แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1544


    ครั้งที่ ๑๕๔๔


    สาระสำคัญ

    สัทธาที่จะได้เห็นผู้มีศีล (บูชาคุณความดีของผู้ที่ทรงคุณความดี)

    หญิงชาวบ้านกาฬุมพระ (ผู้ใคร่การฟังธรรม ยากที่ใครจะมีได้)

    จักขุทวารเพียงทวารเดียว ที่ปรากฏความสว่าง (ทวารอื่นมืดทั้งนั้น)


    ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๙


    นี่คือศรัทธาที่จะได้เห็นผู้มีศีล เป็นผู้ใคร่ในการเห็นผู้มีศีล เป็นผู้ใคร่เพื่อที่จะฟังพระธรรม เดินทางจากพระนครปาฏลีบุตรทางเหนือของอินเดียไปทางใต้ จากนั้น ลงเรือเดินทางต่อไปโรหณชนบททางใต้ของลังกา เพื่อไปนมัสการ และมีศรัทธา ปรุงอาหารถวายเพื่อบูชาคุณความดีของผู้ที่ทรงคุณความดี ซึ่งเป็นศรัทธาของผู้ที่จะได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์

    สมัยโน้นต้องเดินทางไกลมากเพื่อจะได้ฟังพระธรรม

    อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องหญิงชาวบ้านกาฬุมพระผู้หนึ่ง ซึ่งมีศรัทธาในการฟัง พระธรรมอย่างยากที่ใครจะมีได้

    หญิงนั้นอุ้มลูกไปยังจิตตลบรรพตด้วยคิดว่า จักฟังพระธรรม ให้ลูกนอนพิงต้นไม้ต้นหนึ่ง ตนเองยืนฟังพระธรรมในระหว่างกลางคืน งูตัวหนึ่งกัดลูกที่นอนอยู่ ใกล้ๆ ทั้งๆ ที่นางดูอยู่ เข้าสี่เขี้ยวแล้วหนีไป

    นางคิดว่า ถ้าเราจักบอกว่าลูกของเราถูกงูกัด ก็จักเป็นอันตรายแก่การฟัง พระธรรม นางคิดว่า เมื่อเรายังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เด็กคนนี้ได้เป็นลูกของเรามาหลายครั้งแล้ว เราจักประพฤติธรรมเท่านั้น แล้วยืนอยู่ตลอดทั้ง ๓ ยาม ประคองธรรมไว้ ได้บรรลุโสดาปัตติผลเมื่ออรุณขึ้นแล้ว ทำลายพิษงูในบุตรด้วยสัจจกิริยา แล้วอุ้มบุตรไป คนเห็นปานนี้ ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ใคร่การฟังธรรม

    นี่เป็นเรื่องในอดีตของพระโสดาบันท่านหนึ่ง

    . เป็นผู้ใคร่จะฟังพระธรรม ตรงกับอัธยาศัยของผม เพราะผมชอบฟัง ผมดูองค์ของศรัทธาที่จะทำให้ศรัทธาเกิด คล้ายๆ กับองค์ที่ทำให้กุศลจิตเกิด คบสัตบุรุษ ฟังธรรมของสัตบุรุษ ตั้งตนไว้ชอบ อยู่ในประเทศที่สมควร รู้สึกจะคล้ายๆ กัน ใช่ไหม

    สุ. ก็มีหลายอย่าง เช่น เป็นผู้ที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำกุศล ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้กุศลจิตเกิด หรือเวลาที่อกุศลจิตเกิดแล้วระลึกได้ และเห็นว่าเป็นโทษ ขณะนั้นก็ทำให้กุศลจิตเกิดแทนอกุศลได้ หรือการสะสมที่เคยทำกุศลอย่างนั้นบ่อยๆ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้กุศลจิตเกิดได้

