บทสนทนาธรรม ตอนที่ 41


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ครั้งที่ ๔๑

    ไม่ควรประมาทในกุศล

    อดีตกรรมของพระอริยสาวก และพระพุทธเจ้า


    คุณวันทนา สวัสดีค่ะ ตามหลักของการกระทำความดีที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ในบุญญกิริยาวัตถุนั้น ควรที่ทุกท่านจะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ให้มากขึ้นเท่าที่จะกระทำได้ ในเรื่องการสร้างสมบุญกุศลนี้ เพื่อให้ท่านที่มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยได้เห็นว่า บุญกุศลไม่ใช่สิ่งที่ทำยากเลย ควรที่จะเจริญให้เกิดขึ้นบ่อยๆ แล้วมากขึ้นด้วย วันนี้อาจารย์จะมีตัวอย่างอะไรอีกไหมคะ ที่จะทำให้ท่านผู้ฟังไม่ประมาทในการเจริญกุศลแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ

    ท่านอาจารย์ ในขุททกนิกาย อปทาน แสดงอดีตกรรมของพระอริยสาวกในชาติต่างๆ ซึ่งไม่ว่าท่านจะเกิดในบุคคลใด หรือมีอาชีพอะไร ประกอบการงานอะไร เวลาที่มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างยิ่ง และบำเพ็ญกุศล กุศลย่อมให้ผลในทางที่ดีงามเสมอ ซึ่งอดีตกรรมของท่านเหล่านั้นดิฉันคิดว่าควรจะได้กล่าวถึงเป็นตัวอย่าง เพื่อจะได้เตือนใจให้บุคคลทุกอาชีพได้เจริญกุศลในทางต่างๆ เท่าที่สามารถจะทำได้ ด้วยความไม่ประมาทในทรัพย์ และในชีวิต ซึ่งการเจริญกุศลนั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่ตัวเองอย่างแท้จริงยิ่งกว่าประโยชน์อื่นๆ ทั้งสิ้น

    คุณวันทนา อาจารย์กรุณายกตัวอย่างเป็นเรื่องๆ ซิคะ

    ท่านอาจารย์ ในอปทาน ภัททาลิวรรคที่ ๔๒ มธุมังสทายากเถราปทานที่ ๔ ข้อ ๔ แสดงอดีตกรรมของท่านมธุมังสทายกเถระว่า ในอดีตท่านเป็นคนฆ่าหมูอยุ่ในพระนครพันธุมดี ครั้งนั้นท่านเลือกเอาเนื้อดีๆ มาเทลงในน้ำผึ้ง ได้ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ด้วยความเลื่อมใสในการถวายทานนั้น และรู้อานิสงส์ของบุญกรรมว่าจะได้รับความสุขอันไพบูลย์ และในภพสุดท้ายจะเผากิเลสได้ พอจุติแล้วท่านก็ได้เกิดในดาวดึงส์ และในภพสุดท้ายท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

    คุณวันทนา ในเรื่องผลของบุญ ประมาทไม่ได้เลยนะคะ ว่าเล็กน้อย ถ้าหากมีจิตใจเลื่อมใส และรู้อานิสงส์ด้วยแล้ว ถึงแม้ว่าจะประกอบอาชีพอย่างไรก็ตาม จะเป็นทหาร ตำรวจ พ่อค้า ชาวประมง พรานเนื้อ พรานนก หรือถึงแม้จะเป็นพ่อค้าหมูดังในเรื่องตัวอย่างที่ได้ยกมากล่าวข้างต้น ถ้ามีทางใดที่จะเจริญกุศลได้ ก็ควรเจริญกุศลให้เป็นปัจจัย เพื่อให้ได้รับความสุข และถึงความสิ้นกิเลสได้ในที่สุด เมื่อสะสมบำเพ็ญกุศลเต็มที่แล้ว และถึงพร้อมแล้ว ไม่ใช่ว่าบำเพ็ญทานเพียงครั้งเดียวก็จะบรรลุมัคค์ผลนิพพานได้ในชาติสุดท้าย แต่จะต้องบำเพ็ญกุศลบารมีเป็นขั้นๆ จนกว่าจะถึงพร้อมที่จะดับกิเลสได้ พระธรรมของพระผู้มีพระภาคแผ่ไปทั่วไม่จำกัดบุคคล อาชีพ และกาลเวลาใดๆ เลย ถ้าผู้ใดมีความเพียรสร้างไปสะสมไป บำเพ็ญไป ก็ย่อมจะต้องได้รับความสุขยิ่งๆ ขึ้นทุกขณะ และถ้ายิ่งสามารถละทุจริตได้ในปัจจุบันชาติ และยิ่งเจริญกุศลมากขึ้นเท่าไร ผลที่ได้รับก็ยิ่งจะเร็วขึ้นเท่านั้น อย่างองคุลิมาลโจรเป็นตัวอย่าง อาจารย์จะมีตัวอย่างอื่นๆ อีกไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ตัวอย่างมีมากค่ะ ที่แสดงให้เห็นว่า บุญเล็กๆ น้อยนั้น ถ้าทำด้วยจิตใจที่เลื่อมใสมั่นคงแล้วก็มีอานิสงส์มาก อย่างในอปทาน โถมกวรรคที่ ๒๖ โถมกเถราปทานที่ ๑ ข้อ ๒๕๓ ท่านพระโถมกเถระกล่าวคำนอบน้อมสรรเสริญพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เมื่อฟังธรรมของพระองค์แล้ว ผลแห่งการกล่าวคำนอบน้อมสรรเสริญด้วยจิตเลื่อมใสเบิกบานใจนั้น ไม่ทำให้ท่านไปเดิในทุคติเลย

