โสภณธรรม ครั้งที่ 147


    ตอนที่ ๑๔๗

    นิภัทร การสรงน้ำพระ กระผมไม่ติดใจหรอก แต่อยากจะเล่าประเพณีทางอีสานที่สรงน้ำพระ เรารู้อยู่แล้วว่า ทางภาคอีสานกันดารน้ำ ในเดือนเมษา ซึ่งเป็นวันสงกรานต์ ทางวัดจะจัดประรำ และนิมนต์พระพุทธรูปประจำวัดไปไว้ที่ประรำหรือที่ศาลาวัดก็แล้วแต่สะดวก แล้วก็จัดที่สำหรับวางเครื่องสักการบูชาธูปเทียน และป่าวประกาศให้ชาวบ้านเอาน้ำมาสรง ส่วนใหญ่น้ำที่สรงนั้นก็เป็นน้ำหอม ใช้ขมิ้นหอมผสมกับน้ำมาสรง พระมีกี่องค์ๆ พระพุทธรูปมีกี่องค์ก็จะนำมาทั้งหมด บางแห่งก็สรงเป็นอาทิตย์ บางแห่งก็ ๓ วัน เสร็จแล้วส่วนใหญ่พวกสาวๆ ก็จะอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในวัด โดยช่วยกันไปตักน้ำ หาบน้ำมาใส่ตุ่ม ใส่โอ่งที่มีอยู่ในวัดจนเต็ม ทำให้พระ สามเณร เด็กวัดได้รับความสะดวกสบาย เพราะไม่ต้องไปรอคิวตักน้ำที่บ่อบาดาล ซึ่งกว่าจะได้น้ำแต่ละหาบๆ ก็ลำบากมาก เมื่อชาวบ้านอนุเคราะห์อย่างนี้ ก็ทำให้สามเณรและเด็กวัดได้รับความสะดวกสบาย เป็นการเกื้อกูลอย่างหนึ่ง อย่างนี้เป็นธรรมเนียมที่ทำกันมาอยู่ตลอด และนอกจากนั้นน้ำที่เหลือจากใส่โอ่งแล้ว ก็นิมนต์พระทั้งวัดให้สรงน้ำ เขาก็จะทำกันอย่างนี้เป็นประจำทุกปี ก็ไม่ทราบว่าได้ธรรมเนียมนี้มาจากไหน แต่ก็เคยเห็นมาตั้งแต่เด็ก

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่ควรจะพิจารณาว่า ขณะนั้นกุศลจิตเกิด หรือว่าเป็นความสนุกสนาน เป็นการกระทำตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพราะว่าทุกท่านก็ทราบแล้วว่า เรื่องของจิตเป็นเรื่องที่ละเอียดทั้งกุศลและอกุศล เพราะฉะนั้นจะไม่มีใครรู้ดี นอกจากตัวของท่านเองว่า ในขณะนั้นๆ เป็นกุศลจิตหรือเปล่า ถ้าในขณะนั้นเป็นกุศล เป็นความเลื่อมใส เป็นความศรัทธา เป็นความนอบน้อมสักการะก็ดีที่เป็นกุศล แต่ถ้าในขณะนั้นเป็นความสนุกสนาน ขณะนั้นก็ไม่ใช่กุศล แต่ประโยชน์คือ พระภิกษุท่านก็ได้มีน้ำใช้

    บางท่านอาจจะติดในธรรมเนียมประเพณีที่จะต้องสรงน้ำพระ แต่ว่าต้องพิจารณาจิตจริงๆ ว่า ในขณะนั้นเป็นกุศลหรือเปล่า หรือว่าเป็นการทำไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี

