ตอนที่ 50 พรหมวิหาร ๔


    ขอให้คิดถึงอกุศลในวันหนึ่งๆ ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่ได้ส่วนกับกุศลเลย และต่อไปจะเป็นอย่างไร

    ตรงกันข้าม ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ประมาท อาจจะหลงลืมสติไปบ้าง แต่แม้กระนั้น ก็ตาม การที่เป็นผู้ที่ถึงพระธรรมเป็นสรณะด้วยการขอประพฤติปฏิบัติตามจริงๆ เป็นผู้ที่มีสัจจะ และอธิษฐาน คือ ความตั้งใจมั่น จะทำให้เกิดการระลึกได้ละเอียดขึ้น และพิจารณาว่า ในวันหนึ่งเมื่อทานอาจจะไม่ได้เกิดเลย ทานกุศล การสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่นในวันนี้มีบ้างไหม คิดดู ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ถ้าไม่มี ศีล ในวันนี้มีการวิรัติทุจริตทางกาย ไม่เบียดเบียน ทางวาจา ไม่ประทุษร้ายบุคคลอื่น และทางใจ ยังต้องเป็นผู้ตรงอีกว่า แม้ไม่ประทุษร้ายด้วยกายวาจา ใจคิดอย่างไร บางที ใจคิดเบียดเบียน แต่ยังไม่ทำก็ได้ ใช่ไหม โกรธใครก็อาจจะนึกคิดถึงคำแรงๆ อยู่ในใจได้ ยังไม่ได้กล่าวออกไป แม้อย่างนั้นก็ยังจะต้องเห็นว่า ในขณะนั้นจิตไม่สงบ

    เพราะฉะนั้น การที่จะเจริญกุศล นอกจากจะพิจารณาเรื่องทาน เรื่องศีล ซึ่งไม่ได้เกิดบ่อยในชีวิตประจำวันแล้ว ยังจะต้องพิจารณาส่วนที่เหลือในวันหนึ่งๆ ว่า เมื่อทานไม่เกิด ศีลก็ไม่ได้เกิดบ่อย ส่วนที่เหลือควรจะเจริญกุศลอื่นซึ่งไม่ใช่ทาน และศีล ได้แก่ ความสงบของจิต และการอบรมเจริญปัญญาที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อที่จะดับความยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

    ถ้ารู้อย่างนี้ พิจารณาว่าชีวิตประจำวันที่เกี่ยวข้องกับบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะ โดยฐานะของหัวหน้า ผู้บังคับบัญชา หรือผู้ใต้บังคับบัญชา ในฐานะของผู้ใหญ่ หรือในฐานะของผู้น้อย ในฐานะของญาติ หรือในฐานะของเพื่อนฝูง หรือในฐานะของ คนคุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคยก็ตาม ควรที่จะพิจารณาว่า ทานก็ไม่ได้ทำบ่อย ศีลก็ไม่ได้ ทำบ่อย และจิตใจหวั่นไหวไป กระสับกระส่ายไป วุ่นวายไปกับเหตุการณ์ต่างๆ เรื่องราวต่างๆ จากวจีสังสารมากขึ้น หรือว่าน้อยลง

    นี่คือการขัดเกลากิเลส คือ เริ่มพิจารณา ถ้ายังไม่ได้พิจารณาจะไม่มีวันน้อยลง แต่ถ้าเริ่มพิจารณา อกุศลทั้งหลายจะเริ่มน้อยลง แม้แต่วจีสังสาร การที่จะกล่าวเรื่องราวต่างๆ ต่อกันไปต่อกันมา โต้ตอบ หรือว่าวนเวียนไปเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้อีก ก็ควรที่จะพิจารณาดูว่า ในขณะนั้นจิตเป็นอย่างไร

    ตัตรมัชฌัตตตา จะทำให้เป็นผู้ที่เริ่มเห็นโทษเห็นภัยของความยุ่งยากต่างๆ อกุศลต่างๆ เพราะถ้าตัตรมัชฌัตตตายังไม่เกิด อกุศลก็ต้องทวีคูณขึ้นทุกประการ

    เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ซึ่งมีการพบปะบุคคลอื่น เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น และไม่ได้เป็นไปในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล ควรที่จะให้จิตสงบด้วยพรหมวิหาร ๔ ซึ่งได้ยินกันบ่อยมาก และเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะ ในชีวิตประจำวันมีใครบ้างที่จะไม่เห็นคนอื่น มีผู้ที่เฉยๆ มีผู้ซึ่งเป็นที่รัก มีผู้ซึ่งเป็นที่ชัง มีผู้ที่ใกล้ชิด มีผู้ที่ห่างไกลทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้น ทุกบุคคล ขณะนั้นไม่ใช่เรื่อง ของทาน ไม่ใช่เรื่องของศีล แต่ควรจะเป็นการอบรมเจริญความสงบของจิตด้วย พรหมวิหารหนึ่งพรหมวิหารใดในพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

    เมตตา ได้แก่ อโทสเจตสิก กรุณา ได้แก่ กรุณาเจตสิก มุทิตา ได้แก่ มุทิตาเจตสิก อุเบกขา ได้แก่ ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย บางขณะที่มีจิตเมตตา ไม่รู้เลยว่าสภาพธรรมนั้นคืออะไร แต่ยึดถือว่าเป็นเราที่เมตตา ความจริงแล้วไม่ใช่เรา ขณะที่เมตตานั้นเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่มีจริงชนิดหนึ่งซึ่งทำกิจของสภาพธรรมนั้น ซึ่งเจตสิกอื่นทำกิจของสภาพธรรมนั้นไม่ได้ เมื่อเมตตาเจตสิกเกิดต้องทำกิจของเมตตา โดยที่เจตสิกอื่นจะทำกิจของเมตตาไม่ได้

    สำหรับกรุณา ได้แก่ กรุณาเจตสิก ขณะที่เห็นบุคคลที่ยากไร้ หรือตกทุกข์ ได้ยาก และมีจิตใคร่ที่จะให้บุคคลนั้นพ้นจากความทุกข์ยาก ด้วยการอนุเคราะห์ช่วยเหลือต่างๆ ในขณะนั้นก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นกรุณาเจตสิก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลใดๆ เลย แต่ไม่ชินกับสภาพธรรม ชินกับความรู้สึก เวลาที่ เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก และคิดที่จะช่วยเหลือ ความรู้สึกอย่างนี้มี ใช่ไหม แต่เมื่อไม่รู้ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง เป็นเจตสิกฝ่ายดี เป็นโสภณเจตสิกซึ่งเกิดกับกุศลจิต โสภณจิต ก็เข้าใจว่า เรากำลังกรุณา แต่ความจริงไม่ใช่เรา เพราะกรุณาเจตสิกต่างหากที่เป็นโสภณเจตสิกเกิดขึ้นทำกิจกรุณาในขณะนั้น

    พรหมวิหารที่ ๓ คือ มุทิตา การพลอยยินดีด้วยกับความสุขของคนอื่น ได้แก่ มุทิตาเจตสิก เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เวลาเกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้น ก็รู้ว่าเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง แม้จะยังไม่รู้จักชื่อภาษาบาลี แต่ก็เริ่มศึกษา เริ่มรู้ในลักษณะนั้นๆ ว่า เป็นสภาพที่ต่างกัน เมตตาเจตสิกเป็นอย่างหนึ่ง กรุณาเจตสิกเป็นอย่างหนึ่ง มุทิตาเจตสิกเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นสภาพของเจตสิกแต่ละอย่างๆ จริงๆ และต่อไปจะค่อยๆ ชินกับชื่อในภาษาบาลี ซึ่งบางท่านอาจจะคิดว่าไม่จำเป็นต้องจำชื่อภาษาบาลี เพราะสามารถสังเกตรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ได้ แต่ถ้าจำได้ก็มีประโยชน์ เพราะภาษาบาลีเป็นภาษาสากลสำหรับพุทธศาสนา สำหรับคำสอนของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่าชาติใดภาษาใดก็ใช้ภาษาบาลีทั้งนั้น