    คุณวันทนา ต่อจากชาตินั้นแล้ว แต่ยังไม่ถึงชาติที่ท่านจะบรรลุมัคค์ผลนิพพาน ท่านจะไปทุคติบ้างหรือเปล่าคะ

    ท่านอาจารย์ คุณวันทนาต้องสังเกตดีๆ ว่า ทุกครั้งจะมีข้อความว่าผลของกุศลนั้นๆ ซึ่งก็แสดงว่า ถ้าเป็นผลของกุศลแล้ว ย่อมไม่ไปทุคติ แต่ในชาติใดที่ยังไม่ใช่ชาติสุดท้ายที่ได้บรรลุมัคค์ผล ผุ้ใดทำอกุศลแล้วไปทุคติ การไปทุคติก็เป็นผลของอกุศล ไม่ใช่ผลของกุศล

    คุณวันทนา เหตุกับผลก็ต้องตรงกันเสมอไปนะคะ กรรมใดดีให้ผล ก็จะทำให้ได้รับสิ่งที่ดี เวลากรรมไม่ดีให้ผลก็ย่อมจะทำให้ได้รับสิ่งที่ไม่ดี เป็นทุกข์ เพื่อประโยชน์ให้ท่านผู้ฟังได้เห็นตัวอย่างของการไม่ประมาทในกุศลเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามักจะคิดไม่ถึงแล้วอาจจะมองข้ามไปเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็น่าเสียดายโอกาสที่จะได้เจริญกุศลแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น อาจารย์พอจะมีตัวอย่างอะไรที่จะกล่าวถึงอีกไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ในอปทาน โถมกวรรคที่ ๒๖ อุปาหนทายกเถราปทานที่ ๖ ข้อ ๒๕๘ ท่านพระอุปาหนทายกเถระแสดงอดีตกรรมของท่านเมื่อครั้งที่ท่านชื่อจันทนะ เป็นบุตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านได้ถวายรองเท้าคู่หนึ่ง และปรารถนาการสิ้นกิเลส ซึ่งผลของกรรมนั้นก็ทำให้เกิดในทุคติ และในชาติสุดท้ายก็ได้บรรลุพระอรหันต์

    คุณวันทนา นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การบำเพ็ญบุญกุศลนั้นย่อมอุปการะกันให้เจริญขึ้นเป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นทานไปจนถึงถึงขั้นภาวนา ในเรื่องของการถวายรองเท้า และปรารถนาความสิ้นกิเลส ก็เป็นบันได้ขั้นที่จะเจริญกุศลอื่นๆ ต่อไป เพราะถ้าจิตใจไม่เอื้อเฟื้อกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การเจริญกุศลยิ่งๆ ไปกว่านั้น คือขั้นศีล ขั้นภาวนา ก็ยากที่จะให้เป็นไปได้ อาจารย์คะ พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นใครคะ

    ท่านอาจารย์ พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญกุศลบารมีจนถึงพร้อมที่จะตรัสรู้ได้เอง ในกาลสมัยที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือในกาลที่ว่างจากพุทธศาสนาแล้ว

