โสภณธรรม ครั้งที่ 103


    ตอนที่ ๑๐๓

    เพราะฉะนั้นก็มีปัญหาที่น่าคิด เพราะเหตุว่าถ้าจะพิจารณาแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ผ่านความตายไปทุกวัน แต่ละวันๆ หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่า ผ่านความตายไปแต่ละขณะๆ เพราะฉะนั้นการที่จะสิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้ ในชาตินี้ ก็คงจะใกล้เข้ามาทุกขณะที่แต่ละขณะผ่านไป และการที่จะเกิดในภพภูมิต่อไปนั้น ก็แล้วแต่กรรมหนึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ ซึ่งก็เลือกไม่ได้ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมอะไรที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด แต่ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิไหนก็ตาม สภาพของจิตก็จะเป็นไปตามการสะสม

    เพราะฉะนั้นถ้าปัจจุบันชาตินี้ยังรัก ยังโลภ ยังโกรธ ยังหลง ยังพยาบาท ยังริษยา ยังสำคัญตนมากน้อยอย่างไร ชาติหน้าเปลี่ยนไปได้ไหมคะ ก็จะต้องเหมือนอย่างนี้ แต่ว่าจะมากขึ้นหรือจะน้อยลง ก็ตามการสะสมของปัจจุบันชาติในแต่ละขณะนี้เอง

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความสำคัญของแต่ละขณะในชีวิตว่า จะเป็นประโยชน์เมื่อกุศลจิตเกิด และก็จะเป็นประโยชน์มากขึ้น เมื่อสามารถจะรู้ว่า เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นสำหรับในชาตินี้ก่อนที่จะตาย ก็น่าคิดว่า อยากจะเป็นคนดี หรือว่าอยากจะเป็นพระโสดาบัน ลองคิดดูว่า ต้องการอย่างไหน ขอเชิญท่านผู้ฟังแสดงความคิดเห็นค่ะ อยากจะเป็นคนดีทุกๆ วันเพิ่มขึ้นด้วยการเจริญกุศลทุกประการ หรือว่าอยากจะเป็นพระโสดาบัน

    มีสิทธิ์ที่จะคิดได้ทุกท่าน ถ้าคิดถูก ก็เป็นปัญญา ถ้าคิดผิด ก็ไม่ใช่ปัญญา

    นิภัทร สำหรับกระผมเองชาตินี้คงไม่ได้เป็นพระโสดาบัน เพราะพยายามมานานแล้ว เพราะอะไร เพราะความเข้าใจมีน้อย ถ้าความเข้าใจมีอยู่แค่นี้ ชาตินี้คงไม่ได้เป็นพระโสดาบันแน่ๆ แต่ก็พยายามจะทำเป็นคนดี แต่ความดีก็รู้สึกว่าทำน้อยเหลือเกิน โดยมากมักจะนึกถึงสิ่งใหญ่ๆ ในการทำความดี เช่นทำบุญบวชนาค ทอดกฐินบ้าง ทอดผ้าป่าบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นบุญในเทศกาลที่ใหญ่ แต่บุญเล็กบุญน้อยที่เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ อย่างไวยาวัจจมัย ปัตตานุโมทนามัย ปัตติทานมัย พวกนี้มักจะมองผ่าน ถ้าหากตราบใดที่เรายังดูถูกบุญเล็กบุญน้อยประจำวันนี่ ซึ่งเราควรจะบำเพ็ญได้ทุกขณะ กระผมว่าตราบนั้นบารมีหรือสติปัญญาของเราที่จะเป็นเครื่องอบรมให้เกิดสติปัฏฐานนั้น ก็คงไม่ฉับพลันทันทีที่จะเห็นแจ้งในสัจธรรมได้

