โสภณธรรม ครั้งที่ 115


    ตอนที่ ๑๑๕

    ถาม สองสามอาทิตย์ก่อนที่บรรยายตอนเช้ามีว่า ท้าวสักกะมาฟังธรรมของพระพุทธองค์ พระองค์ท่านสอนว่าอย่างไรคะ เพราะตอนนั้นฟังไม่ได้ และที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปถามว่า ท่านสักกะ พระพุทธองค์ท่านสอนอะไร แต่ว่าช่วงระยะนี้หนูฟังไม่ทัน เลยไม่ทราบว่าพระพุทธองค์ท่านสอนอะไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ สอนไว้มากมายในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็เป็นเรื่องชีวิตประจำวันทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นวันนั้นผ่านไป ฟังใหม่ เรื่องใหม่ ก็เป็นเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทั้งนั้นที่จะรู้ตามความเป็นจริง ถ้าจะกลับมาฟังอีก ก็มีหลายท่านที่อัดเทปไว้ แต่ข้อความในพระไตรปิฎกมีมาก และเป็นเรื่องของชีวิตประจำวันทั้งนั้น เป็นเรื่องของการที่จะพากเพียรอบรมเจริญปัญญา แม้ว่าจะผ่านข้อความนั้น และขณะนี้กำลังฟังข้อความอื่น ข้อความที่ได้ฟังทั้งหมดจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้งสิ้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นข้อความที่ท้าวสักกะฟังตอนนั้น

    ไม่ควรเป็นผู้ประมาท แต่ก็ยากเหลือเกินในเมื่อมีอกุศลสะสมมาเสียมากมายทั้งโลภะบ้าง โทสะบ้าง เพราะฉะนั้นก็จะต้องอาศัยสติ การระลึกได้ เป็นผู้อารักขา การที่จะดำเนินชีวิตต่อไปในการที่จะเจริญกุศลมากขึ้น

    และสำหรับชีวิตแต่ละชาติจะเห็นได้ว่า ถ้าในทุกๆ ชาติที่เกิดมามีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ถ้ายังไม่ละคลายอกุศลต่างๆ ในชีวิตประจำวันจริงๆ ด้วยความตั้งใจมั่น ด้วยความเพียร ด้วยความอดทน ก็ย่อมไม่ถึงกาลที่จะดับกิเลสได้ เพราะเหตุว่ากิเลสมากมายเหลือเกิน

    เพราะฉะนั้นการที่กุศลแต่ละขณะจะเกิดได้ จะเจริญได้ จะเห็นว่า จะต้องอาศัยความเพียร ความอดทนต่อการที่จะไม่เป็นอกุศลในขณะนั้น ระหว่างความสนุกสนานเพลิดเพลินกับกับการฟังพระธรรม จะเลือกอย่างไร ถ้าไม่ใช่เรื่องความสนุกสนานเพลิดเพลิน เรื่องธรรมดาๆ ก็อาจจะเลือกฟังพระธรรม แต่ว่าเป็นเรื่องสนุกสนานมาก เพลิดเพลินจริงๆ ก็ลองคิดดูว่า ในขณะนั้นจะฟังพระธรรมหรือจะเลือกสนุกสนานเพลิดเพลิน

    ด้วยเหตุนี้จึงจะต้องเป็นผู้มีวิริยะ มีความตั้งใจมั่น มีความอดทน ข้อความในอรรถกถา สังยุตตนิกาย สฬยายตนวรรค อรรถกถาอาสีวิสสูตรที่ ๑ มีข้อความว่า

    ในคำว่า วิริยารมฺภสฺเสตํ อธิวจนํ นี้ เพื่อแสดงถึงการทำความเพียรทางจิต พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้

    ท่านผู้ฟังคงเคยเพียรทางกายมามากแล้ว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องความเพียรทางจิต เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของการอบรมเจริญกุศล

    ผู้ยืนอยู่ฝั่งนี้อันน่ารังเกียจประสงค์จะข้ามห้วงน้ำ

    นี่เป็นคำอุปมาสำหรับทุกท่านที่ต้องการจะดับกิเลส ต้องการเป็นอริยบุคคล ต้องการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม อุปมาเหมือนผู้ยืนอยู่ฝั่งนี้อันน่ารังเกียจประสงค์จะข้ามห้วงน้ำ