    คุณวันทนา และในสมัยนี้มีพระปัจเจกพุทธเจ้าไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีค่ะ เพราะว่าสมัยนี้ยังเป็นสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม เพราะยังมีพระธรรมคำสอนของพระองค์ดำรงสืบต่ออยู่ ต่อเมื่อใดสิ้นสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ และไม่มีคำสอนของพระองค์เหลืออยู่เลย เป็นสมัยที่โลกว่างจากพระธรรมคำสอน และก่อนที่จะถึงกาลสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ผู้ใดที่ได้บำเพ็ญกุศลบารมีพร้อมที่จะตรัสรู้อริยสัจจ์ด้วยตนเอง ก็บรรลุอริยสัจจ์เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ว่าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาน้อยกว่าบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาเพียงเพื่อจะให้รู้แจ้งอริยสัจจ์เท่านั้น ไม่ใช่ถึงพร้อมด้วยพระสัพพัญญุตญาณ และพระญาณอื่นๆ ที่เป็นกำลังในการโปรดสัตวโลกให้เข้าใจพระธรรมได้แจ่มแจ้งโดยละเอียด และประพฤติปฏิบัติตามได้

    คุณวันทนา ถ้าอย่างนั้น ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้า ซินะคะ เพราะสาวกอย่างท่านพระสารีบุตร และท่านพระมหาโมคคัลลานะก็เพียงแต่รู้ตามคำเทศนา และถึงแม้ในสมัยนี้ และสมัยต่อๆ ไป ที่ยังมีพระธรรมคำสอนอยู่ ตราบใดที่โลกยังไม่ว่างจากพระศาสนา ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะผู้ที่รู้ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นพุทธสาวก ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า และกาลสมัยที่จะว่างจากพุทธศาสนานั้นก็คงอีกนาน เมื่อว่างจากศาสนาแล้วก็อีกนานนับไม่ได้เลยว่าจะถึงกาลสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป เพราะการที่จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ได้นั้นก็ต้องนานมากทีเดียว ที่ท่านอุปาหนทายกเถระในอดีตชาติเคยเป็นบุตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็แสดงว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าก่อนที่จะได้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีบุตรภรรยาเหมือนกัน เหมือนพระผู้มีพระภาคพระสมณโคดมพระองค์นี้ ส่วนพระสาวกที่ไม่มีบุตรภรรยาก่อนอุปสมบทก็มี พระผู้มีพระภาคท่านได้ทรงพยากรณ์ใครไว้บ้างคะ ที่จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ พระองค์ทรงพยากรณ์ท่านพระเทวทัตว่า จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า อัฏฐิสสระ

    คุณวันทนา ถึงแม้ว่าท่านพระเทวทัตจะประพฤติผิดในพระผู้มีพระภาค และทำลายสงฆ์ด้วยความเมาในลาภสักการะ แต่เพราะได้ทำอดีตกุศลไว้มาก ท่านพระเทวทัตจึงได้มีกำเนิดที่ดี เป็นพระญาติของพวกเจ้าศากยะ มีสมบัติ มีโภคทรัพย์มาก ต่อมาก็สามารถได้ฌาน ทำอิทธิปาฏิหาริย์ให้พระเจ้าอชาตศัตรูเลื่อมใสได้ แต่เพราะอกุศลกรรมที่ทำลายสงฆ์จึงถูกธรณีสูบ แต่ก่อนจะตายกุศลที่ได้เคยสะสมไว้ทำให้ระลึกถึงคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ให้สาวกพามาเฝ้า แต่ก็ได้ถูกธรณีสูบเสียก่อนที่จะได้เฝ้า แต่ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้อดีต อนาคต ของบุญกุศลที่แต่ละคนได้สั่งสมไว้ ก็ได้ทรงพยากรณ์ว่าท่านพระเทวทัตจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรประมาทในการทำกุศลแม้จะเพียงเล็กๆ น้อยๆ เพราะถึงแม้ว่าชาติหนึ่งชาติใดจะได้ทำความผิดพลั้งพลาดไป บุญกุศลที่ได้สะสมไว้ก็ยังทำให้สำนึกผิด และกลับใจ กลับตัวเป็นคนดีได้