    เพราะฉะนั้นจะต้องบำเพ็ญบุญกุศลเล็กๆ น้อยๆ อย่าดูถูกดูหมิ่น กระผมก็ได้จำที่ พ.อ.ธงชัยเคยพูดว่า ทานนี่อย่าประมาท ทำไปเถอะ บาทหนึ่ง สองบาท เห็นคนขอทานที่เราเดินผ่าน อะไรก็ได้ เราอย่าไปดูถูกดูหมิ่น แสดงเจตนาหรือไปคิดในทางอกุศลว่า ได้เงินไปคงเอาไปซื้อเหล้า อย่าไปคิดอย่างนั้น ถ้าจิตเราเป็นกุศลได้ทุกๆ ขณะที่เราสามารถที่จะทำได้ กระผมคิดว่าก็เป็นประโยชน์สำหรับชีวิตของเรา ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน ในส่วนที่หวังผลขั้นสูง จนถึงมรรคผลนิพพาน กระผมว่ายังอยู่ห่างมาก ทั้งนี้เป็นเพราะสติปัญญา ความเข้าใจในธรรมยังน้อยเหลือเกิน

    พระ อาตมาคิดว่า การที่จะเป็นคนดีหรือการที่จะเป็นพระโสดาบัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความอยาก แต่ขึ้นอยู่กับการเจริญเหตุให้ตรงกับผล คือ มีความเห็นถูกนั่นเอง ลักษณะไหนจะเป็นคนดี ลักษณะไหนถึงจะเป็นพระโสดาบัน คิดว่าสำคัญที่เหตุ และความเข้าใจ ซึ่งต้องใช้ปัญญา และเป็นความเห็นที่ถูกมากกว่า

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เป็นอกุศล แต่ว่าเป็นฉันทะ คือว่าเป็นผู้ใคร่จะกระทำ ไม่ทราบว่าในชาตินี้อยากจะเป็นคนดี ใคร่ที่จะเป็นคนดี มีฉันทะที่จะเป็นคนดี หรือว่าจะเป็นพระโสดาบัน

    พระ ถ้าหากเป็นฉันทะที่เกิดจากกุศล เข้าใจ คิดว่าเป็นพระโสดาบันดีกว่า เพราะว่าขณะนั้นไม่มีความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน คือทำลายสักกายทิฏฐิได้แล้วขั้นต้น

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้ารู้ว่ายังเป็นอีกไกลมาก เพราะฉะนั้นในชาตินี้ที่มีชีวิตอยู่ทุกวันๆ นี้ ฉันทะจะเป็นอย่างไร

    พระ เจริญกุศลทุกขั้น เท่าที่เจริญได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า เรื่องของแม้แต่การที่จะเป็นคนดีจริงๆ ก็จะต้องประกอบด้วยปัญญาถึงจะดีได้ ไม่ใช่ว่าใคร่จะเป็นคนดี หรือว่าอยากจะเป็นคนดี โดยปัญญาไม่เกิดแล้วก็จะเป็นได้ เพราะเหตุว่าคนที่จะเป็นคนดีได้จริงๆ ต้องเป็นคนที่รู้จักตัวเองว่า ไม่ดีอย่างไร ถูกไหม เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่มีกิเลส จะดีได้อย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้และก็คิดว่าดีแล้ว ขณะนั้นก็จะเป็นคนดีจริงๆ ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นคนดีได้จริงๆ ก็คือต้องดีถึงกับหมดกิเลส แต่ว่าเมื่อไม่สามารถจะดับกิเลสหรือหมดกิเลสได้ ก็จะต้องอบรมเจริญเหตุ คือ ความดีที่จะให้หมดกิเลสไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญญาจะดับกิเลสได้ เพราะเหตุว่าการจะเป็นคนดีจริงๆ ก็คือต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาและก็ดับกิเลส มิฉะนั้นก็จะชื่อว่า ดีจริงๆ ไม่ได้ หรือสำหรับผู้ที่รู้เหตุและผล ก็เข้าใจได้ว่า การเป็นพระโสดาบันบุคคลนั้นเป็นผล ไม่ใช่เป็นเหตุ เพราะฉะนั้นถ้าปราศจากเหตุคือบารมีต่างๆ คุณความดีต่างๆ ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งขันติ สัจจะ วิริยะ อธิษฐาน ปัญญา เมตตา อุเบกขา เนกขัมมะ ก็จะเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า การเป็นพระโสดาบันเป็นผลของการอบรมเจริญความดีในชีวิตประจำวันจนกว่าจะสมบูรณ์พร้อมด้วยปัญญาเมื่อไร ก็จะบรรลุผลคือ เป็นพระโสดาบันเมื่อนั้น