    พรหมวิหารที่ ๔ อุเบกขา ได้แก่ ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก คือ สภาพที่เป็นกลาง สม่ำเสมอในอารมณ์ ไม่ตกไปทางฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด คือ ด้วยโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ

    ขอกล่าวถึงพรหมวิหารทั้ง ๔ นี้ เพราะเป็นการอบรมเจริญกุศลใน ชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถเกิดได้บ่อยมากกว่าขั้นทานหรือศีล เพราะสำหรับทานต้อง มีวัตถุปัจจัยที่จะสละให้บุคคลอื่น ส่วนศีลก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้าที่จะให้ วิรัติทุจริต แต่ในขณะที่ไม่มีโอกาสของทาน หรือโอกาสของศีล ทุกขณะกุศลจิตที่ เป็นสมถะในชีวิตประจำวัน คือ การอบรมความสงบของจิต หรือการเจริญสติปัฏฐานย่อมเกิดได้

    สำหรับสติปัฏฐานต้องอาศัยความเข้าใจ และอาศัยการอบรม นานๆ จะเกิดสักครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้ง สำหรับบางท่าน หลายเดือนห่างกันมากแล้วก็เกิดอีก ก็เป็นไปได้ ซึ่งไม่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวลเลย เพราะเป็นเรื่องของขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของตัวตนที่จะคิดพยายาม จะบังคับบัญชาสภาพธรรมอย่างหนึ่ง อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน อาศัยความเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น ละเอียดขึ้น ก็จะเป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้กุศลแต่ละประเภทค่อยๆ เจริญขึ้น และไม่หวั่นไหวที่สติจะเกิดเป็นสติปัฏฐานมากหรือน้อย เมื่อเป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหวแล้ว ก็แล้วแต่ว่าสังขารขันธ์จะปรุงแต่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นก็เป็นอย่างนั้น และกุศลทั้งหลายจะค่อยๆ เจริญขึ้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ก็ควรเป็นผู้ที่พิจารณาตนเองในเรื่องของเมตตาพรหมวิหารว่า มีมากหรือมีน้อย ถ้ามีน้อยก็ไม่เป็นไร อบรมเจริญให้มากขึ้นอีกทีละเล็กทีละน้อยได้ อย่าคิดว่าทำไม่ได้ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้จะไม่ขัดเกลากิเลสเลย แต่ถ้าคิดว่าทำได้ ยาก ไม่ง่าย แต่ทำได้ ก็ค่อยๆ ทำ ได้ไหม

    มีท่านผู้หนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านแจกของให้คนรับใช้ในบ้านหรือเพื่อนบ้านของท่านด้วย และคนรับใช้ของเพื่อนบ้านด้วย แต่มีคนรับใช้คนหนึ่งซึ่งทำหลายอย่าง ที่ไม่สมควร ท่านก็ไม่ค่อยอยากจะให้ คือ รู้สึกว่าไม่น่าจะให้ ไม่ควรจะให้ ซึ่งก็ต้องอาศัยตัตรมัชฌัตตตา ความเป็นผู้ตรงอีกเหมือนกันว่า ควรหรือไม่ควร แม้จะให้ผู้ซึ่ง ไม่ชอบ ทำได้ไหม สิ่งไหนดีกว่ากัน ตัตรมัชฌัตตตาต้องพิจารณาเห็นว่า การให้ ย่อมดีกว่า แต่ถ้าเป็นอกุศล อโยนิโสมนสิการก็เห็นว่า ให้ทำไม ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ทำคุณบูชาโทษ หรือคิดนึกปรุงแต่งเป็นเรื่องยาวมากมายอีกหลายเรื่อง ได้ทั้งสิ้นด้วยอกุศลจิต ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่มีปัจจัยที่จะคิดเอง อย่างนั้น ที่จะปรุงแต่งอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วแต่จะคิดด้วยกุศลจิต หรือคิดด้วยอกุศลจิต และในที่สุดผู้ที่จะขัดเกลากิเลสก็ให้