    พระ อาตมาเคยอยู่ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง วันนั้นเป็นวันสงกรานต์ มีงานรื่นเริงในวัด และโยมทั้งหลายก็นิมนต์พระให้มานั่งเรียงกันเพื่อจะสรงน้ำพระ พระมีประมาณ ๑๐ รูป และฆราวาสมีประมาณ ๕๐ คน และทุกคนก็ราดน้ำพระ คือ ค่อยๆ รดตามมือ ตามหลัง ตามไหล่ กว่าฆราวาสจะรดน้ำครบ พระภิกษุรู้สึกหนาว และฆราวาสที่ไปก็เล่นรื่นเริงไปด้วย ขณะนั้นรู้สึกไม่สัปปายะ กุศลจิตไม่เกิดขึ้น และไม่เข้าใจว่าทำไมโยมจึงทำประเพณีแบบนี้ อาตมาคิดว่า ถ้าโยมฉลาด ไปเที่ยวไหนกลับมาแล้ว มาทำกิจกรรมในวัดให้เกิดกุศลจิตได้ อาตมาคิดว่าเกิดประโยชน์กว่า

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนควรพิจารณา และประพฤติปฏิบัติตามด้วยเหตุผลของแต่ละคน แต่ว่าจะไปกั้นศรัทธาของคนอื่นก็คงจะยาก เพราะเหตุว่าเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ทำกันมาแล้ว แต่ผู้ใดก็ตามที่คำนึงถึงเหตุผล ก็จะรู้ลักษณะสภาพของจิตและก็รู้ว่า การแสดงการสักการะนอบน้อมเคารพพระรัตนตรัย ไม่มีอะไรจะดีเท่ากับการประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ใช่เพียงแต่การทำตามประเพณีเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ต้องพิจารณาถึงจิตในขณะที่ประพฤติปฏิบัติว่า เป็นกุศลหรือไม่ ถ้าไม่เป็นกุศล ก็ไม่จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าเป็นกุศล ในขณะนั้นก็ทำได้ แต่สำหรับพระคุณเจ้าที่ถูกอุบาสกอุบาสิการดน้ำ ก็น่าจะให้อุบาสกอุบาสิกาได้พิจารณาด้วยว่า ในครั้งพุทธกาลไม่มีธรรมเนียมอย่างนี้ ไม่มีในพระไตรปิฎกที่จะมีข้อความว่า นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาแล้วก็รดน้ำท่าน ทั้งๆ ที่พุทธบริษัทในครั้งนั้นก็เป็นผู้ที่มีศรัทธาปสาทะ และก็เป็นพระอริยบุคคลเป็นจำนวนมาก ท่านก็ยังไม่กระทำ เพราะฉะนั้นคนในสมัยนี้ก็ควรที่จะได้พิจารณา

    ขอกล่าวถึงข้อความในอรรถกถา คติยนาวาวิมาน ในขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ซึ่งมีข้อความที่แสดงให้เห็นการที่พระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์หญิงผู้หนึ่งซึ่งถวายน้ำแก่พระองค์

    ข้อความในอรรถกถา คติยนาวาวิมาน มีว่า

    พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในชนบทพร้อมด้วยพระภิกษุหมู่ใหญ่ เสด็จถึงตำบลพราหมณ์ ชื่อถูนะ แคว้นโกศล พวกพราหมณ์คฤหบดีชาวถูนะได้ยินมาว่า เขาว่าพระสมณโคดมเสด็จถึงเขตบ้านของพวกเราแล้ว

    ครั้นนั้นพราหมณ์คฤหบดีชาวถูนะที่ไม่เลื่อมใส เห็นผิด ตระหนี่เป็นปกติ คิดกันว่า ถ้าพระสมณโคดมเข้าบ้านนี้ ประทับอยู่ ๒ – ๓ วัน ก็จะพึงทำชนนี้ทั้งหมดให้อยู่ในถ้อยคำของพระองค์ แต่นั้นพราหมณธรรม คือ ลัทธิธรรมเนียมประเพณีของพราหมณ์ก็จะไม่ได้ที่พึงพาอาศัย พวกพราหมณ์จึงพากันขวนขวาย จะไม่ให้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในบ้านตำบลนั้น ช่วยกันนำเรือที่เขาพักไว้ที่ท่าน้ำออกไปเสีย เพื่อที่จะไม่ให้พระองค์เสด็จข้ามไปได้ ในหมู่บ้านตำบลนั้น เว้นบ่อน้ำไว้บ่อเดียว บ่อน้ำนอกนี้ก็ช่วยกันเอาหญ้าเป็นต้น ถมให้เต็ม แล้วปิดเสีย ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวไว้ในคัมภีร์อุทานว่า