    เพราะฉะนั้นชีวิตที่ยังเหลืออยู่ ก็เจริญเหตุที่จะทำให้บรรลุการเป็นพระโสดาบันข้างหน้า โดยการที่ว่าต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาที่จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง

    เรื่องของความดี ก็มีมากมายหลายประการ ซึ่งถ้าทราบว่า ความดีมีอะไรบ้างที่เป็นหลักใหญ่ๆ ที่ไม่ควรลืม ซึ่งท่านพระเถระในอดีตก็ได้กล่าวไว้ แม้ว่าท่านได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ควรที่จะได้เห็นประโยชน์ของคาถาที่พระอรหันต์ในอดีตได้กล่าวไว้

    ในอรรถกถากุมาปุตตเถรคาถา ข้อ ๑๗๓ มีข้อความว่า

    ได้ยินว่า ท่านกุมาบุตรเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า

    การฟังเป็นความดี ความประพฤติมักน้อยเป็นความดี การอยู่โดยไม่ห่วงใยเป็นความดีทุกเมื่อ การถามสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นความดี การทำตามโอวาทโดยเคารพ เป็นความดี กิจมีการฟังเป็นต้นนี้เป็นเครื่องสงบของผู้ไม่มีกังวล

    นี่คือจากชีวิตประจำวันไปสู่การดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เริ่มจากการฟังเป็นความดี ความประพฤติมักน้อยเป็นความดี การอยู่โดยไม่ห่วงใยเป็นความดีทุกเมื่อ

    ถ้าไม่เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ชีวิตประจำวันมีใครบ้างที่ไม่ห่วงใย ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิต เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจอรรถของพระอรหันต์ก็จะต้องรู้ด้วยว่า คาถาที่ท่านกล่าวไม่ใช่เพียงแต่อ่าน แล้วก็คิดว่าไม่มีอะไร แล้ววันหนึ่ง ก็จะเป็นพระอรหันต์ แต่ว่าต้องเข้าใจถึงอรรถ ถึงเหตุที่จะให้บรรลุผลนั้นๆ ด้วย แม้แต่การที่จะอยู่โดยไม่ห่วงใยเป็นความดีทุกเมื่อ ถ้ายังเป็นตัวตน เป็นเรา ไม่ใช่เป็นชั่วขณะจิตเดียวที่เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นคิดนึกแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นเป็นสุขเป็นทุกข์แล้วก็ดับไป ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ ทุกคนยังห่วงใย ตั้งแต่เช้าจนค่ำก็มีเรื่องที่จะต้องห่วงใย ขณะที่จะไม่ห่วงใยก็คือขณะที่สติปัฏฐานเกิด แล้วระลึกลักษณะของสภาพธรรม พิจารณาจนรู้ชัดว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

    การถามสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นความดี การทำตามโอวาทโดยเคารพเป็นความดี กิจมีการฟังเป็นต้นนี้เป็นเครื่องสงบของผู้ไม่มีกังวล

    เพราะฉะนั้นก็เริ่มจากการฟังพระธรรม ซึ่งจะนำมาซึ่งความสงบอันแท้จริงด้วยการอบรมเจริญปัญญา

    เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ อยู่ไปอย่างไรก่อนที่จะตายจากโลกนี้ คือ ทุกคนเกิดมาแล้วตายไม่ได้ ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่จะตาย ใครจะทำให้ตายก็ตายไม่ได้ เพราะเหตุว่าจุติจิตเป็นผลของกรรม จุติจิตเป็นวิบากจิต เพราะฉะนั้นคนที่เกิดมาแล้วก็ต้องอยู่ไป แต่ว่าการอยู่ไปแต่ละวันๆ จะอยู่ไปอย่างไรก่อนที่จะตายจากโลกนี้

