โสภณธรรม ครั้งที่ 104


    ตอนที่ ๑๐๔

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพิจารณาระลึกรู้ลักษณะของรูปใดที่กาย ก็จะต้องรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะเหตุว่าเป็นขันธ์แต่ละขันธ์ที่เกิดแล้วก็ดับไป และก็ควรจะพิจารณาข้อความในพระไตรปิฎกและอรรถกถาให้สอดคล้องกันด้วย เช่น ข้อความในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระวิภังคปกรณ์ สัจจวิภังคนิทเทส มีข้อความว่า

    ขันธ์ทั้งหลายนั่นเองย่อมปรากฏโดยปรมัตถ์ ไม่ใช่สัตว์

    นี่คือผู้ที่รู้จักขันธ์ เข้าใจขันธ์ ไม่ใช่เห็นขันธ์เป็นตัวตน

    ขันธ์ทั้งหลายนั่นเองย่อมปรากฏโดยปรมัตถ์ ไม่ใช่สัตว์

    นี่คือลักษณะของขันธ์จริงๆ แต่เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจขันธ์ว่าเป็นขันธ์ ก็เลยยึดถือขันธ์ว่าเป็นตัวตน ทั้งๆ ที่ขันธ์โดยสภาพแล้วย่อมปรากฏโดยปรมัตถ์ เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูป เป็นสิ่งที่มีจริง ที่เป็นรูปเพราะเหตุว่าไม่ใช่สภาพรู้ สีสันต่างๆ ที่กำลังปรากฏทางตาไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นขันธ์นั่นเองย่อมปรากฏโดยปรมัตถ์

    ไม่ได้ปรากฏว่าเป็นอย่างอื่นเลย เป็นเพียงสีหลายๆ สี แต่ว่าเมื่อไม่รู้ว่าเป็นขันธ์ที่ปรากฏโดยความเป็นปรมัตถ์ ก็ยึดถือขันธ์นั้นว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นสิ่งต่างๆ

    สำหรับการแสดงหนทางข้อปฏิบัติของพระผู้มีพระภาคในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ย่อมต่างกับหนทางข้อปฏิบัติของเดียรถีย์ ซึ่งเป็นคำสอนของลัทธิอื่น

    ข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย นิทานกถาวรรณนา มีข้อความว่า

    วาทะของอัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย จะทนวาทะของพระเถระทั้งหลายไม่ได้ ที่ไหนจะทนการครอบงำได้ ที่แท้วาทะของพระเถระนั่นแหละจะครอบงำวาทะของเดียรถีย์เหล่านั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าเถรวาทะเป็นไปตามพระไตรลักษณ์และหลักธรรมว่า

    สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

    ในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถา พระวิภังคปกรณ์ ธาตุวิภังคนิทเทส มีข้อความว่า

    ขึ้นชื่อว่า อัตตาของพวกเดียรถีย์ ย่อมไม่มีภาวะของตนฉันใด ธาตุเหล่านั้นย่อมเป็นฉันนั้นหามิได้ ก็ที่เรียกว่า ธาตุ เพราะอรรถว่าย่อมทรงไว้ซึ่งสภาวะของตน ธาตุอันวิจิตรเหล่านั้นเป็นอวัยวะ พึงรู้ได้ด้วยญาณเท่านั้น

    คือถ้าปัญญาไม่เจริญขึ้น วิปัสสนาญาณไม่เกิด ที่จะรู้ว่า ธาตุย่อมเป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งสภาวะของตน ก็ย่อมไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ เพราะเหตุว่าลักษณะของธาตุอันวิจิตรเหล่านี้ พึงรู้ได้ด้วยญาณเท่านั้น แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดดับ สภาพรู้ที่กำลังเห็นก็เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดดับ

    เพราะฉะนั้นวิปัสสนาญาณเท่านั้นที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายว่าเป็นแต่เพียงธาตุแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสธาตุ ๑๘ ไว้เท่านั้น เพื่อจะถอนความสำคัญว่า มีชีวะ ของสัตว์ผู้มีความสำคัญว่ามีชีวะในวิญญาณซึ่งมีการรู้อารมณ์เป็นสภาวะ และทรงประกาศความที่ธาตุเหล่านั้นเป็นของไม่เที่ยง และต้องเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัย มีจักขุและรูป เป็นต้น

    ขณะนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าได้ฟังเรื่องของธาตุต่างๆ รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่อวิชชาที่ยังมีอยู่ก็ทำให้ไม่ประจักษ์ลักษณะของธาตุเหล่านั้นได้ เพราะเหตุว่าต้องเป็นญาณเท่านั้นจึงจะประจักษ์ได้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    จริงอยู่ ความมืดในหทัยของเวไนยสัตว์จะถึงความย่อยยับไปโดยพลัน อันขจัดได้ด้วยเดชแห่งพระสัทธรรมของพระองค์ได้โดยประการใดๆ พระองค์ก็ทรงประกาศธรรมโดยนัยอันย่อและพิสดาร

    นี่คือพระมหากรุณาที่ทรงรู้แจ้งว่า ผู้ที่เป็นเนยยบุคคลสามารถที่จะเกิดปัญญาที่จะแทงตลอดอริยสัจจธรรมได้ด้วยพระธรรมเทศนาอย่างย่อหรืออย่างละเอียดพิสดารประการใด ก็ทรงแสดงโดยประการนั้นๆ

    พระ อาตมามีปัญหาจากการสนทนาเรื่องของอกุศลกรรมบถ เป็นเรื่องของมโนกรรม สงสัยว่ามโนกรรมล่วงได้ ๓ ทวารใช่ไหม คือ มีทางมโนทวารก็ล่วงเป็นกรรมบถได้ ทางกายทวารก็ล่วงเป็นกรรมบถได้ และทางวจีทวารก็ล่วงกรรมบถได้ ทีนี้อาตมาสงสัยพยาปาท มีจิตคิดจะฆ่า มีความพยาบาทวางแผนฆ่าเขาทางใจ แต่ยังไม่ถึงฆ่าเขาให้ตาย ขณะนั้นล่วงมโนกรรมครบองค์หรือยัง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นเจตนาฆ่า กรรมจะสำเร็จเมื่อการฆ่าเกิดขึ้น เพราะเหตุว่าเป็นเจตนาที่จะฆ่า

    นี่แสดงให้เห็นความต่างกันของกายกรรมกับมโนกรรม เพราะเหตุว่ากายกรรมมีปาณาติบาต โดยไม่ใช่มโนกรรม หรือพยาบาทนั่นเองสำเร็จทางกายโดยกายทวาร

    พระ พยาบาทสำเร็จทางกาย กายทวาร เป็นกายกรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นมโนกรรม เพราะเหตุว่าเป็นพยาบาทเป็นมโนกรรมที่สำเร็จทางกาย

    พระ แต่ไม่เป็นปาณาติบาต

    ท่านอาจารย์ เป็นปาณาติบาต เพราะเหตุว่าเจตนาฆ่าต้องเป็นปาณาติบาต

    พระ เป็นปาณาติบาตทางมโนกรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นปาณาติบาตซึ่งเป็นมโนกรรมทางกายทวาร แต่ไม่ใช่ปาณาติบาตที่เป็นกายกรรม

    พระ ต่างกันตรงจิตพยายามจะฆ่า ซึ่งปาณาติบาตทางกายกรรมนั้น คิดแล้วฆ่าเลย โดยไม่คิดวางแผนไว้ล่วงหน้า

    ท่านอาจารย์ จึงไม่ใช่มโนกรรม

    พระ อีกปัญหาหนึ่งเป็นเรื่องความเข้าใจ อาตมามีความคิดว่า ผู้ที่มีความมั่นคงในการเจริญสติปัฏฐาน จะต้องเข้าใจการปฏิบัติของทาน ศีล และสมถภาวนา โดยเฉพาะผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน อาตมาคิดว่าจะต้องมีสมถภาวนาเกิดขึ้นสลับกับวิปัสสนาภาวนา แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง เป็นความเห็นที่ถูกไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะเข้าใจว่า คำว่า ภาวนา หมายถึง การอบรมให้เกิดขึ้น ให้เจริญขึ้น ซึ่งแยกเป็น ๒ อย่าง ถ้าจะใช้คำว่าภาวนา ได้แก่ สมถภาวนา การอบรมเจริญให้ความสงบมั่นคงขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่เป็นความสงบที่เป็นขณิกสมาธิ เช่นเวลาที่กุศลจิตเกิดขึ้นครั้งหนึ่งๆ ก็เป็นความสงบที่เป็นขณิกสมาธิชั่วขณะๆ แต่ไม่ปรากฏความสงบมั่นคงจนกระทั่งเป็นอุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิ

    เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวถึงสมถภาวนา ก็หมายความว่าเป็นการอบรมเจริญความสงบจากขณิกสมาธิให้มั่นคงขึ้น จนกระทั่งเป็นอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ ถ้าใช้คำว่า “สมถภาวนา”

    แต่สำหรับวิปัสสนาภาวนา ก็คือการอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะรู้แจ้งแทงตลอดสัจจธรรม ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

    สำหรับสมถะ หมายความถึงขณะที่เป็นกุศลจิต ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ และอกุศลทั้งมวลไม่ได้เกิดขึ้นกระทำกิจการงานในขณะนั้น ขณะนั้นเมื่อเป็นกุศลจึงสงบ

    เพราะฉะนั้นสำหรับการอบรมเจริญสติปัฏฐานซึ่งเป็นวิปัสสนาภาวนา เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา คือ จะกล่าวว่าไม่สงบในขณะนั้นไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นกุศล แต่ขณะที่จิตเป็นกุศล สงบนั้น ปัญญาก็อบรมเจริญเพื่อจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นนี่เป็นความต่างกันของสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา เพราะเหตุว่าสมถภาวนานั้นไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน เพียงแต่กุศลจิตเกิดประกอบด้วยปัญญาที่จะรู้ว่า มนสิการหรือว่าวิตก คือ ตรึกถึงอารมณ์ใดที่จะทำให้จิตสงบมั่นคงได้นานๆ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วครู่ ซึ่งเป็นขณิกสมาธิ

    พระ เพราะฉะนั้นการเจริญสมถะซึ่งเป็นขณิกสมาธิ ซึ่งเกิดขึ้นสลับกับสติปัฏฐาน เช่น ในชีวิตประจำวันมีความโกรธเกิดขึ้น สติปัฏฐานอาจจะไม่เกิดก็ได้ โดยไม่ได้ตั้งใจที่จะเจริญเมตตา แต่ปัญญาที่พิจารณาให้เกิดกุศลจิตเพื่อละโทสะ ในขณะนั้นเกิดขึ้นแล้วสติปัฏฐานก็อาจจะมีจิตที่สงบเป็นอารมณ์ก็ได้ อย่างนี้เรียกว่า สมถวิปัสสนาใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เวลาที่กุศลจิตเกิด ไม่ว่าจะเป็นไปในทานก็สงบ เป็นไปในศีลก็สงบ ไม่จำเป็นต้องเรียกว่า “สมถภาวนา” เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นไปในการให้วัตถุเพื่อเป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น จิตสงบจากความตระหนี่ จากโลภะ กุศลนั้นจึงเกิดขึ้นเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ใช่การที่จะอบรมเจริญให้ความสงบนั้นมั่นคงในขณะที่ให้ทาน เพราะว่าทุกวันๆ ทุกคนก็ให้ทานเป็นปกติธรรมดา แล้วก็สติสัมปชัญญะก็ไม่ได้เกิดขึ้นที่จะรู้ลักษณะสภาพของจิตในขณะที่ให้ และสำหรับบางท่านก็จะเห็นได้ว่า อกุศลมากกว่ากุศลในขณะที่ให้ เพราะเหตุว่าจิตใจอาจจะระแวดระวัง กระสับกระส่าย กระวนกระวาย เป็นห่วงกังวลในขณะนั้นก็ได้ แต่แท้จริงแล้วในการให้ครั้งหนึ่งๆ กุศลจิตต้องเกิดด้วย แต่ว่าเมื่อสภาพลักษณะของอกุศลปรากฏมาก ก็ทำให้ไม่สังเกตลักษณะของจิตที่สงบที่ให้ในขณะนั้น เช่นบางคนให้ด้วยความรำคาญ ก็อาจจะไม่เห็นว่าจิตสงบในขณะที่ให้ ในขณะที่เป็นกุศล

    เพราะฉะนั้นในขณะนั้นก็ไม่ชื่อว่าเป็นการเจริญสมถภาวนา เพราะเหตุว่าความสงบจากอกุศลในขณะนั้น เป็นเรื่องของการให้ เฉพาะเรื่องของการให้ ในขณะที่วิรัติทุจริต จิตนั้นก็สงบจากการเบียดเบียน จากการประทุษร้าย เพราะเหตุว่าวิรัติทุจริต ในขณะนั้นก็ไม่ชื่อว่า เจริญสมถภาวนา แต่ไม่ใช่ว่าไม่สงบ