    ต้องเห็นความน่ารังเกียจของฝั่งนี้เสียก่อน คือความติดความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ และก็ปรารถนาที่จะละคลายความน่ารังเกียจนี้

    พักอยู่ ๒ - ๓ วัน

    ชีวิตของทุกๆ คน

    ค่อยๆ ตระเตรียมเรือแล้วขึ้นเรือ เป็นเหมือนเล่นน้ำ

    นี่เป็นชีวิตของทุกคนหรือเปล่า รู้ว่าหนทางนั้นคืออะไร แต่แม้กระนั้นทั้งๆ ที่ประสงค์จะข้ามห้วงน้ำก็พักอยู่ ๒ – ๓ วัน และบางคนก็ยิ่งกว่า ๒ – ๓ วัน ก็พักไปเรื่อยๆ ๒ – ๓ อาทิตย์ ๒ – ๓ เดือน และบางคนก็ขอเวลาไปถึง ๒ – ๓ ปีที่จะพัก ที่จะไม่ศึกษาพระธรรม

    ค่อยๆ ตระเตรียมเรือ

    ช้า

    แล้วขึ้นเรือเป็นเหมือนเล่นน้ำ

    ก็เป็นเรื่องของความตามสบายๆ อยู่เรื่อยๆ

    แม้เมื่อเขาทำอย่างนั้น ก็ยังขึ้นเรือไม่ได้ย่อมถึงความพินาศฉันใด ภิกษุผู้ใคร่จะข้ามห้วงน้ำคือกิเลสก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ควรทำความเนิ่นช้าว่า เรายังเป็นหนุ่มอยู่ จักผูกแพคือมรรคมีองค์ ๘ ต่อเวลาเราแก่เสียก่อน

    จริงอยู่ ภิกษุเมื่อทำอยู่อย่างนี้ แม้เวลาแก่ก็ยังไม่ถึง ก็ถึงความพินาศ แม้แก่ก็ยังไม่ถึง ก็ไม่อาจทำได้

    คือบางคนขอเวลาเอาไว้แก่เสียก่อน แต่ยังไม่แก่ ความแก่ยังไม่ถึงก็ตายเสียก่อน สิ้นชีวิตไปก่อน ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นที่รอไว้ ผลัดไป ก็จะไม่ถึงโอกาสนั้นเลย และแม้ว่าบางคนจะเวลานั้นก็ไม่อาจทำได้ ก็ระหว่างที่ยังไม่แก่ ก็ปล่อยให้กิเลสมากมายเพิ่มขึ้นเพิ่มพูนท่วมทับ และเวลาที่แก่กิเลสก็เพิ่มขึ้นเยอะแยะอย่างนั้นแล้ว ปัญญาก็จะต้องเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียว เพราะฉะนั้นก็ทำไม่ได้

    ควรระลึกถึงภัทเทกรัตตสูตรเป็นต้น แล้วรีบเร่งผูกแพคืออริยมรรคนี้ทันที

    คือไม่ให้รอกาลเวลาเลยในการที่จะศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นี่คือวิริยารัมภกถา คำที่เตือนให้เป็นผู้ที่มีวิริยะ มีความเพียร มีความอุตสาหะ มีความอดทน ข้อความต่อไปมีว่า

    ก็บุคคลจะผูกแพ ควรมีมือเท้าบริบูรณ์ จริงอยู่คนมีเท้าเป็นโรคพุพอง หรือมีเท้าหงิกง่อย ไม่สามารถจะยืนได้ บุคคลผู้มีมือเป็นแผลเป็นต้น ไม่อาจจับใบหญ้าใบไม้เป็นต้นได้ ฉันใด ภิกษุผู้จะผูกแพ คือ อริยมรรคนี้ ก็ฉันนั้น พึงปรารถนาความบริบูรณ์ ด้วยเท้า คือ ศีล และด้วยมือ คือ ศรัทธา

    จริงอยู่ บุคคลผู้ทุศีลผู้ไม่มีศรัทธา ไม่ตั้งมั่นในพระศาสนา ไม่เชื่อข้อปฏิบัติ ไม่อาจจะผูกแพคืออริยมรรคได้

