แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1029


    ครั้งที่ ๑๐๒๙

    สาระสำคัญ

    การที่จะรู้ลักษณะของจิตได้

    สัตว์ย่อมเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง

    จิตชื่อว่า “จรณะ” เที่ยวไป

    อถ.สงฺ.สค. ปัตตสูตรที่ ๖ - ทรงแสดงธรรม เพื่อให้พระภิกษุเห็นแจ้ง


    ท่านที่อยากจะรู้เบื้องต้น ก็ควรที่จะพิจารณาว่า ขณะนี้ยังไม่รู้เลย ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏ แต่จะไปรู้เบื้องต้นของสังสารวัฏฏ์ จะรู้ได้อย่างไร มีทางใดที่จะรู้ได้ ในเมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้า ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจจริงๆ ในขณะนี้ก็ยังไม่สามารถจะรู้ได้ ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจริงๆ จะพยายามไปรู้เบื้องต้นของสังสารวัฏฏ์ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    ขณะใดก็ตามที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ให้ทราบว่า ขณะนั้นเป็นจิตที่เศร้าหมองด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งจะต้องเศร้าหมองต่อไปอีก ถ้าปัญญาไม่สามารถที่จะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่มีหนทางที่จะอบรมเจริญปัญญาได้ โดยรู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง ไม่ใช่ทำอย่างอื่นที่จะไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    การที่จะรู้ลักษณะของจิตได้ ต้องในขณะที่กำลังเห็น จึงจะรู้ว่า มีธาตุรู้ มีสภาพรู้ที่กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา

    การที่จะรู้ลักษณะของจิตได้ ต้องในขณะที่กำลังได้ยินเสียง จึงเป็นหนทางที่จะรู้ว่า มีธาตุรู้ มีสภาพรู้ที่กำลังรู้เสียง ซึ่งไม่ใช่เสียง แต่สภาพรู้ ธาตุรู้นั้น กำลังรู้เสียง

    ขณะใดที่กลิ่นปรากฏ ขณะนั้นก็เป็นขณะที่สามารถจะรู้ได้ว่า มีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้กลิ่น ในขณะที่กำลังลิ้มรส ที่รสปรากฏในขณะนั้น ก็เป็นขณะที่สามารถจะรู้ลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพที่กำลังลิ้มรส

    ทางใจที่กำลังคิดนึกก็เหมือนกัน ซึ่งทุกท่านคิดอยู่ตลอดเวลา ก็ย่อมจะเป็นขณะที่จะทำให้รู้ได้ว่า ที่มีเรื่องที่กำลังคิดในขณะนั้น ก็เพราะจิตนึกถึงคิดถึงเรื่องนั้น จิตเป็นสภาพคิด มิฉะนั้นแล้ว จะรู้ลักษณะของจิตได้ขณะไหน ที่จะรู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ถ้าไม่พิจารณาในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ หรือว่ากำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ กำลังได้กลิ่นเดี๋ยวนี้ กำลังลิ้มรสเดี๋ยวนี้ กำลังกระทบสัมผัสทางกายเดี๋ยวนี้ หรือว่ากำลังคิดนึกทางใจ

    ข้อความต่อไปใน คัททูลสูตรที่ ๒ ข้อ ๒๕๙ มีว่า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์เพราะจิตผ่องแผ้ว

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย จิตที่ชื่อว่าจรณะ (เที่ยวไป) เธอทั้งหลายเห็นแล้วหรือ

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า

    เห็นแล้วพระเจ้าข้า

    จิตเที่ยวไปอย่างไร ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายกระทบสัมผัส ทางใจคิดนึก

    ทุกท่านชอบเที่ยว ใช่ไหม ไม่มีใครชอบอยู่ซ้ำซากจำเจที่หนึ่งที่ใด เพราะต้องการเห็น ต้องการได้ยิน ต้องการได้กลิ่น ต้องการลิ้มรส ต้องการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต้องการคิดนึกถึงสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้น เที่ยวอยู่เสมอ ตลอดเวลา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางใจ ไม่อยู่นิ่ง มีจิตของใครอยู่นิ่งๆ บ้าง เป็นไปได้ไหม

    ถ้าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงจะต้องรู้ว่า จิตเกิดขึ้นและ ดับไป นั่นคือการรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้ายังไม่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จะต้องอบรมเจริญปัญญาด้วยการฟัง ด้วยการพิจารณา ซึ่งจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สัมมาสติเกิดระลึกรู้ลักษณะ สภาพของจิตซึ่งเป็นนามธรรม ซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ซึ่งกำลังเกิดดับอยู่