    ตัวอย่างของการทำบุญกุศลที่ทำได้ไม่ยาก แม้จะเล็กน้อย แต่ก็อาจมีผู้ไม่รู้ และมองข้ามไป จะมีอะไรอีกบ้างไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ในอปทาน เอกวิหาริวรรคที่ ๔๔ เอกสังขิยเถราปทานที่ ๒ ข้อ ๒๒ แสดงอดีตกรรมของท่านเอกสังขิยเถระว่า เมื่อมีการสมโภชไม้พระศรีมหาโพธิของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสีนั้น ท่านเป็นผู้รู้อานิสงส์ของการบูชานั้น ท่านจึงได้เป่าสังข์บูชาตลอดวัน และผลของกุศลกรรมนั้นทำให้ไม่เกิดในทุคติเลย และในชาติสุดท้ายท่านก็ได้บรรลุพระอรหันต์

    คุณวันทนา วนเวียนไปในวัฏฏะเสียน่าเหนื่อยกว่าจะได้บรรลุพระอรหันต์ และถ้าสามารถระลึกย้อนถึงอดีตชาติได้ ก็ย่อมจะได้เห็นบุญกุศลที่ได้สะสมมาต่างๆ เป็นลำดับขั้น

    จากตัวอย่างนี้ก็แสดงว่า แม้การเล่นดนตรีก็เป็นพุทธบูชาได้ ถ้าหากว่ากระทำด้วยจิตเลื่อมใส และมีเจตนาที่จะถวายการบรรเลงดนตรีนั้นเป็นพุทธบูชา ผู้ที่เป็นศิลปินนักร้องก็มีโอกาสเจริญกุศลด้วยศิลปะที่ตนชำนาญนะคะ ดูไปแล้ว ชีวิตนี้ไม่ว่าจะเป็นใครมีความสามารถในทางไหน ก็ย่อมจะใช้ชีวิตเป็นพุทธบูชาได้ทุกขณะ อย่างพวกแพทย์ และพยาบาลที่ถวายการรักษาพยาบาลภิกษุสามเณร ก็ย่อมจะทำได้ด้วยจิตกุศลเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาได้ ผู้ที่เป็นนักกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ก็สามารถแต่งคำประพันธ์ของตนถวายเป็นพุทธบูชาได้เช่นเดียวกัน ส่วนผู้ที่มีความสามารถในการจัดดอกไม้ ก็ย่อมจะประดิษฐ์ดอกไม้ถวายเป็นพุทธบูชาได้ ส่วนผู้ที่มีความสามารถในการปรุงอาหาร ก็ย่อมจะปรุงอาหารเป็นทานถวายสงฆ์เป็นการบูชาได้เหมือนกัน

    ดูๆ แล้วสิ่งที่ดีงามที่ทำด้วยกุศลเจตนานั้น เป็นการกระทำที่บูชาพระรัตนตรัยได้ทุกอย่างทีเดียว แล้วในเรื่องต่อไปจะมีอะไรอีกไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ในอปทาน สกิงสัมมัชชกวรรคที่ ๔๓ โกรัณฑปุปผิยเถราปทานที่ ๕ ข้อ ๑๕ แสดงอดีตกรรมของท่านโกรัณฑปุปผิยว่า ท่านกับบิดา และปู่ของท่าน เป็นชาวป่าเลี้ยงชีพด้วยการฆ่าสัตว์ ไม่มีกุศลกรรม ใกล้ๆ ที่อยู่ของท่าน พระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐสุดของโลกทรงพระนามว่าติสสะ ได้ทรงแสดงพระพุทธบาทไว้ ๓ รอย ด้วยพระอนุเคราะห์ เมื่อเห็นรอยพระพุทธบาทของพระศาสดาพระนามว่าติสสะทรงเหยียบไว้ ท่านก็มีจิตปีติร่าเริงเลื่อมใสอย่างยิ่ง ท่านเห็นต้นหงอนไก่ที่ขึ้นอยู่บนดินที่ดอกบานแล้ว ท่านก็เด็ดมาพร้อมทั้งยอด บูชารอยพระบาทอันประเสริฐสุด และผลของกรรมนั้นเมื่อจุติแล้วก็เกิดในดาวดึงส์ มีผิวกายเหมือนดอกหงอนไก่ และมีรัศมีซ่านออกจากกายด้วย และในชาติสุดท้ายท่านก็ได้บรรลุพระอรหันต์