    ทำได้ไหม ถ้าทำขณะนี้ไม่ได้ ขณะต่อไปยิ่งยากขึ้น แต่ถ้าทำแม้ขณะเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ได้ ขณะต่อไปก็ยิ่งคล่องแคล่วรวดเร็ว และชำนาญขึ้น และเห็นว่า เป็นเรื่องแสนง่าย คือ ใครจะเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามการสะสมของบุคคลนั้น ไม่เกี่ยวกับกุศลจิตของผู้ที่จะให้เลย ด้วยความเป็นผู้ตรงต่อกุศลจริงๆ ย่อมเห็นว่า กุศลของตนเองเป็นสิ่งที่ควรเจริญ และไม่ไปก้าวก่ายกับอกุศลของคนอื่น เพราะว่า แม้จะอยากให้เขาเป็นกุศลมากสักเท่าไรก็ตาม พากเพียรอธิบายชี้แจงสักเท่าไร แต่ถ้ากุศลจิตของเขายังไม่เกิด หรือมีสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้คิดเอาเองเป็นเรื่องราวของอกุศลมากมาย คนอื่นก็ไม่สามารถไปก้าวก่ายในความคิดปรุงแต่งของคนอื่นได้

    ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ทุกคนจะกระทำกิจของตนเอง คือ ละอกุศลของตนเอง และไม่ไปทำให้คนอื่นเกิดอกุศล แต่การให้ของบุคคลนั้นเป็นประโยชน์ เพราะว่า คนรับใช้คนนั้นเป็นผู้ที่ช่วยเหลืออย่างดีในโอกาสต่อไป ซึ่งไม่ใช่ด้วยสินจ้างอามิสก็ได้ แต่เป็นการเห็นน้ำใจของผู้ที่ไม่โกรธตอบ

    นี่เป็นสิ่งซึ่งถ้าผู้ใดมีกุศล และมีความอดทน มีความมั่นคงจริงๆ ในการ เจริญกุศล ก็จะเป็นตัวอย่างสำหรับคนอื่นที่จะทำให้อดทนตาม ไม่หวั่นไหวตาม และ ทำกุศลไปโดยที่ไม่คำนึงถึงบุคคลอื่นว่าจะมีสังขารขันธ์ปรุงแต่งคิดอย่างไร ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล

    เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์ของเมตตา ต้องทำได้แม้ว่าจะยาก ค่อยๆ ทำ ทีละเรื่อง ทีละเหตุการณ์ และพิจารณาดูเมื่อได้เข้าใจเรื่องของตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก ขณะนี้ เรื่องนี้ เหตุการณ์นี้ ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิกเกิดหรือยัง ถ้ายังไม่เกิดอีก เรื่องต่อไปคราวหน้าเกิดหรือยัง คอยดูว่าตัตรมัชฌัตตตาเจตสิกจะเกิดเมื่อไร ถ้าเป็นผู้ที่ตรง และตรงขึ้นๆ ค่อยๆ ตรงทีละน้อย ในที่สุดตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก ก็ย่อมเกิด และวันนั้นจะรู้สึกสบายใจ หมดเรื่องราวที่เคยกังวลหมกมุ่นเป็นทุกข์ เดือดร้อนทุกอย่าง เพราะสภาพของกุศลจิตเป็นสภาพที่ไม่ทำร้าย และไม่ทำให้ ไม่สบายใจ ตรงข้ามกับลักษณะของอกุศลเจตสิก และอกุศลจิต

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1625


    นาที 16.50

    อยากเจริญเมตตาไหม หรืออยากจะท่อง วันหนึ่งท่องมากแต่ไม่เมตตาเลย หรือไม่ต้องท่อง แต่คิดถึงใครก็คิดถึงด้วยจิตที่เมตตา และคิดแต่ประโยชน์ที่จะเกื้อกูลบุคคลอื่น และเวลาที่พบกันก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทาย มีปฏิสันถาร เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยากไหม หรือไม่ยากเลยง่ายมาก นี่ก็แล้วแต่จิตใจของแต่ละบุคคล แต่พระธรรมเริ่มจะส่องเป็นกระจกอย่างดีที่จะให้เห็นทุกซอกมุมของจิตใจของตนเองว่า เป็นบุคคลประเภทใด แต่ต้องเป็นผู้ตรงด้วย