    ข้อความในอรรถกถา ขุททกนิกาย นิทานกถาวรรณนา มีข้อความว่า

    ด้วยศัพท์ว่า ธัมมวิหาร ในบทว่า ยถาธมฺมวิหาริโน นี้ ท่านแสดงถึงการถึงพร้อมด้วยการฟังพระสัทธรรม เพราะเว้นจากการฟังธรรมเสียแล้ว จะไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่นั้นได้เลย

    เพราะฉะนั้นทุกท่านที่ได้ฟังพระธรรม ก็เพื่อประโยชน์ที่จะได้มีพระธรรมเป็นเครื่องอยู่ แต่ถ้าไม่ฟังพระธรรมแล้ว เว้นจากการฟังธรรมเสียแล้ว จะไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่นั้นได้เลย

    ก็น่าจะพิจารณาได้ว่า ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม มีธรรมเป็นเครื่องอยู่หรือยัง และเมื่อได้ฟังแล้ว มีธรรมเป็นเครื่องอยู่หรือยัง ขณะใดที่อบรมเจริญปัญญาและเจริญกุศล ขณะนั้นก็มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ อาศัยจากการฟัง และก็เข้าใจ และเห็นประโยชน์

    ข้อความอีกตอนหนึ่งมีว่า

    เมื่ออยู่ในประเทศที่ไม่สมควรก็ดี เว้นจากการคบหากับสัตบุรุษก็ดี คุณพิเศษเหล่านั้นจะมีไม่ได้เลย แสดงถึงการประกอบด้วยสมบัติ คือการฟังพระสัทธรรม

    ทุกท่านไม่ทราบว่า เห็นสมบัติของตัวเองจากการฟังพระสัทธรรมหรือยัง เป็นสมบัติที่แท้จริง ประเสริฐยิ่งกว่าสมบัติทั้งหลายที่มี

    ลองคิดถึงสมบัติทั้งหลายที่มี ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา บ้านช่อง เครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหลาย สมบัติที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสมบัติทั้งหลายที่มี จะได้แก่อะไร เพราะเหตุว่าเว้นจากการฟังพระธรรมเสียแล้ว การแทงตลอดซึ่งสัจจธรรมของพระสาวกทั้งหลายจะมีไม่ได้เลย ทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทองจะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ได้ แต่ว่าการฟังพระธรรม การเข้าใจพระธรรม เป็นเหตุที่จะทำให้แทงตลอดสัจจธรรมได้

    มีท่านผู้ฟังคิดว่า ใครจะแลกสมบัติอันนี้ก็ไม่ปรารถนาที่จะแลก เมื่อฟังพระธรรมแล้วก็เข้าใจเรื่องของสภาพธรรม จิต เจตสิก รูป หรือนามธรรม หรือรูปธรรมที่กำลังปรากฏ หรือว่ายังอยากจะแลกกับสมบัติอื่น

    เรื่องของการฟังจะทำให้เข้าใจเหตุผลที่ถูกต้อง ซึ่งจะต้องพิจารณาโดยละเอียด โดยเฉพาะในเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน ที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะเหตุว่าถ้าไม่พิจารณาเหตุผลจริงๆ ก็จะทำให้เข้าใจผิดและปฏิบัติผิดได้ เพราะเหตุว่าหลายท่านทีเดียวอยากจะปฏิบัติ ไม่ทราบทำไม ทำไมไม่อยากจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม และการเข้าใจนั้นคือปัญญาที่จะค่อยๆ เจริญขึ้น จนถึงขั้นที่เป็นสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเข้าใจเลย จะปฏิบัติได้อย่างไร และบางท่านก็บอกว่า ปฏิบัติเพื่อที่จะให้ถึงพระนิพพาน โดยที่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย แล้วจะถึงพระนิพพานได้อย่างไร ถ้าถามว่าพระนิพพานคืออะไร ก็ยังตอบไม่ได้ แต่คิดว่า ถ้าไปนั่งสงบ เข้าใจว่าสงบแล้วปัญญาก็จะเกิด แล้วก็จะรู้แจ้งนิพพานได้ นั่นก็เป็นเพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจว่า ปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้นคืออย่างไร

