจตสิก และรูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ตั้งแต่ปฏิสนธิ เพื่อที่จะได้เห็นว่า ขณะใดเป็นขณะที่รูปปรากฏ และขณะใดแม้มีรูปเกิดดับก็จริง แต่เมื่อรูปนั้นไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับไม่มีความสำคัญอะไร

    รูปทั้งภายในและภายนอกร่างกายในขณะนี้ ทุกรูปอาศัยสมุฏฐานเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป โดยที่มีอายุเพียง ๑๗ ขณะจิตเท่านั้น บางคนก็สงสัยว่าเฉพาะรูปภายในเท่านั้นหรือที่มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แต่ความจริงไม่ว่าจะเป็นรูปภายในหรือรูปภายนอกก็ตาม จะเกิดจากสมุฏฐานใดๆ ก็ตาม คือจะเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน หรือเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน หรือเกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐาน หรือเกิดจากอาหารเป็นสมุฏฐาน รูปที่เกิดขึ้นที่เป็นสภาวรูป จะต้องมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะเท่านั้น ใครจะรู้หรือใครจะไม่รู้ก็ตาม จะอยู่ที่ไหนไกลแสนไกลอย่างไรก็ตาม รูปที่เกิดขึ้นจะต้องมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เท่านั้น

    และสำหรับการเปลี่ยนภพชาติจากอดีตชาติมาเป็นปัจจุบันชาติก็ดี หรือจากปัจจุบันชาติเป็นชาติหน้าก็ดี เป็นไปโดยไม่รู้ตัวเลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สำหรับวิบากจิตซึ่งเป็นจิตที่เป็นผลของกรรม แม้เกิดขึ้นกระทำกิจการงานต่างๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เช่น ปฏิสนธิจิตเป็นต้น

    ก่อนจุติจากชาติก่อน แต่ละท่านเป็นใคร อยู่ที่ไหน ไม่มีใครสามารถจะทราบได้เลย อาจจะเป็นสัตว์ดิรัจฉานอยู่ในมหาสมุทร มีรูปร่างที่เล็กที่สุด แต่ว่าปัจจุบันชาตินี้ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งในโลก หรือว่าชาติก่อนอาจจะเกิดในนรก ได้รับความทรมานมากมายทีเดียว เมื่อจุติจิตจากชาติก่อนก็ปฏิสนธิเป็นคนหนึ่งในโลกมนุษย์ หรือชาติก่อนอาจจะเป็นเปรตที่มีความทุกข์ทรมานแสนสาหัสด้วยความหิว แต่ว่าขณะนี้ก็เป็นมนุษย์ที่จำไม่ได้ถึงความหิวกระหายในชาติก่อนที่เกิดเป็นเปรต และจากเปรตสู่ความเป็นมนุษย์ จากดิรัจฉานสู่ความเป็นมนุษย์ จากอสุรกายสู่ความเป็นมนุษย์ จากความเป็นเทวดาชั้นหนึ่งชั้นใดสู่ความเป็นมนุษย์ หรือจากความเป็นรูปพรหมในชาติก่อนสู่ความเป็นมนุษย์ในชาตินี้ หรืออาจถึงความเป็นอรูปพรหมในอรูปภูมิในชาติก่อนมาเป็นมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงจากชาติก่อนสู่ชาตินี้ จะไม่รู้สึกตัวเลย

    นั่นคือจิตที่เป็นวิบาก ซึ่งถ้าได้พิจารณาเรื่องของวิบากจิต โดยการศึกษาปรมัตถธรรม โดยการศึกษาเรื่องของจิตโดยละเอียด จะเห็นได้ว่า มีจิตมากมายหลายประเภทที่เป็นวิบากจิตก็มีหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่แล้ว จิตที่เป็นวิบากนั้นไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นในขณะที่เปลี่ยนจากชาติก่อนมาเป็นชาตินี้ แม้จุติจิตของชาติก่อนเกิดแล้วดับ ก็ไม่รู้ตัว และเมื่อปฏิสนธิจิตในชาตินี้เกิดขึ้นแล้วดับก็ไม่รู้ตัว ก่อนตายชาติก่อนอาจจะประสบอุบัติเหตุได้ ใช่ไหม ไม่มีใครรู้เลยว่าจากชาติก่อนโดยสภาพใด เป็นโรคเจ็บป่วยประเภทไหน มีความทุกข์ทรมานหรือมีความสุขสำราญอย่างไร เพราะฉะนั้นการจะจากโลกนี้ไปสู่ชาติหน้าก็เช่นเดียวกัน คือ อาจจะเป็นขณะไหนได้ทั้งสิ้น ขณะที่กำลังได้ยินได้ฟังพระธรรมในขณะนี้ และจุติจิตก็เกิด และก็จากความเป็นบุคคลนี้ แล้วแต่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กๆ หรือว่าจะเป็นเปรตอีก เป็นอสุรกายอีก เป็นเทวดาอีก เกิดในนรกอีกก็ได้ทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะทราบว่า สำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นมีรูปซึ่งเกิดจากกรรมในครรภ์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็มีรูป ๓ กลุ่มเล็กๆ คือ กลุ่มของรูปที่เป็นที่เกิดของจิต ๑ กลุ่ม คือ หทยทสกะ และกลุ่มของรูปที่เป็นภาวะ เป็นเพศหญิงหรือเพศชาย ๑ กลุ่ม และกลุ่มของปสาทรูปที่เป็นกายทสกะอีก ๑ กลุ่ม ขณะนั้นนามธรรมและรูปธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