    อนึ่งแม้บุคคลผู้มือเท้าบริบูรณ์ แต่ไม่มีเรี่ยวแรง ถูกพยาธิเบียดเบียน ก็ไม่สามารถจะผูกแพได้ ต่อสมบูรณ์ด้วยกำลังเท่านั้นจึงสามารถฉันใด แม้คนมีศีลมีศรัทธา ก็ฉันนั้น แต่เป็นคนเกียจคร้าน นั่งจม น่าเกลียด ก็ไม่สามารถจะผูกแพ คือมรรค นี้ได้ ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้นจึงสามารถ

    ฉะนั้น ผู้ประสงค์จะผูกแพ คือ มรรคนี้ จึงควรปรารภความเพียร

    ฟังดูถ้าคนที่ไม่เข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ก็จะมีตัวตนที่จะทำความเพียรอีกแล้ว คือ การฟังพระธรรม เมื่อฟังแล้วต้องพิจารณาให้สอดคล้องกันทั้ง ๓ ปิฎกด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ฟังเท่านี้แล้วก็รีบร้อนจะไปปฏิบัติ ไปทำความเพียร นั่ง ๑๐ วัน ๒๐ วัน นั่นไม่ใช่ความหมายของการอบรมเจริญปัญญา เพราะความเพียร คือ เพียรอบรมเจริญปัญญา ซึ่งยากกว่า เพียรที่จะเข้าใจชีวิต สภาพธรรมแต่ละขณะในทุกๆ วัน ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปนั่งเพียรทำ แต่เพียรที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    และข้อความที่ว่า ก็บุคคลจะผูกแพ ควรมีมือเท้าบริบูรณ์ นี่ก็จะเห็นถึงอริยมรรคจะเจริญขึ้นหรือจะเกิดได้ ไม่ใช่เป็นคนที่ไม่มีความเข้าใจถูก ก็สามารถจะไปอบรมเจริญอริยมรรคได้ แต่ว่าการที่ผู้ใดก็ตามจะผูกแพ ก็จะต้องเป็นผู้มีมือเท้าบริบูรณ์ จริงอยู่คนมีเท้าเป็นโรคพุพอง หรือมีเท้าหงิกง่อย ไม่สามารถจะยืนได้ เพราะฉะนั้นก็ผูกแพไม่ได้ ถ้าจะเป็นอย่างนั้น

    บุคคลผู้มีมือเป็นแผลเป็นต้น ไม่อาจจับใบหญ้าใบไม้เป็นต้นได้ ฉันใด ภิกษุผู้จะผูกแพ คือ อริยมรรคนี้ ก็ฉันนั้น พึงปรารถนาความบริบูรณ์ ด้วยเท้า คือ ศีล และด้วยมือ คือ ศรัทธา

    นี่ก็จะเห็นได้ว่า ในบางพระสูตรก็แสดงว่า วิตก หรือวิตกเจตสิกเป็นเท้า และในบางพระสูตร เช่นในพระสูตรนี้ก็แสดงว่า ศีลเป็นเท้า เพราะเหตุว่าสำหรับศีลมีทั้งที่เป็นกุศลศีลและอกุศลศีล เช่นเดียวกับวิตกเจตสิกซึ่งเป็นปกิณณกเจตสิก เกิดกับจิตเกือบทุกดวง

    สำหรับชีวิตประจำวันของกามาวจรจิตก็เว้นจิตเพียง ๑๐ ดวงเท่านั้น ที่วิตกเจตสิกไม่เกิดร่วมด้วย คือ เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง คือ จักขุวิญญาณ ๒ ดวง โสตวิญญาณ ๒ ดวง ฆานวิญญาณ ๒ ดวง ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง กายวิญญาณ ๒ ดวง นอกจากนั้นแล้ววิตกเจตสิกเกิดกับที่เป็นกามาวจรจิตทั้งหมด คือ ๔๔ ดวง เว้นเพียง ๑๐ ดวง เพราะเหตุว่ากามาวจรจิตทั้งหมดมี ๕๔ ดวง แต่ที่เป็นกุศลศีล หรือกุศลวิตกต้องเป็นขณะที่เป็นกุศล เพราะฉะนั้นถ้าเป็นในทางของการเจริญกุศลแล้ว เท้า คือ ศีล และมือ คือ ศรัทธา