    ข้อความในอรรถกถา สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ปฐมรูปารามสูตรที่ ๓ มีข้อความว่า

    เจ้าลัทธิทั้งหมดมีความสำคัญว่า พวกเราจะบรรลุพระนิพพาน แต่พวกเขาย่อมไม่รู้แม้ว่า ชื่อว่า นิพพานคือสิ่งนี้

    ซึ่งข้อความตอนท้ายของพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    เธอจงรู้ธรรมที่รู้ได้ยาก คนพาลผู้หลงไม่รู้แจ้งในนิพพานนี้ ความมืดย่อมมีแก่บุคคลผู้ไม่เห็น นิพพานย่อมมีแก่สัตบุรุษ เหมือนแสงสว่างย่อมมีแก่บุคคลผู้เห็น

    ชนทั้งหลายผู้แสวงหาไม่ฉลาดในธรรม ถึงอยู่ใกล้ก็ไม่รู้แจ้งธรรมนี้

    ผู้ที่ฟังพระธรรมเข้าใจแล้วก็ทราบได้ใช่ไหมว่า ขณะนี้อะไรอยู่ใกล้ที่จะรู้แจ้ง ที่จะประจักษ์อริยสัจจธรรม กำลังเห็น ใกล้หรือไกล กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เอง กำลังได้ยินในขณะนี้ ใกล้หรือไกล กำลังคิดนึกในขณะนี้ ใกล้หรือไกล

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้แจ้งธรรมที่อยู่ใกล้ คือ กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึก กำลังเป็นสุขกำลังเป็นทุกข์ ที่จะบรรลุพระนิพพานก็เป็นไปไม่ได้

    ข้อความในอรรถกถาอธิบายต่อไปว่า

    ความมืดมนย่อมมีแก่ผู้ไม่เห็นเพราะถูกเครื่องกางกั้น คือ กิเลสหุ้มห่อร้อยรัดไว้

    นี่ก็ไม่ใช่คนอื่นเลย คือ ขณะใดที่สติปัฏฐานไม่เกิด ก็คือความมืดมนย่อมมีแก่ผู้ไม่เห็น สภาพธรรมกำลังเกิดดับก็ไม่เห็น เพราะถูกเครื่องกางกั้นคือกิเลส ความไม่รู้หุ้มห่อร้อยรัดไว้

    เพราะฉะนั้นกว่าสติปัฏฐานจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ต้องอาศัยการฟัง แล้วยังต้องเห็นโทษของความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมด้วย ไม่ใช่เพียงอยากจะถึงนิพพาน หรืออยากจะหมดกิเลส แต่ต้องรู้ว่า โทษของความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ทำให้ไม่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ

    ธีรพันธ์ ที่อาจารย์กล่าวว่า เห็นมีจริง กำลังปรากฏ ทำไมอาจารย์ไม่บอกว่า เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เห็นทั่วไปในห้องนี้ ทำไมอาจารย์กล่าวว่า เห็นมีจริง ทางตาเกิด

    ท่านอาจารย์ ก่อนที่ฟังพระธรรม อะไรปรากฏ

    ธีรพันธ์ สัตว์บุคคลตัวตน คิดเรื่องราว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อฟังพระธรรมแล้ว อะไรกำลังปรากฏทางตา

    ธีรพันธ์ จักขุวิญญาณ สภาพเห็น

    ท่านอาจารย์ จักขุวิญญาณเป็นสภาพรู้ คือ เห็น และอะไรกำลังปรากฏทางตา หลายๆ สี ถูกไหม ถ้าพูดอย่างนี้ หลายๆ สีกำลังปรากฏทางตา

    ธีรพันธ์ กล่าวว่า รูป

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจว่ารูปคืออะไร รูปคือสิ่งที่ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังเห็น นามธรรมคือกำลังเห็น เห็นอะไรทางตา เห็นสีหลายๆ สี

