แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1050


    ครั้งที่ ๑๐๕๐

    สาระสำคัญ

    ความหมายของปุถุชน

    ผู้เบือนหน้าหนีธรรมของพระอริยะ

    มงคลตื่นข่าว

    ประโยชน์ที่สุดในชีวิต คืออะไร


    ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า ถูกความเดือดร้อนต่างๆ ให้เดือดร้อนอยู่เป็นส่วนมาก

    จริงไหม คนที่กำลังเดือดร้อนเป็นปุถุชน ถ้าเป็นพระอริยบุคคล ความเดือดร้อนก็น้อยลงๆ แต่สำหรับปุถุชนเดือดร้อนมากจริงๆ เพราะอกุศล โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ในวันหนึ่งๆ ขณะใดที่รู้สึกเดือดร้อนใจ ขณะนั้นให้ทราบว่า เป็นอกุศลธรรม และเพิ่มความเป็นปุถุชนผู้ที่หนาด้วยกิเลสให้มากขึ้น เพราะถ้าเป็นความเห็นถูก เป็นปัญญา ขณะนั้นจะไม่เดือดร้อน

    ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า ถูกความเร่าร้อนต่างๆ ให้เร่าร้อนอยู่เป็นส่วนมาก

    ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า กำหนัด ยินดี รักใคร่ สยบ หมกมุ่น ติดขัด พัวพันอยู่ในเบญจกามคุณเป็นส่วนมาก

    ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า ถูกนิวรณธรรมทั้ง ๕ กางกั้น ปิดบัง ซ่อนไว้ เป็นส่วนมาก

    อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าปุถุชน เพราะหยั่งลงภายในของชนส่วนมาก คือ พ้นคณนา ซึ่งล้วนแต่เบือนหน้าหนีธรรมของพระอริยะ มีแต่ยึดมั่นอยู่ในธรรมต่ำๆ ก็มี

    . กามคุณ หนีไม่พ้น

    สุ. ก็อยู่ต่อไป แต่ทำไมจะไม่พ้น ผู้ที่ท่านพ้น มี ถ้าผู้ที่ท่านพ้นได้มี ผู้ที่อบรมเจริญหนทางเช่นเดียวกันก็ย่อมจะพ้นได้ อย่าคิดว่า จะต้องอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะถ้าคิดอย่างนี้ ก็เป็นผู้ที่ ล้วนแต่เบือนหน้าหนีธรรมของพระอริยะ ถ้าคิดว่าไม่สามารถที่จะพ้น และยังคงไม่ประพฤติปฏิบัติที่จะให้พ้น ก็คง มีแต่ยึดมั่นอยู่ในธรรม ต่ำๆ

    อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าปุถุชน ด้วยอรรถว่า ชนนี้เป็นปุถุ คือ ถึงการนับว่าเป็นพวกหนึ่งทีเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับพระอริยะทั้งหลายผู้ประกอบด้วยคุณ มีศีล และสุตะ เป็นต้น

    แสดงว่า แยกจากกันโดยเด็ดขาด สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชนกับผู้ที่เป็น พระอริยบุคคล

    ด้วย ๒ บทที่ว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ดังที่กล่าวมานี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ได้ตรัสปุถุชนนั้นใดไว้ ๒ พวก คือ อันธปุถุชนพวกหนึ่ง กัลยาณปุถุชนพวกหนึ่ง

    . พระผู้มีพระภาคทรงห้ามพุทธบริษัทไม่ให้ถือมงคลตื่นข่าว มงคลตื่นข่าวส่วนใหญ่ก็รู้แค่ว่า ไปบูชาก้อนหินใหญ่ๆ ต้นไม้ใหญ่ๆ หรือผู้วิเศษที่เกิดขึ้นทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้าง แต่ผมมีความสงสัยอยู่หลายอย่าง เช่น พวกทรงเจ้า จะถือว่าเป็นมงคลตื่นข่าวหรือเปล่า