    “ครั้นนั้นแล พราหมณ์คฤหบดีชาวถูนะพากันเอาหญ้าและฟางถมบ่อน้ำจนถึงปากบ่อ ด้วยประสงค์ว่าขอสมณะโล้นเหล่านั้นอย่าได้ดื่มน้ำเลย”

    อกุศลจิตที่จะทรมานด้วยการไม่ให้ดื่มน้ำซึ่งเป็นความจำเป็นมาก เพราะเหตุว่าน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าไม่ดื่มก็จะทุกข์กายอย่างมาก

    พระผู้มีพระภาคทรงทราบอาการวิปริตของคนเหล่านั้น ทรงเอ็นดูพวกเขา จึงพร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ข้ามแม่น้ำไปทางอากาศ เสด็จไปถึงถูนพราหมณคามตามลำดับ ทรงแวะออกจากทางประทับนั่งเหนืออาสนะที่จัดไว้ ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง

    สมัยนั้นหญิงทาสีเทินหม้อน้ำจำนวนมากเดินผ่านไปไม่ไกลพระผู้มีพระภาค ในหมู่บ้านตำบลเขาทำกติกานัดหมายกันไว้ว่า ถ้าพระสมณโคดมจักเสด็จมา ณ ที่นี้ ไม่พึงทำการต้อนรับพระองค์เป็นต้น พระสมณโคดมและเหล่าสาวกมาถึงเรือนก็ไม่พึงอาหารแม้อาหาร

    หญิงทาสีภรรยาของพราหมณ์คนหนึ่งอยู่บ้านตำบลนั้น เดินถือหม้อน้ำ พบพระผู้มีพระภาคประทับนั่งแวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุ รู้ว่าหมู่ภิกษุลำบากกายกระหายน้ำ เพราะเดินเหนื่อยมา มีจิตเลื่อมใส ประสงค์จะถวายน้ำดื่ม จึงตกลงใจว่า ถึงหากว่าชาวบ้านของเราจะตั้งกติกากันไว้ว่า ไม่พึงถวายสิ่งไรๆ ไม่ถึงทำสามีจิกรรมแก่พระสมณโคดมดังนี้ แม้เมื่อเป็นดังนั้น ผิว่าเราได้ทักขิไนยบุคคลซึ่งเป็นบุญเขตเช่นนี้แล้ว ไม่ทำที่พึ่งแก่ตนแม้ด้วยเพียงถวายน้ำดื่มไซร้ ครั้งไรเล่าเราจึงจะหลุดพ้นจากชีวิตลำเข็ญนี้ได้ นายของเรา ทั้งชาวบ้านเราทั้งหมดจะฆ่า จะจองจำเราก็ตามทีเถิด เราจะถวายปานียทาน น้ำดื่มในบุญเขตเช่นนี้ละ แม้จะถูกเหล่าทาสีที่เทินหม้อน้ำคนอื่นๆ จะห้ามปรามก็ไม่อาลัยชีวิต นางลดหม้อน้ำลงจากศีรษะ ประคองด้วยมือทั้งสอง แล้ววางลง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง เกิดปีติโสมนัส เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นิมนต์ให้เสวยน้ำดื่ม