    สิ่งที่กำลังมีและไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็น่าที่จะอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะได้รู้ตามความเป็นจริง เพื่อที่จิตจะได้ผ่องแผ้ว ไม่เศร้าหมอง

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    จิตชื่อว่าจรณะแม้นั้นแล เธอทั้งหลายคิดแล้วด้วยจิตนั่นแหละ จิต (เป็นเครื่องคิด) นั้นแหละ วิจิตรกว่าจรณะจิตแม้นั้น เพราะเหตุนั้นเธอทั้งหลายพึงพิจารณาจิตของตนเนืองๆ ว่า จิตนี้เศร้าหมองแล้วด้วยราคะ โทสะ โมหะ สิ้นกาลนาน สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์เพราะจิตผ่องแผ้ว

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่พิจารณาเห็นแม้หมู่อันหนึ่งอื่น ซึ่งวิจิตรเหมือนอย่างสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายนี้เลย

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ดิรัจฉานแม้เหล่านี้แล คิดแล้วด้วยจิตนั่นแหละ จิตนั่นแหละวิจิตรกว่าสัตว์ดิรัจฉานแม้เหล่านั้น เพราะเหตุนั้นเธอทั้งหลายพึงพิจารณาจิตของตนเนืองๆ ว่า จิตนี้เศร้าหมองแล้วด้วยราคะ โทสะ โมหะ สิ้นกาลนาน สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์เพราะจิตผ่องแผ้ว

    มีประโยชน์อะไรไหม ถ้าจะไม่พิจารณาจิต แสดงเรื่องของจิตโดยละเอียดมากมายแต่ว่าไม่พิจารณา เพราะฉะนั้น ประโยชน์ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องของจิต ก็เพื่อที่จะให้พิจารณาจิต ด้วยคำเทศนา ด้วยอนุศาสนีย์มากมายประการ ต่างๆ ก็เพื่อเกื้อกูลให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นนามธรรม

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ช่างย้อมหรือช่างเขียน เมื่อมีเครื่องย้อมก็ดี ครั่งก็ดี ขมิ้นก็ดี สีเขียวก็ดี สีแดงก็ดี พึงเขียนรูปสตรีหรือรูปบุรุษ มีอวัยวะใหญ่น้อยครบทุกส่วนลงที่แผ่นกระดานเกลี้ยงเกลา หรือที่ฝา หรือที่แผ่นผ้า แม้ฉันใด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อจะให้เกิด ย่อมยังรูปนั่นแหละให้เกิด เมื่อจะให้เกิด ย่อมยังเวทนานั่นแหละให้เกิด เมื่อจะให้เกิด ย่อมยังสัญญานั่นแหละให้เกิด เมื่อจะให้เกิด ย่อมยังสังขารนั่นแหละให้เกิด เมื่อจะให้เกิด ย่อมยังวิญญาณนั่นแหละให้เกิด

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นอย่างไร รูปเที่ยงหรือ ไม่เที่ยง

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า

    ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า

    ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    เพราะเหตุนั้นแล ฯลฯ อริยสาวกผู้ได้สดับเห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ รู้ชัดว่า ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

    จบ สูตรที่ ๘

    ถ้าท่านผู้ฟังเห็นช่างเขียนรูปกำลังเขียนรูปจากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย แต่อาศัย สีต่างๆ กระทำให้วิจิตรเกิดขึ้นเป็นรูปต่างๆ ฉันใด ขณะนี้จิตของท่านผู้ฟังก็เหมือนกับช่างเขียนซึ่งกำลังจะเขียนรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ที่จะเกิดต่อไปในอนาคต

    ขณะนี้ทุกท่านต่างกันตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะความวิจิตรซึ่งเกิดขึ้น เนิ่นนานมาแล้ว ฉันใด จิตซึ่งกำลังวิจิตรในขณะนี้ ก็กำลังกระทำให้วิจิตร ซึ่งจะเป็นคติ จะเป็นเพศ จะเป็นรูปร่างสัณฐาน จะเป็นการได้ลาภหรือเสื่อมลาภ ได้ยศหรือเสื่อมยศ ได้สุขหรือทุกข์ นินทาหรือสรรเสริญ ในกาลข้างหน้า

    ด้วยเหตุนี้จึงควรพิจารณาลักษณะของจิตที่กำลังปรากฏ ซึ่งกำลังเขียนสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ถ้าไม่ระลึกรู้ลักษณะของจิตในขณะนี้ย่อมไม่ทราบเลยว่า วิจิตรจริงๆ ทั้งๆ ที่กำลังนั่งอยู่นี้ จิตเกิดดับสืบต่อรวดเร็วเหลือเกิน นั่งอยู่ที่นี่ แต่บางครั้งนอกจากจิตจะเห็นทางตา ได้ยินเสียงทางหูแล้ว ก็ยังมีจิตที่คิดนึกไกลออกไป แล้วแต่ว่าจะท่องเที่ยวไปที่ไหนบ้าง หรือว่ากำลังจะกระทำอะไรให้วิจิตรเกิดขึ้น