    เพราะฉะนั้นก็ต้องแยกว่า สงบ คือ ขณะที่เป็นกุศล และเป็นสมถภาวนาก็ต่อเมื่ออบรมเจริญความสงบซึ่งเป็นกุศลนั้นให้มั่นคงขึ้น จนกระทั่งความสงบนั้นเพิ่มถึงขั้นที่ปรากฏเป็นสมาธิขั้นต่างๆ เช่นอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ นั่นคือสมถภาวนา และในชีวิตประจำวันจริงๆ ไม่มีใครที่จะเลือกได้ แล้วแต่เหตุปัจจัยว่า ขณะใดเป็นโอกาสของกุศลขั้นทาน กุศลจิตจะเกิดไหม ถ้ากุศลจิตไม่เกิด ทานนั้นก็เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นถ้าวันหนึ่งมีกุศลขั้นทานเกิดขึ้นขณะใด ก็มีการให้ในขณะนั้น เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ก็ทราบได้ว่า มีกุศลขั้นทานมากหรือน้อย และบ่อยไหมในวันนี้ คือดูไปทีละวัน พิจารณาไปทีละวัน สังเกตไปทีละวันก็ได้ และนอกจากกุศลขั้นทาน ในวันนี้มีกุศลขั้นศีล มากหรือน้อย เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วทุกคนที่เกิดมา อยู่เฉยๆ ไม่ได้ มีใครบ้างที่เกิดมามีรูปร่างกายแล้วอยู่เฉยๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยทางกาย ทางวาจา เป็นไปไม่ได้เลย ตั้งแต่เกิดก็เคลื่อนไหวแล้ว โดยที่ไม่รู้ความจริงว่าเพราะอะไรจึงเคลื่อนไหว แต่ว่าเมื่อได้ศึกษาพระธรรมก็พิจารณาธรรมได้ละเอียดขึ้น แม้แต่ในวันหนึ่งๆ ซึ่งเคยเดิน เคยทำกิจการงานต่างๆ เคยพูดต่างๆ ก็ไม่เคยสังเกตว่าขณะนั้นวิรัติทุจริตหรือเปล่า ถ้าจะเกิดวิรัติทุจริตขึ้นในขณะนั้น ก็เป็นไปตามการสะสม โดยที่ว่าปัญญาก็ไม่ได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เราที่วิรัติ เช่นท่านที่ไม่กล่าวคำเท็จ ในขณะนั้นก็เป็นโดยการสะสม แต่ว่าไม่ใช่สติสัมปชัญญะที่จะรู้ว่า ในขณะนั้นไม่ใช่เราที่วิรัติ

    เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ ตั้งแต่เกิดมามีรูปร่างกาย คนไม่ช่างคิดก็ปล่อยไปวันหนึ่งๆ คือไม่รู้เหตุปัจจัยของแม้การพูด แม้การเดิน แม้การเคลื่อนไหวซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาว่าเพราะอะไร และมีอะไรเป็นปัจจัย แต่ว่าถ้าศึกษาพระธรรมแล้วก็จะเริ่มเห็น และก็จะเจริญกุศลเป็นลำดับขั้น เพราะเหตุว่ากุศลขั้นทานก็เป็นไปได้แม้ว่าจะไม่ศึกษาพระธรรม กุศลขั้นศีลก็เป็นไปได้แม้ว่าไม่ศึกษาพระธรรม แต่กุศลขั้นสูงกว่านั้น คือ สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่ศึกษาพระธรรม

    เพราะฉะนั้นที่จะเจริญสมถภาวนาโดยที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้พิจารณาในเหตุในผล ย่อมเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการเจริญสติปัฏฐาน

    เพราะฉะนั้นชีวิตในวันหนึ่งๆ เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว กุศลจะเพิ่มขึ้น ประเภทไหน เรื่องของทานก็เคยมีมาแล้ว เรื่องของศีลก็มีมาแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องความสงบของจิตจะเพิ่มขึ้นไหมในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นกุศลที่ควรเจริญควรอบรม ไม่ใช่ว่าควรจะเจริญอบรมแต่เฉพาะสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่กาลที่สติปัฏฐานจะเกิด ก็ควรจะให้กุศลขั้นอื่นเกิด ไม่ใช่ไปตั้งหน้าตั้งตาคอยกุศลประเภทเดียว คือ สติปัฏฐาน