    ผู้ฟัง การใคร่เป็นผู้ฟังธรรม สำหรับในประเทศไทย ผมว่ายากเหลือเกิน ผมนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีกิจของท่านอยู่ข้อหนึ่งว่า สายัณเห ธัมมเทสนัง ทุกเย็นเราไปฟังธรรมได้แน่ ถ้าเกิดในสมัยนั้น คงจะมีความอิ่มเอิบ มีปีติจริงๆ เย็นได้ไปฟังธรรมแน่นอน แต่เดี๋ยวนี้ฟังธรรมก็ไม่ค่อยแน่นอน อีกประการหนึ่ง การฟังจากวิทยุ กับอย่างสมัยพุทธกาล ทุ่มหนึ่งผมไปฟังธรรม ผมว่าผมมีศรัทธาที่จะไปได้ปีละ ๓๖๕ วัน เว้นแต่จะป่วยเจ็บเท่านั้นเอง ถ้าพระพุทธเจ้ายังอยู่ ก็ยังมี สายัณเห ธัมมเทสนัง อย่างเวลานี้แม้อาจารย์อยู่แค่ซอย ๗๑ นึกจะไป ก็ยังมีอะไรๆ ที่ไปไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองมีศรัทธาอยากจะฟังพระธรรมจริงๆ ยิ่งเป็นพระธรรมของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย แต่ถ้าเป็นธรรมของคนอื่น คงจะไม่มีศรัทธา

    สุ. ขณะนี้ไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าย้อนกลับไปสมัยหนึ่ง ซึ่งพระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า ศรัทธาของท่านจะเหมือนอย่างที่กล่าวไว้หรือเปล่า เพราะว่าทุกท่านมีภารกิจมากในฐานะที่เป็นคฤหัสถ์

    . ถ้ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมคิดว่าคงจะวางหมด

    สุ. นั่นเป็นความคิดในขณะที่ไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้า คิดในมุมกลับ พระไตรปิฎกอยู่ที่บ้าน จะฟังธรรมที่พระวิหารเชตวัน ที่พระวิหาร นิโครธาราม ที่พระวิหารเวฬุวัน ที่พระวิหารโกสัมพี หรือที่ไหนย่อมได้ทั้งนั้น โดยเพียงแต่มีเวลาที่จะอ่านพระไตรปิฎก

    . อรรถและนิรุตติภาษาเราไม่เพียงพอ อ่านแล้วพูดกันอย่างชาวบ้าน คือไม่ค่อยสนุก

    สุ. พระธรรมเป็นสัจจะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งทุกคนฟังแล้ว พิจารณาแล้ว ก็เห็นประโยชน์ และเพลิดเพลินในธรรมได้ เพลิดเพลินร่าเริงในกุศล ไม่ใช่เพลิดเพลินอย่างอกุศล แต่ใครจะรู้ว่า เคยฟังหรือไม่เคยฟังพระธรรมจาก พระโอษฐ์มาก่อน และพระธรรมที่ทรงแสดงที่พระวิหารเชตวันหรือพระวิหารเวฬุวันนั้น ก็ไม่ต่างกับที่ท่านพระอานนท์ท่านได้ทรงจำและสังคายนา และท่านพระเถระทั้งหลาย ก็ทรงจำสืบต่อกันมา ซึ่งข้อความมีความไพเราะในอรรถ ถ้าเพียงแต่จะพิจารณา ให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง

    อย่างท่านผู้หนึ่งท่านถามว่า ที่ว่าทวารอื่น คือ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นโลกมืด ไม่ใช่โลกสว่างเหมือนอย่างทางตานั้น มีกล่าวไว้ที่ไหน ในพระไตรปิฎก