    นี่คือการที่จะเข้าใจเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมโดยละเอียด เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วที่เรามีความยินดีพอใจในรูปบ้าง ในเสียงบ้าง ในกลิ่นบ้าง ในรสบ้าง ในโผฏฐัพพะบ้างนั้น เป็นชั่วขณะเวลาที่เล็กน้อยมาก แม้ว่ามีรูปเกิดร่วมด้วย แต่ขณะใดที่รูปนั้นไม่ปรากฏ ไม่ได้ยึดถือผูกพันในรูปนั้นเลยว่า เป็นร่างกายของเรา แม้แต่ในกลุ่มของรูป ๓ กลุ่ม หรือ ๓ กลาปเล็กๆ ๓ กลุ่มนั้น ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด มีรูป ๓ กลุ่มนี้เกิดร่วมด้วย ก็ไม่มีการยึดถือในรูป ๓ กลุ่มนั้นว่าเป็นเรา และรูป ๓ กลุ่มนั้นก็มีอายุเพียง ๑๗ ขณะของจิตแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นมีความสำคัญอะไรระหว่างปฏิสนธิจิตกับรูปเล็กๆ ๓ กลุ่มนั้น

    ในรูปเล็กๆ ๓ กลุ่ม เฉพาะหทยรูป รูปเดียวเป็นที่เกิดของจิต เพราะว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นามธรรมที่เกิดขึ้นจะต้องเกิดที่รูป

    เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างนามธรรมและรูปธรรมในขณะที่เกิดก็คือว่า รูปแม้ว่าจะเป็นกัมมชรูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรม ถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิด ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นกัมมชรูปเกิดกับจิตและเจตสิกในขณะนั้น แต่ว่าแม้มีรูป ๓ กลุ่ม เฉพาะรูปที่เป็นหทยวัตถุรูปเดียวเท่านั้นที่เป็นที่เกิดของจิต และหทยรูปก็จะมีอายุ ๑๗ ขณะของจิตแล้วก็ดับ แต่ว่าปฏิสนธิจิตนั้นดับเร็วกว่า เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตเมื่อเกิดขึ้น ก่อนที่รูปจะดับ ปฏิสนธิจิตนั้นก็ดับ เพราะฉะนั้นในขณะนั้นรูปเป็นที่เกิดของจิตเพียงรูปเดียว และสำหรับภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตจะเกิดนอกรูปไม่ได้เลย ส่วนใหญ่ของจิตจะเกิดที่รูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ที่ชื่อว่า หทยรูป แม้ในขณะนี้จิตส่วนใหญ่ เว้นจิต ๑๐ ดวง คือเว้นจิตเห็น จักขุวิญญาณ ๒ ดวง เว้นโสตวิญญาณ คือ จิตได้ยิน ๒ ดวง เว้นฆานวิญญาณ จิตได้กลิ่น ๒ ดวง เว้นชิวหาวิญญาณ จิตลิ้มรส ๒ ดวง เว้นกายวิญญาณ จิตรู้โผฏฐัพพะ ๒ ดวง เว้นจิต ๑๐ ดวงในขณะนี้ จิตกำลังเกิดดับอยู่ที่หทยรูป แต่ก็ไม่มีใครรู้ เพราะเหตุว่ารูปก็เป็นรูป นามก็เป็นนาม แม้ว่านามจะเกิดดับ รูปจะเกิดดับ แต่ถ้าขณะใดที่ไม่เป็นอารมณ์ของจิต ขณะนั้นก็จะไม่มีการยึดถือรูปใดๆ ว่าเป็นเรา หรือเป็นร่างกายของเราเลย นี่คือก่อนที่ทุกท่านจะมานั่งอยู่ที่นี่ เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นขณะแรก และหลังจากนั้นก็เป็นภวังคจิต แล้วก็มีรูปเล็กๆ ซึ่งรูปนั้นก็เกิดดับสืบต่อจนกว่าจะมีร่างกายครบสมบูรณ์ แต่ว่าก่อนที่จะมีร่างกายครบสมบูรณ์หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไป ภวังคจิตดับไป วาระแรกที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่น ที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ ก็คือมโนทวารวิถีจิต เกิดขึ้นยินดีพอใจในภพชาติที่กำลังเป็นอยู่ ในขณะนั้นจิตเกิดที่หทยรูป ยังไม่รู้อะไรทั้งสิ้น โลกมืดสนิท เพราะเหตุว่าไม่มีการเห็น โลกก็ต้องมืด และในขณะนั้นที่เป็นปฏิสนธิจิตก็ไม่มีการรู้สึกตัวเลย ในขณะที่เป็นภวังคจิตก็ไม่มีการรู้สึกตัวเลย ในขณะที่วิถีจิตทางมโนทวารจะเกิดขึ้นยินดีพอใจในภพชาติ ในขณะนั้นก็ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นในขณะนั้นให้รู้ว่าเป็นโลกที่มืด