    ช่างเขียนยึดถือจิตรกรรมที่เขียนขึ้นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ฉันใด จิตของปุถุชนซึ่งยังยึดถือในรูปว่า เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ยึดถือในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณว่า เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ก็ยังคงจะยึดถือต่อไป ทุกภพ ทุกชาติ เหมือนกับช่างเขียนที่ยึดถือในจิตรกรรมซึ่งตนเองเขียนขึ้น นี่คือลักษณะของปุถุชน

    เพราะฉะนั้น ตราบใดยังที่ไม่รู้ลักษณะของรูป ของเวทนา ของสัญญา ของสังขารและของวิญญาณซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปตามความเป็นจริง ผู้ที่เป็นปุถุชน เมื่อยืนก็ย่อมยืนใกล้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อนั่ง ในขณะนี้ ก็นั่งใกล้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณด้วยความเป็นตัวตน เหมือนกับช่างเขียนซึ่งเขียนรูป และยึดถือจิตรกรรมที่ตนเขียนว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ฉันใด ปุถุชนเมื่อไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปตามความเป็นจริง ก็ย่อมยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เหมือนช่างเขียนที่ยึดถือจิตรกรรมที่ตนเขียนว่า เป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    . อาจารย์กล่าวว่า ความวิจิตรของจิต วาจาก็เกิดจากจิต เพราะฉะนั้น จิตจะวิจิตรเท่าไรก็มีคำพูด ที่พูดถึงเรื่องของจิต แต่บางทีจิตบางอย่าง คำพูดเข้าไม่ถึง เช่น คำว่า โยนิโสมนสิการ แปลเป็นภาษาไทยว่า การพิจารณาโดยแยบคาย และอรรถกถาต่างๆ ท่านก็ยังขยายความออกไปอีก ฟังแล้วก็ยังไม่รู้ว่า โยนิโสมนสิการนั้นคืออย่างไร จิตชนิดไหน แบบไหนจึงจะมีโยนิโสมนสิการ พูดเท่าไรๆ ก็ยังไม่เข้าใจ เพราะคำพูดเข้าไม่ถึง หรืออย่างไร

    สุ. ยากที่จะใช้คำพูดที่ทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมได้ทันที ไม่ต้องกล่าวถึงโยนิโสมนสิการ เพียงจิตนี้เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ในขณะที่กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ในขณะที่กำลังได้ยินเสียง จิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ไม่ใช่เสียง พูดอย่างนี้ก็น่าจะชัดเจนแล้ว ใช่ไหม หรือว่าจะมีคำอะไรที่จะชัดเจนยิ่งกว่านี้ แต่แม้อย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจลักษณะของจิตซึ่งกำลังได้ยินเสียง เป็นธาตุที่กำลังรู้เสียงในขณะนี้ได้ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิดขึ้นระลึก และพยายามน้อมที่จะศึกษารู้ในอาการของธาตุรู้ที่มีจริงๆ ซึ่งกำลังรู้เสียง แต่ก็มีคำ เพราะลักษณะของจิตมีจริง ก็จะต้องมีโวหาร มีคำที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของจิต ถ้าพิจารณา บ่อยๆ และรู้หนทางที่จะอบรมเจริญปัญญา ก็สามารถจะประจักษ์แจ้งในลักษณะของธาตุรู้ สภาพรู้ได้

    เพราะฉะนั้น โวหารจึงมีมาก โดยเฉพาะโวหารเทศนาของพระผู้มีพระภาคที่กล่าวถึงสภาพธรรมแต่ละลักษณะตามความเป็นจริง

    ขณะที่เข้าใจ ขณะนั้นเป็นโยนิโสมนสิการ ในขณะที่ฟังและพิจารณา

    . โยนิโสมนสิการ เป็นภาษาบาลี แต่ว่าถ้าเราใช้คำว่า มีการสังเกต มีการใส่ใจในอารมณ์ แทนคำว่าโยนิโสมนสิการ จะแทนกันได้ไหม

    สุ. ได้ จะใช้คำอะไรก็ได้เพื่อที่จะให้เกิดความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามโวหารที่ได้ยินได้ฟัง เช่นตัวอย่างที่ว่า จิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ไม่ใช่รูปซึ่งแม้ว่าจะละเอียดสักเท่าไรก็ตาม นามธรรมยิ่งละเอียดกว่านั้น ถ้าเข้าใจในขณะที่กำลังฟัง ขณะนั้นเองคือโยนิโสมนสิการ และจะต้องอธิบายอะไรไหมถ้าเกิดความเข้าใจแล้ว ในขณะใดที่เข้าใจ ในขณะนั้นเพราะโยนิโสมนสิการ พิจารณาในคำที่ได้ยินได้ฟัง