    เพราะฉะนั้นสำหรับสมถภาวนา คือ ความสงบของจิต เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะเหตุว่าเป็นชีวิตประจำวัน ซึ่งบางคนอาจจะละเลยเพราะไม่เข้าใจ หรือว่าเมื่อไม่เข้าใจเรื่องสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ก็เลยทำให้ไม่อยากจะเจริญสมถภาวนา และคิดแต่จะเจริญวิปัสสนาภาวนา แต่ถ้าเข้าใจเรื่องของสมถภาวนา แล้วก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรจะเจริญกุศลทุกประการ แม้ในขณะที่นั่งอยู่ โกรธใครบ้างหรือเปล่า เท่านี้เอง ก็จะเจริญสมถภาวนาได้ คือ ถ้ารู้ว่ายังขุ่นเคือง ยังไม่พอใจบุคคลใดอยู่ ขณะนั้นเป็นอกุศล เรื่องโกรธจะมีได้บ่อยๆ ในวันหนึ่งๆ แต่ถ้าสติเกิด ก็รู้ได้เลยว่า แม้แต่ความขุ่นเคืองใจสักเล็กน้อย ก็เป็นอกุศล

    ถ้าปัญญาเกิดอย่างนี้จริงๆ แล้วก็รู้ว่า โกรธบุคคลนั้นเพราะอะไร และถ้ามีเมตตาต่อบุคคลนั้น จะโกรธบุคคลนั้นไม่ได้เลย และถ้าประกอบด้วยปัญญาที่จะรู้ว่า ในวันหนึ่งๆ เอาชื่อออกให้หมด ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ตาม เคยคิดว่าเป็นคนนี้ เรื่องของคนนี้น่าโกรธ เพราะเหตุว่ากำลังมีคนนี้ และก็มีเรื่องของคนนี้ที่น่าโกรธ แต่ถ้าปัญญารู้จริงๆ ว่าเอาชื่อออกเสีย มีแต่สภาพของนามธรรมที่เป็นอกุศลที่ไม่มีใครชอบ เช่นคนที่ริษยา หรือคนที่สำคัญตน คนที่ดูหมิ่นดูถูกคนอื่น คนที่แข่งดี

    ตามความเป็นจริงแล้วก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแค่นั้น เมื่อเอาชื่อออกแล้ว จะโกรธสภาพธรรมนั้นๆ หรือ ในเมื่อเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดปรากฏ สะสมมาอย่างไร กายวาจาก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่าไม่มีชื่อ ไม่มีบุคคล เพราะฉะนั้นก็จะทำให้เกิดจิตที่สงบเป็นกุศล ขณะนั้นก็ชื่อว่าสมถะในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะไม่ทำให้สงบจนกระทั่งถึงขั้นที่ดื่มด่ำปรากฏความเย็น ความสงบขึ้นที่เป็นขั้นอุปจารสมาธิ ที่ใกล้ต่อการที่จะถึงอัปปนาสมาธิที่เป็นฌานจิต

    แต่ว่าถ้าขณะใดที่อกุศลจิตเกิด แล้วสติเกิดรู้สึกตัว ขณะนั้นกุศลจิตก็มีปัจจัยที่จะเกิดได้ แม้ว่าจะไม่ใช่สติปัฏฐาน แต่ถ้าเป็นผู้ที่ฟังเรื่องสติปัฏฐานแล้ว ก็ย่อมมีโอกาสที่สติปัฏฐานมีปัจจัยที่จะเกิดระลึกลักษณะของปรมัตถธรรม เพื่อที่จะศึกษาลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แม้ในขณะที่นั่ง หรือที่นอน ที่ยืน ที่เดิน ที่พูด ที่นิ่ง ที่คิด ซึ่งเป็นชีวิตประจำวันจริงๆ