    ถ้าจะพิจารณาธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ย่อมรู้ว่ามีกล่าวไว้ตั้งแต่ทรงแสดงเรื่องของ ทวารทั้ง ๖ คือ ในขณะที่พระผู้มีพระภาคตรัสถามพระสาวกว่า ทางตา จักขุวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง ขณะนี้สภาพธรรมอะไรกำลังปรากฏทางตา มืดหรือสว่าง สิ่งที่ปรากฏ ปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาทเป็นสีสันวัณณะต่างๆ ทำให้เข้าใจ ในรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทางตา และเวลาที่พระผู้มีพระภาคตรัสถามเรื่อง ทางหู เช่น โสตวิญญาณไม่เที่ยง โสตวิญญาณไม่ใช่จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ เป็นสภาพที่ได้ยินเสียง เสียงไม่มีรูปร่างสัณฐานเลย ในขณะที่หลับตาก็ยังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้น ทวารอื่นทั้งหมด คือ ทางหูก็ดี ทางจมูกก็ดี ทางลิ้นก็ดี ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ไม่สว่าง เพราะว่าไม่ใช่ทางจักขุทวาร ไม่จำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งในพระไตรปิฎกที่จะต้องกล่าวว่า ส่วนใหญ่แล้วโลกที่ทุกคนเข้าใจว่าสว่างนี้ความจริงมืด เพราะว่าทวารที่ปรากฏความสว่างมีเพียงทวารเดียว คือ จักขุทวาร นอกจากนั้น ทวารอื่นมืดทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าโลกมืดปรากฏตามความเป็นจริง ที่จะให้รู้ลักษณะของ สภาพธรรมที่ปรากฏเพียงแต่ละอย่าง เช่น เพียงหลับตา ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าหาย ไปหมด เหลือแต่เพียงลักษณะของรูปเพียงเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ ที่จะปรากฏเมื่อกระทบกับส่วนหนึ่งส่วนใดที่แข็งเท่านั้นเอง ใช่ไหม ฟันไม่มี ตาไม่มี แขนไม่มี หัวใจ ปอด ตับ อะไรก็ไม่มีทั้งนั้น เพราะว่ามีอยู่แต่เพียงในความทรงจำเท่านั้น แต่ลักษณะสภาพธรรมจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ไม่ต้องจำ แต่มีลักษณะปรากฏ ที่ให้เห็นความเป็นอนัตตา และการอยู่ในโลกที่ไม่สว่าง นอกจากขณะที่เห็นเท่านั้น

    ถ้าศึกษาพระธรรมโดยละเอียด จะทำให้เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมได้ เมื่อได้พิจารณาโดยถูกต้อง

    นี่ก็เป็นเรื่องของอุบาสิกาที่มีศรัทธาในการฟังธรรม ซึ่งบางท่านในยุคนี้สมัยนี้อาจจะมีข้อโต้แย้งได้ว่า ท่านจะทำอย่างนั้นได้ไหม หรือไม่ได้ เพราะเหตุใด ก็เพราะว่าศรัทธาไม่เท่ากัน ถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น ย่อมไม่สามารถรู้ศรัทธา ของตนเองว่า มีศรัทธามั่นคงในการฟังพระธรรมแค่ไหน

    ถูกหรือผิดที่ทำอย่างนั้น ถ้าถูก ท่านพิจารณาอย่างไรในขณะนั้น เพราะว่า ท่านกำลังฟังพระธรรมอยู่ และผู้ที่จะรู้แจ้งเป็นพระโสดาบันในขณะนั้นไม่ใช่เพียง ฟังเฉยๆ แต่สติย่อมระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เมื่อ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ย่อมรู้ว่าธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่ว่าสภาพธรรมจะปรากฏทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ก็มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นและดับไป แม้แต่เรื่องของลูกที่ถูกงูกัด ก็จะต้องรู้ว่าทางทวารไหน เป็นความคิดก็เป็นมโนทวาร และสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนาที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

    ย่อมเป็นผู้ที่มั่นคงในกรรม เพราะถ้าไม่มีกรรมที่จะถูกงูกัด ใครก็ถูกงูกัดไม่ได้ในขณะนั้น และการที่จะมีชีวิตอยู่หรือตายลงในวันหนึ่งวันใด ก็เพราะกรรมอีก เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวที่กรรมจะให้ผล ก็ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้

    ถ้าเป็นผู้ที่พิจารณาธรรมที่ได้ฟัง และเป็นผู้ที่มีสติปัญญามั่นคง จะเป็นผู้ที่ ไม่กังวลใจ ไม่เดือดร้อน และสามารถแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ได้ โดยไม่เดือดร้อนด้วย