    พระผู้มีพระภาคทรงเห็นจิตเลื่อมใสของนาง เมื่อจะทรงอนุเคราะห์นาง จึงทรงกรองน้ำล้างพระหัตถ์และพระบาท แล้วจึงเสวยน้ำดื่ม น้ำในหม้อไม่ได้หมดสิ้นไปเลย นางเห็นแล้วก็มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายแก่พระภิกษุรูปอื่นอีก ได้ถวายแก่ภิกษุอื่นๆ จนครบทุกรูป น้ำก็ไม่ได้สิ้นเปลืองหมดไป นางร่าเริงยินดี ยกหม้อน้ำที่เต็มอย่างเดิม เดินมุ่งหน้าไปยังเรือน พราหมณ์สามีของนางรู้ว่า นางถวายน้ำดื่ม เข้าใจว่าหญิงคนนี้ทำลายธรรมเนียมบ้านเสียแล้ว เราก็ต้องถูกครหาแน่ล่ะ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงทำร้ายนางล้มกลิ้งไปที่พื้น ด้วยการกระทำนั้นนางก็สิ้นชีวิต ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์

    ไม่มีการรดน้ำทั้งๆ ที่พระผู้มีพระภาคก็ทรงกระหายน้ำ แต่เมื่อนางมีจิตเลื่อมใส พระผู้มีพระภาคทรงกรองน้ำล้างพระหัตถ์และพระบาท แล้วจึงเสวยน้ำดื่ม

    ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคทรงเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสสั่งว่า “อานนท์ เธอจงนำน้ำจากบ่อมาให้เราทีเถอะ”

    พระเถระทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ชาวถูนะถมบ่อน้ำเสียแล้ว ไม่อาจนำน้ำมาถวายได้พระเจ้า”

    พระผู้มีพระภาคตรัสทั้งครั้งที่ ๒ ทั้งครั้งที่ ๓ ในครั้งที่ ๓ ท่านพระอานนท์ถือบาตรของพระผู้มีพระภาคเดินบ่ายหน้าไปยังบ่อน้ำ เมื่อพระเถระกำลังเดินไป น้ำในบ่อก็เต็มล้นไหลไปโดยรอบ หญ้าฟางทั้งหมดก็ลอยไหลออกไปเอง น้ำที่ไหลนั้นก็เพิ่มสูงขึ้นๆ เต็มแหล่งน้ำแห่งอื่นๆ ล้อมหมู่บ้านตำบลนั้น ท่วมพื้นที่หมู่บ้านไว้ พวกพราหมณ์เห็นปาฏิหาริย์นั้นก็เกิดอัศจรรย์จิตไม่เคยมี จึงขอขมาพระผู้มีพระภาค น้ำหลากหลายก็หายวับไปทันที

    พราหมณ์เหล่านั้นจัดแจงที่อยู่สำหรับพระผู้มีพระภาคและหมู่ภิกษุ นิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น พอรุ่งขึ้นก็จัดมหาทานเลี้ยงดูหมู่ภิกษุ มีพระผู้มีพระภาคเป็นประธานด้วยของเคี้ยว ของกินอันประณีต พราหมณ์คฤหบดีชาวถูนะทุกคน เข้าไปนั่งเฝ้าใกล้พระผู้มีพระภาคซึ่งเสวยเสร็จ ยกพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว

    สมัยนั้นเทวดาองค์นั้นพิจารณาสมบัติของตน ทบทวนถึงเหตุแห่งสมบัตินั้น ก็รู้เหตุนั้นว่า ปานียทาน ถวายน้ำดื่ม เกิดปีติโสมนัส จึงลงมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคฟังพระธรรม และได้บรรลุพระโสดาบัน

    นี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการกระทำของพุทธบริษัทซึ่งมีจิตเลื่อมใสในครั้งนั้น เพราะฉะนั้นแต่ละท่านก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า การที่จะกระทำทุกสิ่งทุกอย่างควรจะมีเหตุผลที่สมควร และไม่ควรที่จะปะปนขนบธรรมเนียมของคฤหัสถ์กับบรรพชิต มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่เป็นไปตามพระวินัย ซึ่งจะทำให้พระภิกษุท่านลำบากใจ