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การที่จะเจริญกุศลแต่ละครั้ง จะมีแต่เท้าก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นกิจการงานใดทั้งสิ้น ก็ต้องมีทั้งมือ และต้องมีทั้งศีรษะ มีอวัยวะต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงว่าต้องอาศัยโสภณธรรมต่างๆ คือ โสภณเจตสิก เช่น ศรัทธา สติ ปัญญา เป็นต้น กุศลจึงจะเจริญได้

    สำหรับ บุคคลผู้ทุศีลผู้ไม่มีศรัทธา ไม่ตั้งมั่นในพระศาสนา ไม่เชื่อข้อปฏิบัติ ไม่อาจจะผูกแพ คือ อริยมรรคได้

    นอกจากนั้นแล้ว

    อนึ่งแม้บุคคลผู้มือเท้าบริบูรณ์ ไม่ได้เป็นโรคอะไรเลย แต่ไม่มีเรี่ยวแรง ถูกพยาธิเบียดเบียน ก็ไม่สามารถจะผูกแพได้ ต่อสมบูรณ์ด้วยกำลังเท่านั้นจึงสามารถ ฉันใด แม้คนมีศีล มีศรัทธา ก็ฉันนั้น แต่เป็นคนเกียจคร้าน นั่งจม น่าเกลียด ก็ไม่สามารถจะผูกแพ คือ มรรคนี้ได้ ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้นจึงสามารถ

    ฉะนั้น ผู้ประสงค์จะผูกแพคือมรรคนี้ จึงควรปรารภความเพียร

    เป็นความจริงไหม ไม่ได้เป็นโรคอะไรเลย แต่มือเท้าสมบูรณ์ แต่ขี้เกียจ ก็ไม่ สามารถจะผูกแพ คือ อริยมรรคได้

    เพราะฉะนั้นแพไม่ใช่ขณะอื่น แต่เป็นขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อที่จะข้ามไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง

    การศึกษาพระธรรม จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสทั้งหลายด้วยการเจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้น และการศึกษาพระธรรมทั้งหมดโดยตลอด ก็เพื่อที่จะให้รู้ว่า แม้กุศลธรรมก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะฉะนั้นกุศลธรรมทั้งหลายที่จะค่อยๆ อบรมให้เจริญขึ้น ก็คือโสภณเจตสิกแต่ละชนิด ซึ่งต่างก็อาศัยกันเกิดขึ้นและค่อยๆ อบรมเจริญขึ้นๆ จนกระทั่งในที่สุดก็สามารถที่จะถึงขั้นบรรลุวิปัสสนาญาณ คือ การประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามลำดับขั้น

    นี่คือจุดประสงค์ของการศึกษาและการฟังพระธรรม คือ เพื่อกุศลทุกประการเจริญขึ้น จนถึงขั้นที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมและดับกิเลส

    สำหรับโสภณเจตสิกที่ได้กล่าวถึงแล้ว ก็ได้แก่ โสภณสาธารณเจตสิก ๗ ดวง คือ

    • ๑. ศรัทธา ซึ่งทุกคนก็คงจะชินหู ได้แก่ สภาพธรรมที่ผ่องใส ขณะนั้นปราศจากความเศร้าหมองใดๆ
    • ๒. สติ เป็นสภาพที่ระลึกได้ในทางกุศล ตามระดับขั้นของกุศลนั้นๆ
    • ๓. หิริ ความละอาย รังเกียจอกุศลธรรม ซึ่งก็ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น สำหรับในขั้นต้น ก็จะมีความรังเกียจละอายทุจริตกรรม หรือในอกุศลกรรมบถ แต่เวลาที่โลภะเกิดขึ้น ยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ถ้าปัญญายังไม่ถึงขั้นที่จะละอาย ความละอายหรือความรังเกียจโลภะเล็กๆ น้อย ที่เป็นสมโลภะ ไม่ใช่วิสมโลภะ ก็ยังไม่เกิด อันนี้ก็จะเห็นได้ในชีวิตประจำวัน
    • ๔. โอตตัปปะ ความเห็นโทษเกรงกลัวโทษของอกุศล
    • ๕. อโลภะ ความไม่ติดข้อง
    • ๖. อโทสะ ความไม่ขุ่นเคือง ไม่หยาบกระด้าง
    • ๗. ตัตตรมัชฌัตตตา ที่กำลังกล่าวถึงในขณะนี้ ก็เป็นสภาพของโสภณเจตสิกทั้งหลายซึ่งกำลังเกิด แม้ขณะที่กำลังฟังพระธรรม พิจารณาพระธรรม เข้าใจขึ้น ก็คือโสภณเจตสิกนั่นเองที่กำลังอบรมให้เพิ่มขึ้น