    อย่างท่านที่มีความสงสารผู้ที่กำลังโคม่า ก็กล่าวว่า มีความสงสารท่านผู้นั้นมาก แต่ว่าตามความเป็นจริงถ้ารู้สภาพของจิตที่เกิดดับสืบต่อทางจิตจริงๆ จะเห็นว่าเป็นธรรมดา เพราะเหตุว่าขณะใดที่ไม่รู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใด ขณะนั้นไม่รู้สึกตัว และถ้าเป็นการรู้อารมณ์เฉพาะทางมโนทวาร ก็เหมือนกับตอนที่ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับไป และภวังคจิตเกิดต่อ และวิถีจิตวาระแรก คือ การรู้อารมณ์ทางมโนทวารนั่นเอง ซึ่งก็เหมือนกับที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดกำลังไม่รู้สึกตัว ที่เป็นโคม่า แล้วคนอื่นก็สงสาร แต่ความจริงแล้วควรสงสารใคร เพราะเหตุว่าในขณะนั้นไม่ปวดไม่เจ็บ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน อาจจะมีการคิดนึก เหมือนกับตอนที่เกิด แล้วมโนทวารวิถีจิตก็เกิดขึ้นคิดนึก ก็ไม่มีความต่างกันเลย

    เพราะฉะนั้นถ้าพิจารณารู้ลักษณะสภาพของจิตจริงๆ แล้วก็ไม่มีความแปลก เป็นแต่ว่าขณะใดวิถีจิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา ก็ดับไปหมด แล้วก็เป็นภวังค์ แล้วก็ต่อมาจิตก็อาจจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางหู แล้วก็ดับไปหมดอีก การเกิดขึ้นที่จะรู้อารมณ์แต่ละครั้งก็เป็นไปอย่างสั้นมากทีเดียว

    เพราะฉะนั้นก็ได้ทราบแล้วว่า ปฏิสนธิจิตเกิดที่รูป ที่หทยวัตถุ ภวังคจิตเกิดที่รูป ที่หทยวัตถุ และจิตส่วนใหญ่เกิดที่รูป ที่หทยวัตถุ หทยวัตถุเป็นเพียงที่เกิด แต่ไม่ใช่ทวาร คือ ไม่ใช่ทางที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ขณะที่นอนหลับสนิทกับขณะที่โคม่า ไม่รู้สึกตัว ต่างกันไหม ต่างหรือไม่ต่าง ขณะที่นอนหลับสนิทไม่รู้สึกตัว น่าสบายไหม ไม่ต้องเห็น น่าสบายดี ไม่มีอารมณ์ที่จะมาทำให้เดือดร้อน คือ เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจทางตา ไม่ถูกตา ไม่ถูกใจ ไม่ต้องเห็นขณะที่นอนหลับสนิท ไม่ต้องได้ยิน ไม่ต้องได้กลิ่น ไม่ต้องลิ้มรส ไม่ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะนั้นเหมือนกับคนที่โคม่าเหมือนกัน เพราะว่าขณะนั้นเป็นภวังคจิต

