แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 795


    ครั้งที่ ๗๙๕


    สุ. ในสังสารวัฏฏ์นี้ อกุศลธรรมย่อมมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดมากกว่ากุศลธรรม เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นอกุศลธรรม คือ โลภะ โทสะ โมหะ ขณะนั้นเป็นโมฆะไปทั้งหมด เพราะปัญญาไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แต่ขณะใดที่สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด เป็นขณะที่จะเจริญปัญญา เริ่มรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏด้วยการศึกษา คือ น้อมไปที่จะรู้ โดยไม่ใช่ความคิด แต่เป็นการรู้ ค่อยๆ รู้ เริ่มรู้ น้อมไปรู้ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ จึงจะรู้ว่า ขณะที่เป็นธาตุรู้นั้นไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงชั่วขณะที่รู้ เป็นธาตุรู้ชนิดหนึ่ง และสิ่งที่ปรากฏก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มีลักษณะของสภาพธรรมปรากฏแต่ละทาง จึงจะกระจัดกระจายการที่เคยยึดถือสภาพธรรมที่รวมกัน และเข้าใจผิดยึดถือว่า เป็นสัตว์ บุคคลได้

    เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องของหลายๆ ชาติ หลายๆ กัป ตามความเป็นจริง เพราะอกุศลธรรมมีปัจจัยสะสมมาที่จะเกิดมากกว่ากุศล ถ้าเป็นปัญญา ต้องรู้จริงๆ อย่าเอาความไม่รู้มาอบรม มาเจริญ มาหวัง มาต้องการ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่สามารถที่จะรู้สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามปกติ ตามเหตุตามปัจจัย สังขารขันธ์ก็ปรุงแต่งไปจนกว่าสติปัญญาจะมั่นคง แต่ว่าต้องมีเหตุ คือ การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ พร้อมการศึกษา ถ้าไม่มีเหตุอย่างนี้ ผู้นั้นก็จะรู้ได้เองว่า ตัวเองไม่รู้อะไรเลย เพราะสติไม่ได้ระลึกได้ และไม่มีการศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ

    ไม่ใช่เป็นเรื่องใจร้อน และไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะเร่งรัดโดยไม่เข้าใจในเหตุและในผลของข้อประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง บางท่านกล่าวว่า เห็นก็รู้ว่าเห็น ได้ยินก็รู้ว่าได้ยิน เย็นก็รู้ว่าเย็น จะต่างอะไรกันกับการเจริญสติปัฏฐาน นี่ก็เป็นการฟังเผินๆ

    แต่ว่าการฟัง ต้องฟังด้วยดี พิจารณาในเหตุผล จึงจะเข้าใจในสัจจญาณ ซึ่งเป็นอริยสัจธรรมรอบที่ ๑ ก่อนที่จะถึงกิจจญาณ และกตญาณ เพราะอริยสัจธรรม ๔ นั้นมี ๓ รอบ ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องแท้จริงในอริยสัจธรรมเป็นสัจจญาณ ก็ไม่สามารถมีปัจจัยให้เกิดกิจจญาณ คือ การประพฤติปฏิบัติอบรมเจริญปัญญาที่ถูกต้องได้

    สิ่งที่ปรากฏ ปรากฏตามธรรมดาตามปกติ เริ่มระลึกรู้และศึกษา เป็นการอบรมเจริญปัญญารู้สิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ จนกว่าจะประจักษ์ และถ้าสติไม่เกิด ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็มีการฟัง มีการพิจารณา มีการทำกุศลทุกประการ เป็นการเกื้อกูลสงเคราะห์ เป็นเหตุเป็นปัจจัยสะสมปรุงแต่ง จนกว่าสติจะเกิดขึ้น

    ถ. สัจจญาณรู้อะไร กิจจญาณรู้อะไร และกตญาณรู้อะไร

    สุ. สัจจญาณ คือ ความรู้จริงในเหตุในผลของอริยสัจธรรม ๔ คือ ทุกขสัจ หรือทุกขอริยสัจว่า สภาพธรรมใดเป็นทุกข์ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นและดับไปเป็นทุกข์ที่จะต้องรู้ เพราะฉะนั้น ถ้ารู้จริงๆ ว่า การอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่รู้อย่างอื่นนอกจากกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เมื่อไม่รู้ ทำอย่างไรจึงจะรู้ นี่คือเข้าใจในเหตุและผล