    ถ้าเป็นผู้ที่ริษยาคนอื่น ต้องรู้ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดแล้วน่ารังเกียจ อนุโมทนาหรือมีมุทิตาจิตทันที นี่คือโยนิโสมนสิการ คือ ผู้ฉลาด ถ้ามีมานะ ความสำคัญตน ในขณะนั้นไม่ใช่ความเป็นเพื่อนเลย เพราะความเป็นมิตรเป็นสหายต้องเป็นผู้ที่เสมอกัน เข้ากันได้ แต่ถ้ามีความสำคัญว่า ดีกว่า สูงกว่า เก่งกว่า ขณะนั้นความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกัน ก็เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีเมตตา จะทำให้กุศลจิตอีกหลายประการเกิดได้ แต่ ข้อสำคัญ คือ ต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ และจะเห็นคุณของตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก ที่อาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย ซึ่งเกิดกับกุศลจิตทุกประเภท ตั้งแต่ขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นความสงบของจิต จนถึงขั้นอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมก็จะต้องเป็น ผู้ที่ตรงขึ้นๆ อีก เพราะถ้าคดนิดเดียว เขวนิดเดียว ก็พลาดจากอริยมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่หนทางที่จะอบรมเจริญปัญญารู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

    สำหรับพรหมวิหาร เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพรหม คือ ผู้ประเสริฐ เป็นความจริงอย่างยิ่ง ถ้าคิดถึงใครที่ไม่โกรธเลย ไม่ว่าใครจะกล่าวร้ายหรือใช้คำที่ ไม่เหมาะสม หรือมีกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมประการใดก็ตาม แต่บุคคลผู้นั้นก็เสมือนผ้าเช็ดธุลีได้ นี่เป็นผู้ประเสริฐ เป็นธรรมของผู้ประเสริฐ

    การไปนมัสการสังเวชนียสถานที่อินเดียคราวนี้ ในขณะที่จะเข้าไปสู่ พระวิหารเชตวัน ดิฉันมีความรู้สึกว่า น่าจะให้ทุกๆ ท่านได้คิดถึงธรรม เพราะฉะนั้น ก็ตั้งเป็นปริศนาธรรมขึ้นว่า ไปหาอะไรในพระเชตวัน เพราะว่าทุกคนกำลังเข้าสู่ พระวิหารเชตวัน ไปทำไม ไปหาอะไร พระวิหารเชตวันมีอะไรที่แต่ละบุคคลต้องการ ที่จะไปหาสิ่งนั้น แต่สิ่งที่อยู่ในใจของดิฉัน คือ ไปหาผ้าเช็ดธุลี ซึ่งเป็นคุณธรรมของท่านพระสารีบุตร ซึ่งท่านเปรียบตัวของท่านเองว่า ท่านเป็นผู้ที่นอบน้อมอย่างยิ่ง ท่านเป็นอัครสาวก เป็นผู้เลิศทางฝ่ายปัญญา แต่ขอให้ดูสภาพของปัญญาว่า ยิ่งเป็น ผู้มีปัญญาเท่าใด ความอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งมีมากเท่านั้น ไม่ใช่เป็นผู้ที่อวดความรู้ หรืออวดความเก่ง หรือมีกิริยาอาการที่ไม่เหมือนผ้าเช็ดธุลี แต่ยิ่งเป็นผู้ที่มีปัญญาแล้วต้องเป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตน และสามารถที่จะไม่หวั่นไหว รับกระทบได้ทั้งสิ่งที่สะอาด และไม่สะอาด ไม่ว่าความไม่สะอาดนั้นจะเป็นเลือด เป็นน้ำลาย เป็นสารพัดอย่าง ผ้าเช็ดธุลีก็ไม่หวั่นไหว