    สำหรับผลของการฟังพระธรรมนั้นก็จะเห็นได้ว่า สำหรับแต่ละบุคคลจริงๆ ที่จะได้ประโยชน์จากการฟังพระธรรม จะมากหรือจะน้อย จะช้า หรือจะเร็ว ต้องเป็นไปตามความเข้าใจพระธรรมที่ได้ฟัง เพราะเหตุว่าการที่จะกล่าวว่า เข้าใจธรรม ไม่ใช่เพียงแต่การเข้าใจเรื่องของจิต เรื่องของเจตสิก เรื่องของรูป และก็รู้ว่ามีจิตกี่ประเภท เจตสิกมีอะไรบ้าง เกิดกับจิตประเภทไหนบ้าง แต่ต้องเป็นการเข้าใจสภาพธรรมที่เกิดกับตนจริงๆ จึงจะชื่อว่า เป็นการเข้าใจธรรม

    เช่นท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง หลังจากที่ท่านฟังพระธรรมมาถึง ๒๐ ปี ท่านเริ่มรู้จักและเข้าใจธรรมที่เกิดกับท่านเอง เริ่มเห็นว่า ความคิดต่างๆ ของท่านในวันหนึ่งๆ นั้น ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย เป็นอนัตตาจริงๆ แม้แต่เรื่องที่ท่านไม่อยากจะคิด เช่นเรื่องของคนอื่น เวลาที่มีคนอื่นมาเล่าอะไรให้ฟัง ท่านก็เห็นว่า ไม่น่าที่จะต้องคิดมากมายในเรื่องของคนอื่น เพราะฉะนั้นตอนกลางวันท่านก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น เพราะเห็นว่าไม่ควรที่จะคิด แต่ถึงกระนั้นก็ตามตอนกลางคืนท่านก็ยังฝันถึงเรื่องของคนที่เล่าให้ท่านฟัง

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครจะมีอำนาจบังคับบัญชาจิตใจได้เลย ทุกอย่างที่ผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางมโนทวารวิถีจะซับ คือมีเรื่องนั้นสะสมไว้ โดยที่ว่าแม้แต่ขณะที่นอนหลับ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจเลย ก็ยังฝันถึงเรื่องของคนอื่นซึ่งไม่อยากจะฝันถึง เพราะฉะนั้นก็เริ่มเห็นความละเอียดของอกุศลจิต ความติดความข้อง ความกังวลใจ ซึ่งทุกคนมีเป็นอันมากในวันหนึ่งๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเรื่องใหญ่ หรือแม้แต่เรื่องของคนอื่นก็ตาม ท่านก็เป็นผู้มีความสนใจในเครื่องเพชรนิลจินดา เพราะฉะนั้นท่านก็เห็นคุณของพระธรรมที่ทรงแสดงพระธรรมไว้โดยละเอียด ท่านก็เปรียบว่าเป็นดุจแว่นแก้วที่ขยายทุกอย่างให้เห็นอย่างละเอียดมาก เป็นแต่ละขณะจิต ตามวิถีจิตต่างๆ ทำให้เห็นว่าปกติประจำวันอกุศลเกิดมากทีเดียว ซึ่งก็เหมือนกับเพชรที่ดูก็น้ำดี มีประกายงดงาม แต่เวลาที่ใช้แว่นส่องดูก็ยังเห็นฝุ่นละอองที่ติดอยู่ตามเพชรนั้นได้

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าได้เข้าใจธรรมละเอียดขึ้นก็สามารถจะพิจารณาธรรมที่เกิดกับตน และรู้ได้ว่า สิ่งใดเป็นสาระ และสิ่งใดไม่เป็นสาระ เพราะฉะนั้นถ้าเห็นอกุศลมาก ก็จะทำให้ขวนขวายในการที่เจริญกุศลยิ่งขึ้น