    คุณวันทนา พระมหากรุณาของพระผู้มีพระภาคนี้แผ่ไปทั่วไม่จำกัดในหมู่คนดี คนเลว เลยทีเดียว ถ้าจะมีสิ่งใดที่จะยังใจผู้ใดให้เลื่อมใส พระองค์ก็ทรงอนุเคราะห์ทุกทาง แม้ด้วยการเหยียบรอยพระบาทไว้ให้เลื่อมใส

    ท่านอาจารย์ พระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถจะประมาณได้เลย เช่นเดียวกับพระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาคุณของพระองค์ พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาคุณแก่สัตวโลกทั่วหน้าไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นพราหมณ์ เป็นกษัตริย์ เป็นผู้ประพฤติดี หรือเป็นโจรผู้ร้าย พระมหากรุณาคุณที่ทรงอนุเคราะห์สัตวโลกด้วยประการต่างๆ ด้วยพระธรรมคำสอนของพระองค์นั้น เป็นแสงสว่างที่ทำลายความมืดคืออวิชชา ความมืดอะไรก็ไม่มืดเท่าอวิชชา ซึ่งเป็นความไม่รู้สภาพความจริงของสิ่งต่างๆ จึงเป็นเหตุให้หลงยึดมั่นมัวเมาเพลิดเพลิน และทำให้ประพฤติผิดในทางที่ไม่ดีงามเป็นอกุศลกรรมต่างๆ ดิฉันคิดว่าทุกคนก็คงทราบแล้วว่า โลกย่อมมีทั้งความมืด และความสว่างหมุนเวียนเปลี่ยนไป ชีวิตก็ย่อมมีทั้งความมืด และความสว่างสลับกันไปเช่นเดียวกันด้วย บางครั้งก็มืดด้วยความเห็นผิด ความเขลา และกิเลสต่างๆ นานาประการ ที่ชักนำให้ประพฤติในทางที่ผิดเป็นทุจริตอกุศลกรรมต่างๆ และบางครั้งชีวิตก็สว่างด้วยแสงแห่งพระธรรม ที่ทำให้เข้าใจถูกว่าอะไรดีอะไรชั่ว ทำให้เปลี่ยนแปลงความประพฤติ และขัดเกลากิเลสด้วยการกระทำที่งามเป็นบุญเป็นกุศล เพราะฉะนั้นไม่ว่าผู้ใดจะประพฤติชั่วทุจริตเป็นโจรผู้ร้าย หรือมีชีวิตมืดมาสักเพียงไรก็ตาม ถ้ามีอะไรที่จะทำให้เกิดความเลื่อมใสในทางที่ถูกได้แม้จะเพียงชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ควรจะละโอกาสนั้น เพราะกุศลจิตที่เกิดแม้ชั่วขณะหนึ่งๆ นั้น เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ซึ่งล้วนแล้วไปด้วยสิ่งที่ไม่มีสาระ และความมืดของอวิชชา

    คุณวันทนา ที่ว่าโลกมืดหรือตาบอดมองอะไรไม่เห็นก็ยังไม่มืดเท่ากับอวิชชานะคะ เพราะตาบอดก็ยังอาจจะรักษาให้หายได้ แต่อวิชชาแม้แต่คนตาดีๆ ไม่บอด ก็ยังเห็นสิ่งต่างๆ ผิดไปจากสิ่งที่ดีงาม และทางที่ถูกได้

    ท่านอาจารย์ ในบางแห่งที่พระองค์ทรงแสดงอย่างอุกฤษ คืออย่างสูงสุด เช่น ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค โพชฌงคสังยุตต์ จักกวัตติวรรคที่ ๕ ทุปปัญญสูตร ข้อ ๕๐๘ - ๕๐๙ พระองค์ทรงแสดงว่า ที่เรียกว่าคนโง่คนใบ้นั้น คือคนที่ไม่เจริญโพชฌงค์

    คุณวันทนา โพชฌงค์คืออะไรคะ

    ท่านอาจารย์ โพชฌงค์คือธรรมที่ทำให้รู้แจ้งอริยสัจจ์ ๔ ค่ะ และในอทฬิททสูตร ข้อ ๕๑๔ - ๕๑๕ พระองค์ก็ทรงแสดงว่า คนที่เรียกว่าไม่จนนั้น คือคนที่เจริญโพชฌงค์