    ธีรพันธ์ บางทีผมเพลิน และมาฟังธรรม ได้ยินเสียงอาจารย์บอกว่า เห็นมีจริงไหม ตอนที่ไม่ได้ยินว่าเห็น ผมก็มองไปเรื่อย พอได้ยินคำว่าเห็น สายตาบังคับบัญชาไม่ได้เลย แต่ว่าเห็นอะไรไหม สายตาก็เลื่อนไปมา คือความต่างกัน ทำให้เกิดสติขึ้นมา เห็นเฉพาะหน้า ที่อาจารย์บอกว่าเห็นมีจริง และสายตาที่เลื่อนไปมานี่ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ทำไมต้องเลื่อนด้วย

    ธีรพันธ์ มันบังคับบัญชาไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาไม่ได้ ก่อนจะเลื่อนนั้นมีเห็นไหม

    ธีรพันธ์ อาจารย์บอกเห็นอะไร เห็นมีจริง

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เลื่อน เห็นไหม

    ธีรพันธ์ เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นก็ต้องเห็น เห็นก็คือเห็น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้

    ธีรพันธ์ คือก็ไม่เลื่อนมาก นิดเดียว

    ท่านอาจารย์ ก็ทำไมจะต้องนิดหรือมากละคะ ไม่ต้องทำอะไรเลย อย่าลืมว่า สติปัฏฐานเกิด ไม่ใช่ว่าให้ทำอะไร สติปัฏฐาน คือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ให้ทำอะไร แม้แต่จะเลื่อนตา ก็ไม่ต้องเลื่อน

    ข้อความต่อไปมีว่า

    บทว่า อนฺธกาโร อปสฺสตํ ได้แก่ ความมืดมนย่อมมีแก่ผู้ไม่เห็น

    ถามว่า ข้อนั้นทำไมจึงเป็นอย่างนั้น

    แก้ว่า คนเขลาย่อมไม่ประสบพระนิพพาน หรือการเห็นพระนิพพาน พระนิพพานก็ดี การเห็นพระนิพพานก็ดีของคนพาลผู้ไม่เห็นอยู่ ย่อมเป็นเหมือนมณฑลพระจันทร์ที่ถูกเมฆดำปิดไว้

    บทว่า สนฺติเก น วิชานนฺติ มคฺคา ธมฺมสฺส อโกวิทา ความว่า พระนิพพานได้ชื่อว่า อยู่ใกล้ เพราะผู้แสวงหากำหนดส่วนในผม หรือขน เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งในร่างกายของตนเป็นอารมณ์ พึงบรรลุได้โดยลำดับ หรือเพราะแสวงหาความดับขันธ์ทั้งหลายของตน พระนิพพานนั้นนั่นแหละ แม้อยู่ใกล้ๆ เหล่าชนผู้แสวงหา ผู้ไม่ฉลาดในธรรม ก็ไม่รู้ซึ่งทางและมิใช่ทาง หรือสัจจธรรม ๔

    จะทำตามนี้หรือเปล่า คือ ผู้แสวงหากำหนดส่วนในผม หรือขน เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งในร่างกายของตนเป็นอารมณ์ พึงบรรลุได้โดยลำดับ

    ดูเหมือนกับว่าไม่ต้องอบรมเจริญปัญญาอะไรเลย เพียงแต่อ่านอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ ก็จะบรรลุพระนิพพาน โดยที่ไม่ได้พิจารณาข้อความต่อไปที่ว่า

    หรือเพราะแสวงหาความดับขันธ์ทั้งหลายของตน

    มีขันธ์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เรา เพราะใช้คำว่า “ขันธ์”

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพิจารณาระลึกรู้ลักษณะของรูปใดที่กาย ก็จะต้องรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะเหตุว่าเป็นขันธ์แต่ละขันธ์ที่เกิดแล้วก็ดับไป และก็ควรจะพิจารณาข้อความในพระไตรปิฎกและอรรถกถาให้สอดคล้องกันด้วย เช่น ข้อความในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระวิภังคปกรณ์ สัจจวิภังคนิทเทส มีข้อความว่า


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    11 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