    พระ เพราะฉะนั้นการที่จะเจริญสมถะ หรือจะเป็นทาน ศีลก็ดี หรือจะเป็นการทำงาน หรือเป็นอกุศล ก็เป็นชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปเป็นปกติ ถ้าเข้าใจการเจริญสติปัฏฐาน สติก็เกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมเหล่านั้นได้ทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมในชีวิตประจำวันทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าขณะไหน ขณะที่เห็นผิดก็เป็นอกุศลธรรม ขณะที่เห็นถูก ก็เป็นกุศลธรรม ขณะที่ปฏิบัติผิดก็เป็นอกุศล ขณะที่ปฏิบัติถูกก็เป็นกุศล ไม่ว่าจะเป็นขณะไหนทั้งหมด ก็คือนามธรรมและรูปธรรมซึ่งไม่มีตัวเราเลย

    พระ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีหน้าที่ที่จะไปตั้งใจอยากจะเริ่มให้สงบก่อน หรือเร่งที่จะเจริญสมถะอย่างเดียว หรือวิปัสสนาอย่างเดียว เพราะเริ่มเข้าใจการเจริญกุศลทุกขั้น เพราะว่าก่อนที่อาตมาจะฟังเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน อาตมาพยายามเจริญสมถะอย่างเดียว พยายามทำบ่อยๆ แต่พอเริ่มฟังการเจริญสติปัฏฐานแล้ว สังเกตจิตแล้ว มันไม่ค่อยสงบ เป็นความต้องการตลอด หรือความสงบที่ไม่มั่นคงตลอดเวลา สลับกันไป แต่พอเริ่มฟังเข้าใจขึ้น เป้าหมายของการเข้าใจสภาพธรรม ไม่ใช่เพื่อให้สงบอย่างเดียว แต่ต้องการละคลายความไม่รู้ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอาตมาคิดว่า ตัวอย่างในพระไตรปิฎกที่ท่านได้บรรลุความสงบถึงรูปฌานก็ดี ท่านก็เจริญจากอย่างนี้ คือ เข้าใจการเจริญวิปัสสนา และมีปัจจัยที่จะให้สมถะเกิดขึ้น แล้วสมถะก็เกิด แล้วแต่จะเกิดมากเกิดน้อย แต่การเจริญสติปัฏฐานก็ดำเนินไปจนอาจจะถึงแสนกัป หรือกี่แสนกัป สมถะนี้ก็เจริญเป็นอรูปก็ได้ โดยไม่ได้ตั้งใจว่าในชาตินี้หรือชาติไหนจะต้องถึงฌาน ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ โดยมากไม่ทราบว่าเข้าใจจุดประสงค์ของการกระทำหรือเปล่า อย่างที่ท่านกล่าวว่า ก่อนที่จะฟังเรื่องสติปัฏฐาน ท่านเจริญสมถะ ไม่ทราบว่าท่านมีจุดประสงค์อะไรในการเจริญสมถะ เพราะเหตุว่าการกระทำทุกอย่างจะต้องประกอบด้วยปัญญา แม้แต่การที่จะทำอย่างหนึ่งอย่างใด ก็จะต้องรู้ว่าเพราะเหตุใด เพื่ออะไร ถ้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร ขณะที่ทำนั้นจะถูกได้อย่างไร

    พระ เพราะฉะนั้นก่อนเจริญสติปัฏฐาน เป็นการเจริญอกุศลก็ได้ และก็ไม่ได้เจริญปัญญา หลังจากเริ่มเข้าใจ ตอนนั้นถึงจะเป็นปัญญา ค่อยๆ พิจารณาว่า ลักษณะไหนเป็นกุศล แต่ก็ไม่สงบโดยทันที ค่อยๆ รู้จักไปก่อน

    ท่านอาจารย์ อย่างเวลาที่มีการให้ หรือทานกุศลเกิด ขณะนั้นจิตสงบแล้ว จะรู้ลักษณะของจิตที่สงบในขณะนั้นได้ไหม ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ไม่รู้ลักษณะของจิตที่สงบในขณะให้ จะเจริญสมถภาวนาไม่ได้ คือ ไม่สามารถที่จะแยกรู้ลักษณะที่ต่างกันของกุศลจิตและอกุศลจิต ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด

    ขณะนี้เอง กุศลจิตก็มี อกุศลจิตก็มี แล้วแต่ว่ากุศลจิตจะเกิดมาก หรืออกุศลจิตจะเกิดมาก มีทั้งอกุศลและกุศล และขณะไหนบ้างที่สติสัมปชัญญะเกิด สามารถที่จะรู้ตรงลักษณะของอกุศลว่า ขณะนี้ต่างกับขณะที่เป็นกุศล


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 25
    11 ก.พ. 2565

    ซีดีแนะนำ