    ผู้ฟัง เรื่องอุบาสิกาที่กำลังฟังธรรมและลูกถูกงูกัดนี้ ถ้าเป็นเหตุการณ์ใน สมัยนี้คงจะถูกหนังสือพิมพ์เอาไปโจมตีเป็นเรื่องใหญ่โต หาว่าเป็นแม่ที่ขาดเมตตา ไม่รักลูก แต่เท่าที่อาจารย์บรรยายมา ผมว่าอุบาสิกาผู้นี้ไม่ใช่เป็นคนฟังธรรมเหมือนอย่างที่เข้าใจกันธรรมดา เพราะท่านฟังธรรมด้วย มีสติตามระลึกไปด้วย คือ เข้าใจธรรม เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ท่านก็ย่อมรู้ว่า ลูกที่งูกัดต้องเป็นกรรมของเขาที่เคยทำมา เพราะท่านว่า เคยเป็นลูกเป็นแม่กันมา ก็หลายชาติ ผมจึงเชื่อมั่นว่า เป็นไปได้ที่คนเข้าใจธรรมอย่างถูกต้อง คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อะไรจะปรากฏก็เข้าใจอย่างถูกต้องในขณะนั้น จึงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะถ้าไม่เข้าใจ ธรรมถูกต้อง จิตใจจะหวั่นไหวไปตามอารมณ์หมด ซึ่งคนที่ยังไม่เข้าใจ ยังไม่มีสติระลึกรู้ ไม่สามารถทำได้เป็นอันขาด

    และที่อาจารย์กล่าวว่า พระไตรปิฎกนั้นเป็นพุทธวจนะ เป็นตัวแทนของ พระผู้มีพระภาค เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว พระธรรมก็เป็นศาสดา เป็นครู เป็นอาจารย์แทนพระองค์ ที่ท่านตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า เมื่อตถาคตล่วงลับไปแล้ว พระธรรมวินัยที่พระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว บัญญัติไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาแทนพระองค์แต่เราก็มีพระไตรปิฎกอยู่ในบ้าน ซื้อมา ๔ – ๕ พัน ก็ไม่ค่อยจะเปิดดู จะว่ามีศรัทธาหรือไม่มีศรัทธาก็ไม่รู้ รวมทั้งตัวผมเองด้วย ไม่ค่อยจะได้เปิดดูเท่าไร เพราะฉะนั้น เรื่องศรัทธาที่จะมีจริงๆ ต้องเกิดจากมีความเข้าใจ เพราะบางทีอ่านพระไตรปิฎกแล้ว อ่านไปก็ไม่ค่อยเข้าใจ ยกตัวอย่างที่อาจารย์เคยพูดว่า สัตว์บุคคลเบื้องหน้าแต่ตายแล้วไปเกิดอีกหรือไม่ อะไรอย่างนี้ ซึ่งผมคิดว่าคนมีกิเลสก็ต้องไปเกิดอีก แต่ พระพุทธองค์บอกว่า ถ้าคิดอย่างนั้นก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ ผมไม่เข้าใจที่ว่า สัตว์บุคคลที่ตายแล้วจะไปเกิดอีก ทำไมจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่เมื่ออาจารย์พูดว่า สัตว์บุคคลไปเกิดไม่ได้ เพราะเป็นสมมติบัญญัติ ไม่ใช่สภาวธรรม ผมจึงได้เข้าใจ แต่ถ้าเราไม่ได้ฟัง เราไม่สามารถรู้ได้เลย คนตายไปเกิดไม่ได้ สัตว์ตายไปเกิดไม่ได้ เพราะว่าที่ไปเกิดนั้น ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นสภาวธรรม ที่ว่าเป็นไปตาม จิตตนิยาม คือ จุติจิตเกิดและดับปฏิสนธิจิตก็เกิดต่อทันที ซึ่งทางโลกเรียกว่า สัตว์ตาย คนตาย แต่ความจริงไม่ใช่สัตว์ตาย คนตาย เป็นแต่เพียงจุติจิตเกิดและดับปฏิสนธิเกิดต่อทันที

    เป็นเรื่องที่หาฟังได้ยาก และเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยาก ผมเห็นใจคนอื่นรวมทั้งตัวผมเองด้วยที่จะฟังธรรมให้เข้าใจ และศึกษาให้เข้าใจ ที่จะให้เกิดอุตสาหะ ให้เกิดศรัทธา ให้มีความพยามยามที่จะศึกษาเล่าเรียนต่อๆ ไป เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ ที่จะให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่อ่าน แม้จะอ่านพระไตรปิฎกแล้วก็ดี ทั้งๆ ที่อ่านจบไปแล้วสองเที่ยว สามเที่ยว ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ

    สุ. ก็จะต้องสะสมศรัทธาอีกเรื่อยๆ เพราะว่าส่วนใดที่ยังไม่เข้าใจ ลองอ่านอีก ตั้งใจอ่าน และพิจารณา ความเข้าใจจะเพิ่มขึ้นจริงๆ เพราะบางที ในขณะที่อ่านอาจจะสนใจข้อความตอนอื่น และข้ามตอนที่ไม่เข้าใจไป โดยที่อาจจะคิดว่าไม่ได้ข้าม แต่เมื่อไม่ได้เพ่งถึงความละเอียด ไม่ได้ใส่ใจใคร่ครวญพิจารณา ตอนนั้นจริงๆ ก็ทำให้ไม่เข้าใจ ลองอ่านใหม่อีก และลองพิจารณาส่วนที่ไม่เข้าใจ

    แม้แต่เรื่องของอุบาสิกาซึ่งลูกถูกงูกัด ก็จะได้เห็นศรัทธาที่มั่นคงว่า การที่ นางคิดว่า ถ้าเราจะบอกว่าลูกของเราถูกงูกัด ก็จะเป็นอันตรายแก่การฟังพระธรรม คือ อาจจะทำให้คนอื่นพลอยวุ่นวายด้วย ใช่ไหม ขณะที่ทุกคนกำลังมีโอกาสได้ ฟังพระธรรมนั้น อาจจะเป็นอุปสรรคทำให้การฟังพระธรรมนั้นหยุดชะงักลงได้ ซึ่ง ถ้าแลกกันแล้ว ก็คิดว่า การฟังพระธรรมซึ่งเป็นโอกาสที่หายาก ควรจะมีมากกว่า ที่จะมีความทุกข์ความกังวลใจในเรื่องของลูก ซึ่งนางเป็นผู้ที่มีความมั่นคงในกรรม จริงๆ ว่า การที่ลูกถูกงูกัดก็ต้องเป็นผลของกรรม และการที่ลูกจะตาย ถ้าถึงเวลาตายจริงๆ ใครก็ไม่สามารถช่วยได้ แต่ด้วยศรัทธาที่มั่นคง เมื่อได้บรรลุโสดาบันเมื่อ อรุณขึ้นแล้ว ก็ได้ทำลายพิษงูในบุตรด้วยสัจจกิริยา

    ถ. พระสูตรนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ที่มีความตั้งมั่นในศรัทธาในครั้งพุทธกาล แต่ในสมัยนี้ ถึงแม้เหตุการณ์อย่างนี้จะไม่มีเกิดขึ้น แต่ผู้ที่ศึกษาบางครั้งก็มี ความคิดเห็นไปอีกแง่หนึ่ง เห็นว่าการทำอย่างนั้นเป็นการเอาตัวรอดเฉพาะตนบ้าง เป็นการไม่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น เพียงแต่มุ่งที่จะเจริญสมณธรรมโดยไม่เห็นว่าผลเสียหรือโทษจะเกิดกับผู้อื่น ซึ่งโดยส่วนตัวเองก็เคยโดนเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่ทราบจะหาเหตุผลอย่างไรมากล่าวแก้เขาดี

    สุ. ในขณะที่ฟังพระธรรม มีความเข้าใจในพระธรรม และพระธรรมที่ ทรงแสดงก็แสดงเรื่องของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น สิ่งใดๆ ก็ตาม ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ในเวลานั้น และแม้ในขณะนี้ ก็เป็นอนัตตาด้วย โดยเฉพาะ เรื่องของวิบากจิต ถ้าปราศจากกรรมแล้วย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น การที่ลูกถูกงูกัดเป็นผลของกรรมแน่นอน และถ้าถึงคราวที่ลูกจะตาย แม้จะโวยวาย หรือ ทำให้คนอื่นรู้ว่าลูกถูกงูกัด ลูกก็ต้องตายอยู่ดี ถ้ายังไม่ถึงคราวที่ลูกจะตาย และ มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ได้โดยยาก แต่ถ้านางให้คนอื่นทราบว่า ลูกของนางถูกงูกัด ก็อาจทำให้การฟังธรรมนั้นต้องสิ้นสุดลง เพราะฉะนั้น ก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของการฟังพระธรรมทั้งของนางเองและคนอื่น



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๕๕ ตอนที่ ๑๕๔๑ – ๑๕๕๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 92
    28 ธ.ค. 2564