    ถ้าไม่มีเหตุ คือ การอบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ สติไม่เกิด ไม่ศึกษา ไม่น้อมไปที่จะรู้ในการเห็นและสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ไม่มีวันที่จะประจักษ์ความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลของสภาพธรรมที่ปรากฏ และต้องรู้ด้วยว่า ที่ข้อปฏิบัติผิดไปนั้น ก็เพราะสมุทัยสัจ ความปรารถนา ความต้องการ ซึ่งไม่ใช่เป็นหนทางดับกิเลสเลย

    เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดไม่มีความเข้าใจในข้อปฏิบัติ แต่ปฏิบัติด้วยความต้องการซึ่งไม่ใช่ข้อปฏิบัติที่ถูก ก็เป็นการกระทำไปด้วยสมุทัยสัจ ซึ่งไม่สามารถที่จะดับสังสารวัฏฏ์ได้

    ถ. ผู้ที่ปฏิบัติเขาก็มีจุดมุ่งหมาย ในเมื่อเจริญมรรคมีองค์ ๘ แล้ว จุดมุ่งหมายก็ย่อมถึงนิพพาน

    สุ. แต่ถ้าไม่ใช่มรรคมีองค์ ๘ และเข้าใจผิดในข้อประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่เป็นหนทางที่จะทำให้ดับกิเลสได้

    ถ. จุดมุ่งหมายที่จะถึงนิพพาน จะเป็นความต้องการหรือเปล่า หรือว่าเป็นข้อปฏิบัติผิด

    สุ. ถ้าไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง และหวังนิพพาน จะรู้ได้อย่างไรว่านิพพานนั้นเป็นอย่างไร ในเมื่อยังไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่กำลังปรากฏเลย พอชื่อว่านิพพาน ก็หวัง ก็ต้องการ โดยที่ไม่รู้เลยว่านิพพานเป็นอย่างไร ขณะใดที่หวัง ขณะนั้นเป็นโลภะ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หนทาง แต่หนทางจริงๆ คือ อบรมเจริญสติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ไปหวังนิพพานก่อน โดยที่ยังไม่รู้เลยว่านิพพานเป็นอย่างไร สภาพธรรมที่กำลังปรากฏก็ยังไม่รู้เลย จะเข้าใจลักษณะของนิพพานได้อย่างไร แม้โดยความคิด

    แต่ถ้าผู้ใดอบรมเจริญสติปัฏฐานแล้ว ผู้นั้นย่อมรู้ว่า หนทางนี้จะทำให้ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้จริงๆ เริ่มมีแนวทางที่จะรู้ว่านิพพานนั้นมีอรรถว่าอย่างไร เพราะเหตุว่านิพพานไม่ใช่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ขณะนี้ใครหวังนิพพานบ้าง หรือว่าควรอบรมเจริญความรู้ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ

    ทางตากำลังเห็น แทนที่จะหวังนิพพาน ควรจะทำอย่างไร ควรที่สติจะระลึกศึกษา รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเห็น เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แทนที่จะหวังนิพพาน ทางหูกำลังได้ยินเสียง ควรที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพรู้เสียง และเสียงที่ปรากฏ แทนที่จะหวังนิพพาน

    ถ. ผมสงสัยว่า หลับตานี่เห็นหรือเปล่า จากคำบรรยายของท่านอาจารย์ ผมสรุปว่า ลืมตาอยู่ก็มีทั้งเห็นได้และเห็นไม่ได้ หลับตาอยู่ก็สามารถจะเห็นได้และเห็นไม่ได้ด้วย คือ การเห็นนี้ ตาไม่ใช่สิ่งที่เห็นใช่ไหม จิตทำหน้าที่เห็น ตาเป็นเพียงปัจจัยของการเห็น อย่างนี้ถูกหรือไม่

    สุ. สภาพธรรมต้องตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ทุกท่านพิสูจน์ธรรมได้ และก็อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เวลาที่กล่าวว่า ขณะที่หลับตาจะไม่เห็นอะไร ขณะนั้นไม่เหมือนกับเวลาที่ลืมตาและเห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ หลับตาแล้วบางท่านรู้สึกว่ายังเห็น แต่ว่าเห็นเป็นแสงสลัว หรือว่าเป็นแสงสว่างสีต่างๆ แต่ว่าไม่เห็นเป็นรูปร่างสัณฐาน

    สภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ ถ้าท่านรู้สึกว่าเห็น ก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏแม้ในขณะที่หลับตา เพียงแต่ไม่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานเหมือนในขณะที่ลืมตา ซึ่งขณะนั้นต้องมีจิต และขณะนั้นไม่ใช่ได้ยินเสียง ขณะนั้นไม่ใช่คิดนึก เพราะฉะนั้น แม้ขณะที่อยู่ในห้องที่มืด หรือห้องที่สลัว หรือว่าหลับตาแล้ว แต่ก็รู้ว่ามีการรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนั้นก็เป็นเห็น แต่ไม่ใช่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปร่างสัณฐานเหมือนในขณะที่ลืมตา เพราะสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งไม่ควรจะหวั่นไหวโดยที่เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏทางตานั้น เป็นวัตถุ เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ นั่นเป็นความรู้สึกนึกคิดถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทางตาด้วยความจดจำในรูปร่างสัณฐานนั้นๆ ว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ แต่ไม่ใช่ขณะที่ปัญญารู้ชัดจริงๆ ว่า หามีสัตว์ มีบุคคล มีวัตถุต่างๆ ในสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นไม่

    เพราะฉะนั้น แม้อรรถของพยัญชนะที่ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ปัญญาก็จะต้องรู้ชัด จึงจะเพิกถอนการที่เคยเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาและยึดมั่นว่า มีคนจริงๆ มีวัตถุ สิ่งต่างๆ จริงๆ ในสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าตราบใดที่ยังเห็นเป็นคนอยู่ เป็นวัตถุ เป็น สิ่งต่างๆ หมายความว่าขณะนั้นปัญญาไม่ได้รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างไร ซึ่งการคิดนึกถึงรูปร่างสัณฐานและจดจำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งของนั้น ไม่ใช่ขณะที่กำลังเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น

    ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา ถ้ารู้สิ่งที่ปรากฏทางตา โดยไม่เป็นคน ไม่เป็นสัตว์ ไม่เป็นวัตถุใดๆ เลย และเวลาที่หลับตาก็มีสภาพธรรมที่เห็นสิ่งที่ไม่ปรากฏรูปร่างสัณฐานว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุใดๆ เพราะฉะนั้น การเห็นทั้งขณะที่ลืมตาและหลับตา ก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ปัญญาจะต้องอบรมเจริญจนกระทั่งไม่มีความต่างกัน ในขณะที่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะที่ลืมตา และในขณะที่หลับตา

    นอกจากนั้น ปัญญายังจะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงก็จะรู้ชัดจนถึงขณะที่ว่า ในขณะที่ลืมตาและได้ยินเสียงนั้น ขณะที่ได้ยินเสียงนั้น จะไม่มีการเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแน่นอน เพราะว่าถ้าขณะใดที่สติไม่เกิดขึ้น ลืมตาก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา และก็มีความเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ เป็นวัตถุต่างๆ พร้อมกันนั้นก็มีการได้ยินเสียง ทั้งๆ ที่ยังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา และรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอะไร ซึ่งนั่นเป็นขณะจิตที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วมาก แต่แม้กระนั้น สำหรับผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนสติสามารถที่จะเกิดขึ้นรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏสืบต่อกันตามความเป็นจริง ไม่ผิดปกติเลย สติพร้อมด้วยปัญญาจะรู้ชัดว่า ในขณะที่กำลังได้ยินเสียง สีที่ปรากฏทางตาไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่มีการเห็น หรือว่าในขณะที่กำลังเห็น สติก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จะไม่มีการได้ยิน หรือเสียงปรากฏในขณะที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตาอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ลืมตาอย่างนี้ ขณะที่ได้ยินนั้น สีสันวัณณะต่างๆ ไม่ปรากฏ การเห็นไม่มี หรือว่าในขณะที่ลืมตาอย่างนี้ ขณะที่เห็นสิ่งที่ปรากฏ ในขณะนั้นเสียงและการได้ยินไม่มี เมื่อปัญญารู้ชัดคมกล้าอย่างนี้ จึงจะสามารถถ่ายถอนการที่เคยยึดถือสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้

    ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจริงๆ จะไม่เข้าใจผิด รู้ว่าปัญญาของท่านเริ่มเกิดขึ้นขั้นไหน ระดับไหน หรือว่ายังไม่พร้อม ยังไม่พอที่จะประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรม ยังไม่พร้อม ยังไม่พอที่จะรู้ชัดว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลยจริงๆ เพราะฉะนั้น ปัญญาจะต้องอบรมไปเรื่อยๆ อย่างละเอียด โดยทั่ว ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ

    ลักษณะของนามธรรมที่เห็นทางตา เป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏ ฉันใด ลักษณะของนามธรรมที่กำลังได้ยินเสียง ก็เป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางหู ฉันนั้น ลักษณะของนามธรรม ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เป็นแต่เพียงสภาพรู้ หรือธาตุรู้ที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าถึงอรรถ ลักษณะจริงๆ ของสภาพรู้ ซึ่งพูดกันอย่างง่ายๆ และก็ดูเหมือนจะเข้าใจกันง่ายๆ ด้วยว่า สิ่งที่เป็นสภาพรู้นั้นมี ไม่ใช่รูปธรรมที่ปรากฏ ไม่ใช่สีสันวัณณะต่างๆ ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส ไม่ใช่เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหวที่กระทบสัมผัสกาย แต่ทั้งๆ ที่มีความเข้าใจอย่างนี้ ขั้นนี้แล้ว ก็ยังไม่ใช่ขั้นประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพรู้ธาตุรู้จริงๆ ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาพิจารณารู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้น การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะมีความตั้งอกตั้งใจอย่างมากมายที่วันนี้จะให้สติเกิดอย่างมั่นคง ให้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่อบรมเจริญความรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ต่างกันที่ปรากฏ ทางตา มีทั้งสภาพรู้คือเห็น และสิ่งที่ปรากฏ ทางหู มีทั้งเสียง และสภาพที่ได้ยินคือสภาพที่กำลังรู้เสียง น้อมพิจารณารู้ลักษณะสภาพธรรม เมื่อเป็นเพียงสภาพรู้ ก็ไม่ใช่เสียงที่กำลังปรากฏให้รู้ ต้องมีสภาพรู้ด้วย

    ถ้าใครยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะน้อมไปรู้ในลักษณะของสภาพรู้ แต่จะให้สติเกิดขึ้นตลอดวันหลายๆ ชั่วโมง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

    ในขณะนี้เอง มีการเห็น มีการได้ยิน มีการคิดนึก มีการกระทบสัมผัส ถ้าสติไม่เคยระลึกรู้ลักษณะสภาพของสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ ให้ตรงลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ท่านอาจจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพที่อ่อนหรือแข็งที่ปรากฏทางกาย เพราะฉะนั้น สติอาจจะมีปัจจัยเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางกายนิดเดียว แต่ตาที่กำลังเห็นนี้ เมื่อยังไม่เคยอบรม ยังไม่เคยศึกษา ยังไม่เคยน้อมไปรู้ ยังไม่เคยพิจารณา สติก็ยังไม่เกิดที่จะระลึกรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง หรือที่กำลังเห็นนี้ ก็เป็นแต่เพียงสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่รู้แข็ง หรือรู้อ่อน

    เรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ต้องเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยที่สังขารขันธ์จะปรุงแต่ง ซึ่งตลอดเวลามาทุกท่านก็ย่อมจะทราบว่า อกุศลธรรมเกิดมากกว่ากุศลธรรม เพราะฉะนั้น ก็มีปัจจัยที่เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งจิตให้เป็นอกุศลมากกว่าที่จะเป็นกุศล แต่การได้ยินได้ฟัง การพิจารณาธรรม เป็นกุศลที่จะ ค่อยๆ สะสมไป ปรุงแต่งไป จนกว่าสติจะเกิดขึ้นระลึกศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งอาจจะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจก็ได้ โดยที่เลือกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่มีการที่จะเจาะจง หรือ ตั้งอกตั้งใจว่า จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมลักษณะหนึ่งลักษณะใด



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๘๐ ตอนที่ ๗๙๑ – ๘๐๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 80
    28 ธ.ค. 2564