    อีกท่านหนึ่งก็เป็นผู้ที่ฟังพระธรรมมานานมาก เป็นสิบๆ ปีเหมือนกัน ท่านก็ระลึกได้ว่า วันหนึ่งๆ อกุศลจิตช่างมากมายเหลือเกิน เป็นโลภะอยู่เสมอตลอดเวลา ไม่ว่าจะคิดนึกเรื่องอะไรก็ตาม และปกติท่านก็เป็นผู้ที่ช่างคิด เพราะฉะนั้นท่านก็เป็นคนที่เรียกได้ว่า เป็นคนคิดมากท่านหนึ่ง แต่เมื่อท่านได้ฟังพระธรรมนานๆ เข้า ท่านก็เกิดระลึกได้ในขณะที่ท่านนอนก่อนจะหลับ ท่านก็รู้ว่า ขณะที่เกิดวิตก คือ ตรึกนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต เพราะฉะนั้นถ้าท่านตายในขณะที่ท่านนอนหลับ เมื่อปฏิสนธิจิตเกิด โลภมูลจิตก็ต้องเกิดต่อแน่นอน เพราะเหตุว่าก่อนจะหลับก็เป็นโลภะ เพราะฉะนั้นเมื่อตายในขณะที่หลับ ตื่นขึ้นก็ต้องเป็นโลภะ เมื่อตายในขณะที่หลับ หลังจากที่ปฏิสนธิแล้ว โลภะก็ต้องเกิด เหมือนกับวันหนึ่งๆ ก่อนนอนหลับไปเป็นโลภะ และทันทีที่ตื่นก็โลภะนั่นเองเกิดอีก ฉันใด เพราะฉะนั้นถ้าตายในระหว่างที่หลับ เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดแล้วหลังจากนั้น ก็คือโลภะอีกนั่นเอง

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เมื่อไรจะจบสิ้น นี่ก็เป็นการเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดกับตน นี่คือประโยชน์ที่จะได้รับจากการฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ก็ตาม เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่เกิดกับตนตามความเป็นจริง และสำหรับการสนทนาธรรมก็ดี กล่าวธรรมก็ดี แสดงธรรมก็ดี ไตร่ตรองธรรมก็ดี ก็เพื่อที่จะให้หวั่นไหวน้อยลงในเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับตน มิฉะนั้นแต่ละคนซึ่งหลงลืมไม่คิดถึงธรรม เวลากระทบกับเหตุการณ์ต่างๆ ก็ย่อมจะต้องหวั่นไหวไปมากบ้างน้อยบ้าง เพราะเหตุว่าการฟังธรรม เมื่อฟังจบแล้วก็ลืมไป เหมือนกับเรื่องทุกเรื่องที่คิดแล้วก็ลืม การเรียนทุกอย่างถ้าไม่ได้ทบทวนบ่อยๆ เรียนแล้วจำได้ชั่วขณะแล้วก็ลืมไป เพราะฉะนั้นพระธรรมก็เหมือนกัน ถ้าไม่ฟังพระธรรมอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าในอดีตชาติจะเคยสะสมการฟังพระธรรมมามากก็ตาม แต่ถ้าในปัจจุบันชาตินี้ ฟังน้อย หรือฟังแล้วก็ไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองเสมอๆ ก็ย่อมลืมได้ ซึ่งท่านผู้ฟังก็จะสังเกตได้ว่า วันหนึ่งๆ ลืมพระธรรมมากไหม ในขณะที่กำลังฟังเข้าใจ เสร็จแล้วก็ลืม แล้วเวลาที่มีโอกาสฟังอีก ในขณะนั้นก็เข้าใจ แล้วเสร็จแล้วก็ลืมอีก ชีวิตประจำวันก็เป็นอย่างนี้ ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรม หรือไม่ใช่เรื่องธรรม เพราะฉะนั้นก็ต้องแล้วแต่ว่า จะทบทวนสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมากน้อยแค่ไหน ถ้าทบทวนพิจารณาอยู่บ่อยๆ ย่อมสามารถเข้าใจสภาพธรรมที่เกิดกับตนเองได้มากขึ้น

    เท่าที่ได้ฟังจากท่านผู้ฟัง รู้สึกว่าบางท่านยังสับสน คือ ยังไม่เข้าใจชัดเจนในเรื่องของชวนวิถีทางปัญจทวารและทางมโนทวาร


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    23 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