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าไปหาผ้าเช็ดธุลีในพระวิหารเชตวัน ในสมัยนี้คงมีแต่การ รำลึกถึงผ้าเช็ดธุลีหลายๆ ผืน มากมายทีเดียวในพระวิหารเชตวัน ซึ่งในสมัยนี้ก็ เพียงรำลึกถึง เพราะกว่าแต่ละบุคคลจะได้อบรมเจริญปัญญาจนสามารถถึงความเป็น ผ้าเช็ดธุลีได้ ต้องเป็นสิ่งซึ่งอีกไกลแสนไกล

    ท่านพระสารีบุตรไม่ได้เปรียบตัวของท่านเองเพียงเป็นดุจผ้าเช็ดธุลีเท่านั้น แต่ยังเปรียบตัวท่านเองเหมือนลูกคนจัณฑาลซึ่งเข้าไปสู่ที่ที่มีบุคคลมากหน้าหลายตา ก็เข้าไปด้วยความอ่อนน้อม เข้าไปด้วยความนอบน้อม และยังเปรียบตัวของท่านเองเหมือนกับโคเขาขาด ซึ่งเมื่อไม่มีเขาก็ไม่สามารถทำร้ายหรือทำลายอะไรได้ จึงต้อง เป็นผู้ที่เสงี่ยมเจียมตัว นี่คือคุณธรรมของพระอัครสาวกผู้เลิศทางฝ่ายปัญญา

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเป็นสิ่งที่อบรมได้ เจริญได้ ค่อยๆ อบรมไป โดยเฉพาะเมื่อรำลึกถึงพระคุณของพระอรหันต์ผู้ประเสริฐในสถานที่ซึ่งมีโอกาสได้นมัสการ ก็ ขอให้เป็นผู้ที่ถึงพระธรรมด้วยการประพฤติปฏิบัติตาม แล้วแต่ว่าสติปัญญากำลังความสามารถจะทำให้ประพฤติปฏิบัติตามได้แค่ไหน แต่ก็ควรจะเป็นความตั้งใจมั่นพร้อมทั้งสัจจะที่จะอบรมประพฤติปฏิบัติตามไปอย่างนั้นเรื่อยๆ

    สำหรับลักษณะของเมตตาพรหมวิหาร คือ อโทสเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ระงับพยาบาท เกิดร่วมกันไม่ได้เลย ขณะใดที่โกรธ ขณะนั้นรู้ได้ว่าไม่เมตตาจึงโกรธ แต่ขณะใดที่เมตตา ขณะนั้นรู้ได้ว่าเป็นสภาพจิตที่ห่างไกลกับความโกรธ

    ลักษณะของเมตตาเป็นสภาพที่เป็นมิตร เวลาเห็นมิตรรู้สึกอย่างไร ดีใจที่ได้ พบกัน มีความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคย ไม่มีภัยไม่มีอันตรายอะไรเลย นั่นคือสภาพลักษณะของเมตตา ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของความโกรธ เพราะฉะนั้น ลักษณะของเมตตาเป็นสภาพที่ระงับพยาบาท