    คุณวันทนา ถ้าไม่เจริญธรรมที่ทำให้รู้แจ้อริยสัจจ์แล้ว ถึงจะมีเงินทองสักเท่าไรก็มีวันหมดต้องกลายเป็นคนจนหรือไม่งั้นตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ถ้ากรรมไม่ดีให้ผลก็ทำให้เกิดไม่ดี เป็นคนจนอยู่เรื่อยๆ นะคะ ถ้ายังมีวัฏฏะอยู่ ในเรื่องอื่นยังมีอีกไหมคะที่จะทำให้คนไม่ละเว้นการเจริญกุศล ที่คิดว่าเป็นกุศลเล็กๆ น้อยๆ

    ท่านอาจารย์ ในขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ปาริฉัตตกวรรคที่ ๓ คุตติลวิมาน ข้อ ๓๓ (๔) เทพธิดาผู้หนึ่งได้แสดงอดีตกรรมของตนแก่ท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ในอดีตชาตินั้นเป็นหญิงรับใช้ รับจ้างทำกิจการงานของคนอื่น ไม่เกียจคร้าน ไม่เป็นคนโกรธง่าย ไม่ถือตัว ชอบแบ่งปันของซึ่งเป็นส่วนของตัวให้แก่คนอื่นที่ต้องการ

    คุณวันทนา นี่ก็แสดงผลกรรมว่าแม้จะเป็นหญิงรับใช้ แต่ประพฤติเป็นไปในบุญกิริยาวัตถุ ไม่เป็นคนโกรธง่าย ช่วยเหลือ และแบ่งปันของให้คนอื่นก็ย่อมจะได้รับผลของกรรมดี แล้วในเรื่องต่อไปล่ะคะ

    ท่านอาจารย์ ในขุททกนิกาย อปทาน อารักขทายกวรรคที่ ๓๒ อาสนถวิกเถราปทานที่ ๖ ข้อ ๓๑๘ ท่านอาสนถวิกเถระได้แสดงอดีตกรรมของท่านว่า ในครั้งนั้นท่านเที่ยวค้นหาเจดีย์อันชื่อว่าอุตตมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี และเมื่อได้พบพระที่นั่งก็ได้กราบนมัสการ และสรรเสริญพระพุทธคุณ ผลแห่งกรรมนั้นท่านก็ไม่ได้ไปทุคติเลย และชาติสุดท้ายท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

    คุณวันทนา นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาสนะหรือสิ่งใดที่เตือนใจให้ระลึกถึงพระผู้มีพระภาคแล้วจิตใจก็ย่อมจะเป็นกุศลในขณะนั้น และเรื่องอื่นจะมีอีกไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ในอปทาน คันโคธกวรรคที่ ๓๔ ติณกุฏิทายกเถราปทานที่ ๗ ข้อ ๓๓๙ ท่านพระติณกุฏิทายกเถระได้แสดงอดีตกรรมที่ท่านเป็นคนรับจ้าง ได้ขอหยุดงานวันหนึ่งแล้วเข้าไปในป่า ขนหญ้า ไม้ เถาวัลย์เอามาสร้างเป็นกุฎีถวายเพื่อประโยชน์ของสงฆ์ ผลของกรรมนั้นท่านก็ได้เกิดในดาวดึงส์ และในชาติสุดท้ายก็ได้เป็นพระอรหันต์

    คุณวันทนา ท่านคงจะคิดว่า ถ้าท่านไม่สร้างกุศลอะไรถวายสงฆ์เลย บุญกุศลไม่มี ตายแล้วก็จะไปเกิดในนรกได้รับความทุกข์ทรมาน และเรื่องอื่นยังมีอีกไหมคะ

    ท่านอาจารย์ เรื่องนี้คุณวันทนาอาจจะเห็นว่าเล็กน้อยมาก แต่ก็เป็นกุศลจิตซึ่งเมื่อมีโอกาสแล้วไม่ควรละเลยให้โอกาสของกุศลจิตนั้นผ่านไป ในอปทาน สัททสัญญิกวรรคที่ ๓๖ ทัณฑทายกเถราปทานที่ ๕ ข้อ ๓๕๗ ท่านพระทัณฑทายกเถระได้แสดงอดีตกรรมของท่านว่า ท่านได้เข้าไปตัดไม้ไผ่ในป่า และได้ถวายไม้ขอเพื่อห้อยสิ่งของแก่สงฆ์ ผลของกุศลนั้นไม่ทำให้ไปทุคติเลย และในชาติสุดท้ายท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์