    และสำหรับตัตตรมัชฌัตตตาซึ่งเป็นสภาพที่เป็นกลาง ก็จะมีลักษณะของความวางเฉย ซึ่งเป็นลักษณะของอุเบกขา ๑๐ อย่าง ที่ได้กล่าวถึงแล้วยังไม่ครบทั้ง ๑๐ แต่ว่าได้กล่าวถึงบางประการ คือ

    • ๑. ฉฬังคุเปกขา
    • ๒. พรหมวิหารุเปกขา
    • ๓. โพชฌังคุเปกขา
    • ๔. วิริยุเปกขา
    • ๕. สังขารุเปกขา

    นี่ก็เป็นชื่อ ที่อาจลืมไปแล้ว แต่ก็พอที่จะระลึกได้เมื่อกล่าวถึง เช่น ฉฬังคุเปกขา เป็น ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิกของพระอรหันต์ ซึ่งไม่หวั่นไหวในอารมณ์ที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่กระทบสัมผัส อันนี้ก็เป็นการที่จะเตือนให้ผู้ที่ยังหวั่นไหวอยู่ได้รู้ความต่างกันของระดับขั้นของปัญญา ถ้าปัญญายังไม่ถึงขั้นที่จะไม่หวั่นไหว ในวันหนึ่งๆ ก็จะต้องหวั่นไหวไปด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง จนกว่าโสภณเจตสิกจะเกิดเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเหตุว่าเป็นกุศล

    พรหมวิหารุเปกขา ก็เป็นความไม่หวั่นไหวที่เป็นพรหมวิหาร เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข พรหมวิหารุเปกขา ก็ได้แก่ ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก

    โพชฌังคุเปกขา ก็ได้แก่ ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก

    อุเบกขาที่ ๔ คือ วิริยุเปกขา ชื่อก็พอจะทราบว่า ได้แก่ วิริยเจตสิก

    ๕ .สังขารุเปกขา ได้แก่ ปัญญาเจตสิก

    จะเห็นได้ว่าเฉพาะตัตตรมัชฌัตตตา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นกลางไม่หวั่นไหวเพียงอย่างเดียว ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญาแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะถึงสังขารุเปกขาญาณ ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๑๑

    กว่าจะค่อยๆ อบรมเจริญไป ความไม่หวั่นไหวตั้งแต่อารมณ์กระทบปรากฏ แล้วสติเริ่มระลึกรู้ศึกษาพิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น ถ้าปราศจากปัญญาแล้ว ก็เป็นตัตตรมัชฌัตตตา หรือโสภณเจตสิกขั้นทานบ้าง ขั้นศีลบ้าง ขั้นความสงบของจิตในวันหนึ่งๆ เท่านั้น

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า การอบรมเจริญกุศลก็ควรจะต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญาด้วย ไม่ใช่เพียงแต่จะเจริญกุศลเพียงขั้นทาน ขั้นศีล หรือขั้นความสงบของจิตเท่านั้น

    ก่อนที่จะกล่าวถึงสังขารุเปกขาญาณ ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณที่ ๑๑ ก็ขอทบทวนวิปัสสนาญาณขั้นต้นๆ คือ

    วิปัสสนาญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ อีกชื่อหนึ่งในอรรถสาลินี นิกเขปกัณฑ์ คือ นามรูปววัฏฐานะ ซึ่งความหมายก็อันเดียวกัน