    สำหรับความโกรธ ซึ่งทุกคนที่ไม่ใช่พระอนาคามีบุคคลต้องมี เพราะมี ปฏิฆานุสัยที่ยังไม่ได้ดับเชื้อของความโกรธจนหมดเป็นสมุจเฉท บางคนเป็น ผู้มีอัธยาศัยน่ารัก มีอัธยาศัยดี มีจิตใจงาม มีความเมตตา มีความกรุณา ทุกอย่าง เกือบจะดูเหมือนว่าไม่เห็นโกรธ แต่เมื่อไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล ต้องโกรธแน่ แม้ว่าไม่มาก ความขุ่นใจ ความไม่พอใจเวลาประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ซึ่งใน วันหนึ่งๆ ต้องมีมาก เช่น สถานที่ที่ไม่สะอาด เวลาเห็นแล้วยากที่ใจจะไม่เกิด ความขุ่น คือ ขณะนั้นรู้สึกไม่สบายใจ ความไม่สบายใจนั้นก็เป็นลักษณะของ โทสะชนิดหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า แต่ละวันๆ ก็มีแต่เรื่อง ถ้าเป็นผู้ละเอียดจะเห็นได้ว่า ขุ่นใจนิดเดียวก็รู้สึกตัวได้แล้วว่านั่นคือความโกรธ ซึ่งยังไม่ได้ดับจึงมีปัจจัยที่จะเกิดอีก แม้ว่าจะไม่มาก ไม่ต้องถึงกับเป็นความโกรธอย่างแรงที่จะแสดงออกมาทางกาย หรือ ทางวาจา แต่ว่าจิตของใครที่มีความโกรธหรือความขุ่นเคืองใจเกิดขึ้น บุคคลนั้นรู้ คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้

    ทันทีที่ความโกรธปรากฏ ขณะนั้นผู้ที่อบรมเจริญเมตตาเป็นผู้ละเอียดที่จะ ต้องรู้แล้วว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะถ้าไม่สะอาดโกรธคนที่ทำให้ไม่สะอาด หรือเปล่า บางทีเรื่องของชั้นวรรณะ ฐานะ เชื้อชาติ ก็เข้ามาอีกแล้ว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่สังขารขันธ์ปรุงแต่งไกลมากออกไปจนกระทั่งถึงชื่อ ถึงชาติ ถึงฐานะ ถึงอะไรต่างๆ

    เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาโดยละเอียดจริงๆ ว่า ทุกคนที่ยัง ไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล ยังต้องมีความโกรธเกิดขึ้น และดับไป ถ้าเพียงโกรธขึ้น และดับไป ไม่คิดที่จะโกรธซ้ำอีก ดีไหม

    เมื่อมีปัจจัยให้ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจจะเกิด ก็เกิด เกิด และก็ดับ ดับแล้วก็หมด ก็จบ ถ้าเป็นอย่างนั้นได้จะไม่เป็นความคิดโกรธซึ่งไม่จบ ที่จะคิดอีก และ โกรธอีกจนกระทั่งไม่ลืม เวลาที่โกรธจนไม่ลืมสังขารขันธ์จะปรุงแต่งต่อไปอีกจนกระทั่งถึงกับเป็นความพยาบาท เป็นความขุ่นเคืองที่คิดจะประทุษร้าย หรือปองร้าย

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เจริญเมตตา จะระงับความพยาบาทนั้นไม่ได้ ถ้าเห็น โทษภัยของความคิดร้าย ความปองร้าย ความประทุษร้าย ความพยาบาท จะเป็นผู้ที่เริ่มเจริญเมตตา แม้ในขณะนี้เอง

    ทุกคนคิดว่าชีวิตยืนยาวมาก แต่ความจริงชีวิตของทุกคนดำรงอยู่เพียง ชั่วขณะจิตเดียว เพราะว่าจิตเกิดขึ้นขณะหนึ่ง และก็ดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น และก็ดับ แต่เกิดดับอย่างรวดเร็วจนเมื่อไม่รู้ว่าเป็นจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดดับ ก็เป็นเรา ซึ่งเดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล เดี๋ยวเป็นสุข เดี๋ยวเป็นทุกข์ ความจริง เป็นจิตแต่ละขณะ ซึ่งเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียวจริงๆ

    ถ้าขณะนี้เมตตาไม่เกิด อกุศลจิตก็เกิด และขณะต่อๆ ไปเมตตาก็ยังไม่เกิดอีก อกุศลจิตก็เกิดต่อๆ ไปอีก เพราะฉะนั้น กว่าจะเจริญเมตตาได้ ต้องลำบากมาก ถ้าไม่เจริญเมตตาตั้งแต่เดี๋ยวนี้

    กุศลทุกอย่างอยู่ที่ขณะนี้เอง ถ้าจะอบรม ก็เริ่มตั้งแต่ขณะนี้

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1626


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 1
    9 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