    คุณวันทนา บางคนก็คิดถึงแต่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องความสะดวกสบายเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจจะมองข้ามไป แต่ถ้าใครมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ย่อมถวายเป็นประโยชน์แก่สงฆ์ได้ ต่อไปมีเรื่องอะไรอีกคะ

    ท่านอาจารย์ ในอปทาน คันโธทกวรรคที่ ๓๔ ธัมมสวนิยเถราปทานที่ ๙ ข้อ ๓๔๑ ท่านพระธัมมสวนิยเถระได้แสดงอดีตกรรมของท่านว่า ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านเป็นชฎิลที่มีตบะสูง มีอิทธิปาฏิหาริย์ด้วย ครั้งหนึ่งท่านเหาะไปในอากาศก้ไม่สามารถจะเหาะไปเหนือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ท่านอุปมาว่าขณะนั้นท่านเป็นเสมือนนกที่กระทบภูเขาหินไปไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์อย่างนั้นไม่เคยเกิดกับท่านมาก่อนเลย เพราะทุกครั้งที่ท่านเหาะไปในท้องฟ้านั้น เป็นเหมือนกับหลับตาในน้ำ เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านก็คิดว่าคงจะมีผู้ประเสริฐอยู่ภายใต้กระมัง ซึ่งท่านก็ปรารถนาจะค้นหาให้พบ เพราะเชื่อว่าคงจะได้รับประโยชน์จากท่านผู้ประเสริฐนั้นบ้าง ซึ่งเมื่อท่านลงจากอากาศท่านก็ได้ยินเสียงของพระศาสดา ซึ่งกำลังตรัสอนิจจตา ความไม่เที่ยง ท่านจึงเรียนอนิจจตาในขณะนั้น เมื่อได้เรียนอนิจจสัญญาแล้วท่านก็ได้กลับไปอาศรม ท่านระลึกถึงการฟังธรรมนั้น และเมื่อจุติแล้ว ด้วยผลของกรรมนั้น ท่านก็ได้เกิดในดาวดึงส์รื่นรมย์อยู่ในเทวโลกเป็นเวลานาน แล้วก็ได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิมากมายหลายครั้ง และในชาติสุดท้ายเมื่อท่านได้ฟังพระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องความไม่เที่ยงในเรือนบิดาท่าน ท่านก็ระลึกถึงสัญญาคือความจำในเรื่องความไม่เที่ยงที่เคยได้ยินมาในอดีตชาตได้ว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีการเกิดขึ้น และดับไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความที่สงขารสงบระงับได้เป็นสุข ท่านระลึกถึงบุพพกรรมพร้อมกับได้ฟังคาถา และบรรลุความเป็นอรหันต์เมื่ออายุเพียง ๗ ขวบเท่านั้น ขณะที่นั่งอยู่บนอาสนะเดียวนั้นเอง

    คุณวันทนา ก็แสดงว่า กุศลแต่ละขณะที่เกิดขึ้นในชาติหนึ่ง ภพหนึ่งนั้นประมาทไม่ได้ เพราะกุศลย่อมติดตามมาอุปการะแม้ในชาติสุดท้ายก็ได้ ถ้าใครยังไม่มีโอกาสเจริญกุศลทางอื่น เพียงแต่จะคิดพิจารณาถึงความไม่เที่ยง ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทั้งหลายบ่อยๆ ก็ย่อมเป็นกุศลที่สะสมให้เพิ่มขึ้น และอุปการะในชาติต่อๆ ไป จนถึงชาติสุดท้าย แต่ละเรื่องแต่ละชีวิตของพระอรหันต์ที่ได้กล่าวถึงแล้วนั้น รู้สึกว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้พิจารณาธรรมอย่างมากทีเดียว เพราะพระอรหันต์ท่านย่อมเห็นคุณประโยชน์ที่จะเกิดแก่ผู้พิจารณาธรรม ท่านจึงได้แสดงอดีตกรรมที่เป็นกุศลที่ควรเจริญทุกขณะทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นกุศลในทางใดก็ตาม

    สำหรับเรื่องที่เป็นตัวอย่างในการเจริญกุศลทุกประการอื่นๆ ก็คงมีอีกมาก แต่เวลาก็สิ้นสุดลงแล้ว พบกันใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีค่ะ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 1
    9 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