    วิปัสสนาญาณที่ ๒ คือ ปัจจยปริคคหญาณ อีกชื่อหนึ่ง คือ ธัมมฐิติญาณ

    วิปัสสนาญาณที่ ๓ คือ สัมมสนญาณ

    วิปัสสนาญาณที่ ๔ คือ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ

    วิปัสสนาญาณที่ ๕ คือ ภังคญาณ

    วิปัสสนาญาณที่ ๖ คือ ภยญาณ

    วิปัสสนาญาณที่ ๗ คือ อาทีนวญาณ

    วิปัสสนาญาณที่ ๘ คือ นิพพิทานุปัสสนาญาณ

    วิปัสสนาญาณที่ ๙ คือ มุญจิตุกัมมยตาญาณ

    วิปัสสนาญาณที่ ๑๐ คือ ปฏิสังขาญาณ

    วิปัสสนาญาณที่ ๑๑ คือ สังขารุเปกขาญาณ

    เป็นชื่อถ้ายังไม่ประจักษ์ลักษณะของวิปัสสนาญาณแต่ละอย่างจริงๆ แต่การอบรมเจริญปัญญาทีละเล็กทีละน้อย ถ้าเป็นหนทางที่ถูก เป็นการอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ วันหนึ่งวิปัสสนาญาณต่างๆ เหล่านี้ก็จะต้องเกิด เมื่อเหตุสมควรแก่ผล

    และสำหรับวิปัสสนาญาณที่ ๑๑ คือ สังขารุเปกขาญาณ เป็นวิปัสสนาญาณสุดท้ายก่อนที่มรรควิถีจิตจะเกิดขึ้นประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพาน ถึงความเป็นพระอริยบุคคล

    เพราะฉะนั้นก็เป็นวิปัสสนาญาณขั้นสูงมาก ซึ่งแต่ละภพแต่ละชาติในสังสารวัฏ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า มีชีวิตไหนบ้างที่จะอบรมเจริญปัญญาจนถึงวิปัสสนาญาณที่ ๑๑ คือ สังขารุเปกขาญาณ ที่จะให้เป็นอุคฆติตัญญูบุคคล หรือวิปัญจิตัญญูบุคคล เหมือนในอดีตสมัยพระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย ยากแสนยากทีเดียวแม้ในครั้งนั้น เพราะฉะนั้นในครั้งนี้ซึ่งไม่ใช่กาลสมบัติ กว่าปัญญาแต่ละขั้นจะอบรมเจริญได้จริงๆ ก็จะต้องเป็นผู้ที่อดทนและรู้ได้ว่า ความเพียรนั้นต้องเพียรด้วยปัญญา ไม่ใช่เพียรโดยไม่มีปัญญาก็อยากจะเพียร เพราะอยากจะบรรลุ แต่จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบ เพราะเหตุว่าแม้เพียงพระธรรมที่ทรงแสดงที่เป็นปริยัติศาสนา ก็ยังเป็นสภาพธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง ฟังดูเผินๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน คือ ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งทุกคนมีตั้งแต่เกิดจนตายทุกภพทุกชาติ แต่การที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของธรรม ไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่เราได้ยิน ไม่ใช่เราได้กลิ่น เราลิ้มรส เราคิดนึก เราสุข เราทุกข์ และไม่ใช่เห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ ก็จะต้องเป็นธรรมที่ละเอียดมาก ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้โดยประการทั้งปวง ที่จะให้พิจารณาเห็นในความเป็นอนัตตาของธรรมทั้งหลาย

    แม้ในขั้นปริยัติ ยังละเอียด และยาก และลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นในขั้นของปฏิบัติ คือ ขั้นอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ศึกษาจริงๆ จะเพิ่มความละเอียด จะเพิ่มความยาก ต้องอาศัยความเพียร ความอดทนอีกสักแค่ไหน เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องการรู้แล้วละความยึดถือสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จนกว่าการยึดถือสภาพธรรมนั้นจะดับหมดเป็นสมุจเฉท

    สำหรับวิปัสสนาญาณที่ ๑๑ คือ สังขารุเปกขาญาณ ฟังดูจะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ แต่ว่าที่เป็นธรรมดา คือ ปัญญาที่ได้ประจักษ์แจ้งการเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรมแล้วจากวิปัสสนาญาณขั้นก่อน

    สังขารุเปกขาญาณเป็นปัญญาที่วางเฉย เป็นกลางในสภาพธรรมที่ปรากฏ ในการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    12 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