    และถ้าร่างกายของบุคคลใดกำลังมีสภาพที่คนอื่นมองเห็น แล้วสงสารด้วยความเป็นห่วงว่า เจ็บมาก เช่นคนที่ผ่าตัดหรือว่าได้รับอุบัติเหตุอย่างร้ายแรง มีสภาพที่ปรากฏเหมือนกับว่าทุกข์ทรมาน แต่ขณะใดที่ภวังคจิตกำลังเกิดดับสืบต่อ ขณะนั้นไม่เดือดร้อนเลย จะสงสารคนที่นอนหลับไหม ถ้าไม่สงสารคนที่กำลังนอนหลับ คนที่ผ่าตัดแล้วจิตเป็นภวังค์ ไม่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ถ้ามโนทวารวิถีจิตจะเกิด ก็ไม่เจ็บ เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่มีการรู้โผฏฐัพพะ การกระทบสัมผัสกายใดๆ เลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็รู้ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลเลย แล้วแต่จิต เจตสิกจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ใด คนรอบข้างของคนป่วยหนักอาจจะเป็นทุกข์เดือดร้อน ปฐมพยาบาลด้วยวิธีต่างๆ แต่คนไข้ที่กำลังเป็นภวังคจิต จะไม่เดือดร้อนหรือเป็นทุกข์เลย เหมือนกับขณะที่กำลังหลับสนิทจริงๆ หรือเหมือนกับคนที่เป็นลมปัจจุบัน คนที่มองเห็น ก็เห็นว่ากำลังชัก กำลังกระตุก กำลังเกร็ง ร่างกายกำลังเย็นจัด แต่คนที่เป็นภวังคจิต ไม่รับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่ได้เดือดร้อนเลย

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าไม่มีความต่างกันของรูป ถ้าในขณะนั้นจิตไม่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ แต่ถ้าจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางกายขณะใด ไม่ว่าจะโคม่า หรือไม่โคม่า ขณะนั้นก็เป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเท่านั้นสำหรับทางกาย ซึ่งสภาพความรู้สึกที่เกิดกับกายวิญญาณจะต้องเป็นทุกขเวทนา หรือสุขเวทนา เหมือนปกติธรรมดา สำหรับทุกคนที่กำลังสงสารคนที่เจ็บหนักโคม่า ถ้าพิจารณาจริงๆ ใครน่าสงสาร คนที่ไม่รู้สึกตัว ไม่น่าสงสาร แต่คนที่กำลังสงสารคนที่กำลังป่วยเจ็บ ขณะนั้นความรู้สึกเป็นโทมนัสเวทนา

    เพราะฉะนั้นการเป็นผู้ละเอียดในการพิจารณาสภาพธรรม ก็จะทำให้รู้ขณะจิตของตนเองว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล และจะได้มีความมั่นคง ไม่หวั่นไหวในสภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่รู้ลักษณะของสภาพของจิตในขณะนั้นได้ถูกต้อง

    สำหรับปฏิสนธิจิตเกิดที่หทยวัตถุ ภวังคจิตเกิดที่หทยวัตถุ หทยวัตถุไม่ใช่ทวาร ไม่ใช่ทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์ เป็นแต่เพียงที่เกิดของจิตในภูมิที่มีขันธ์ ๕

    ไม่ทราบว่ามีข้อสงสัยอะไรหรือเปล่า

    ขณะนี้หทยวัตถุกำลังเกิด ไม่รู้เลย และจิตก็กำลังเกิดที่หทยวัตถุ ก็ไม่รู้ด้วย แต่ว่าจะรู้รูปต่อเมื่อเห็น จะรู้รูปชนิดหนึ่งก็ต่อเมื่อได้ยิน แม้ว่าขณะนั้นก็มีหทยวัตถุซึ่งเป็นที่เกิดของจิตอื่นๆ ที่ไม่ใช่จิตเห็น จิตได้ยิน แต่แม้กระนั้นก็ไม่สามารถจะรู้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิต เจตสิก ก็ต้องเกิดที่รูป ขณะนั้นก็ยังไม่ถึงขณะนี้ ขอย้อนกลับไปถึงตอนที่ปฏิสนธิจิตเกิด และก็มีรูปเล็กๆ ๓ กลุ่ม แล้วหลังจากนั้น ก็มีรูปที่เกิดจากกรรม รูปที่เกิดจากจิต รูปที่เกิดจากอุตุ รูปที่เกิดจากอาหาร ก็ทยอยกันเกิดดับอยู่เรื่อยๆ แล้วจิตก็เป็นภวังค์ ในขณะนั้น จิตเกิดดับที่หทยวัตถุ แต่ว่ายังไม่รู้แม้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย แม้ว่าจะมีกายปสาทรูปแล้ว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    23 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