    เพราะฉะนั้น เข้าใจขณะใด ขณะนั้นเป็นโยนิโสมนสิการ

    แต่จะใช้คำอะไรก็ได้ที่จะอธิบายคำว่า โยนิโสมนสิการ คือ พิจารณาด้วยความแยบคายจนกระทั่งเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ในขณะใดที่เข้าใจถูก ในขณะนั้นเป็นโยนิโสมนสิการ จะใช้คำภาษาบาลีก็ได้ หรือจะใช้คำภาษาไทยว่า พิจารณาจนเข้าใจถูกต้องก็ได้

    ข้อความใน สารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย สคาถวรรค มารสังยุต ทุติยวรรค ปัตตสูตรที่ ๖ ทำให้เข้าใจพยัญชนะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมเพื่อให้พระภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงดังนี้

    พึงทราบวินิจฉัยใน ปัตตสูตรที่ ๖

    ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคทรงยังพระภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยอุปาทานขันธ์ ๕ ก็ภิกษุเหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จ น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจ เงี่ยโสตลงสดับธรรมอยู่

    นี่คือความวิจิตรของจิตแต่ละขณะ ซึ่งกำลังปรุงแต่ง เหมือนช่างเขียนรูปเขียนทีเดียว

    ซึ่งข้อความใน สารัตถปกาสินี อธิบายว่า

    คำว่า เกี่ยวด้วยอุปาทานขันธ์ ๕ ความว่า เมื่อกำหนดอุปาทานขันธ์ ๕ ก็แยกแสดงโดยประการต่างๆ ด้วยสามารถแห่งสภาวลักษณะและสามัญญลักษณะ

    ในที่นี้มีลักษณะ ๒ อย่าง คือ สภาวลักษณะ และสามัญญลักษณะ

    สามัญญลักษณะ หมายความถึงลักษณะที่สาธารณะทั่วไปกับสภาพธรรม ทั้งปวง เช่น ไม่ว่าจะเป็นจิต หรือเป็นเจตสิก หรือเป็นรูป ซึ่งเป็นสังขารธรรม เกิดขึ้นและดับไป นั่นเป็นสามัญญลักษณะ ไม่ว่าสภาพธรรมใดๆ ทั้งนั้น จะเป็นจิต เจตสิก หรือรูป เกิดขึ้นแล้วต้องดับไป นี่เป็นสามัญญลักษณะของสังขารธรรมทั้งหลาย

    แต่สภาวลักษณะของจิตต่างกับสภาวลักษณะของเจตสิกแต่ละเจตสิก และต่างกับสภาวลักษณะของรูปแต่ละรูป

    เพราะฉะนั้น สภาวลักษณะ หมายความถึงลักษณะเฉพาะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ส่วนสามัญญลักษณะ หมายความถึงลักษณะที่ทั่วไปของสภาพธรรมทั้งปวงที่เป็นสังขารธรรมด้วยกัน คือ เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    คำว่า ให้สมาทาน คือ ให้ถือเอา ให้เข้าใจ ให้พิจารณาให้ถูกต้อง

    นี่คือการแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาค เพื่อประโยชน์ที่จะให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง คือ เมื่อฟังแล้ว ก็ให้สมาทาน ให้ถือเอา ให้เข้าใจ ให้พิจารณาให้ถูกต้องว่า กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม ซึ่งถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงโดยละเอียด หลายท่านอาจจะยึดถืออกุศลธรรมเป็นกุศลธรรมได้ แต่เพราะสภาวลักษณะของกุศลธรรมไม่ใช่อกุศลธรรม สภาวลักษณะของอกุศลธรรมก็ไม่ใช่ กุศลธรรม เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงธรรมโดยละเอียด โดยตลอด เกี่ยวด้วยอุปาทานขันธ์ ๕ คือ จิต เจตสิก รูป ซึ่งแยกเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซึ่งจะไม่พ้นไปเลยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่สามารถจะฟังเรื่องของขันธ์ ๕ และพิจารณาเรื่องของขันธ์ ๕ ด้วยความแยบคาย เพื่อที่จะให้ถือเอาด้วยความถูกต้อง ไม่ให้เข้าใจผิด



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๐๓ ตอนที่ ๑๐๒๑ – ๑๐๓๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 84
    28 ธ.ค. 2564