    สุ. ทุกอย่างที่จะกระทำ ควรจะพิจารณาถึงเหตุผล เพื่ออะไร

    . ทรงเจ้าก็เพื่อรักษาโรคบ้าง เพื่อความร่ำรวยบ้าง เวลานี้มีมาก มีเจ้ามาเข้าทรง ผู้ที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บก็ไปให้เจ้ารักษาเพื่อให้หายโรค อย่างนี้เป็นต้น ชื่อว่ามงคลตื่นข่าวหรือเปล่า

    สุ. รู้สึกว่าทุกท่านจะเคยไป ใช่ไหม

    . ไปแล้ว

    สุ. เรื่องทรงเจ้านี้ คงจะไม่มีท่านผู้ใดที่ไม่เคยไป คงจะได้ยินได้ฟังและเกิดความสนใจ อย่างน้อยที่สุดก็ใคร่ที่จะเห็นด้วยตาของตัวเองว่า จริงหรือเท็จประการใด หรือว่าจะมีประโยชน์มากน้อยเพียงไร แต่ไม่ได้พิจารณาถึงโทษว่าจะมีบ้างหรือเปล่า

    สำหรับผู้ที่ป่วยไข้ได้เจ็บ เป็นของธรรมดาที่อยากจะหายจากโรค วิธีการสมัยใหม่อาจจะไม่ทันใจ เพราะผู้ที่ป่วยย่อมอยากจะหายเร็ว เพราะฉะนั้น ถ้ามีหนทางอื่นประกอบด้วยเพื่อจะได้หายเร็วขึ้น ทุกท่านก็ปรารถนา โดยขาดการพิจารณาว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะว่าส่วนใหญ่จะได้ฟังเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าที่รักษาโรค ที่ทำให้โรคภัยร้ายแรงหายได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะฉะนั้น ก็น่าที่จะพิจารณาว่า ส่วนที่ไม่หายนี้ เพราะอะไร

    ในเมื่อตาก็ไม่ได้เห็นชัดว่า เป็นเจ้าจริงๆ หรือเปล่า ทั้งๆ ที่เห็นก็ยังเคลือบแคลงสงสัยว่า ใช่เจ้าหรือเปล่า หรือว่าไม่ใช่เจ้า ทั้งๆ ที่ไปดูก็ไม่สามารถที่จะตัดสินได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครที่หายโรค จะเป็นไปได้ไหมว่า บุคคลนั้นก็กำลังจะหาย เมื่อมีศรัทธา มีความเลื่อมใส มีความเชื่อมั่น ก็อาจจะเป็นเหตุให้โรคที่กำลังจะหาย หายได้ เพราะว่ามีโรคหลายโรค แม้ไม่รักษาก็หาย หรือว่าก็มีหลายโรค แม้รักษาก็ไม่หาย และก็มีหลายโรคซึ่งต้องรักษาจึงหาย ไม่รักษาไม่หาย

    เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะพิจารณาจริงๆ ว่า ที่หายนั้น หายเพราะอะไร และที่ไม่หายนั้น เพราะอะไร นั่นเป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ

    สำหรับเรื่องของลาภ ของยศ ของตำแหน่งหน้าที่การงาน ของการพ้นจากคดี หรือว่าเรื่องร้ายต่างๆ ก็ควรที่จะพิจารณาว่า ผู้อื่นสามารถที่จะบันดาล หรือที่สำคัญที่สุด คือ กรรมของตนเอง และสำหรับสิ่งซึ่งอาจจะเป็นโทษแต่มองไม่เห็น คือ การน้อมไปในการยึดถือมงคลตื่นข่าวทีละเล็กทีละน้อยๆ โดยปราศจากเหตุผล ซึ่งจะทำให้เสียเวลาในการที่จะพิจารณาธรรมที่ปรากฏ ที่ควรจะพิจารณา ที่ควรจะศึกษา

    อย่างเรื่องของปรมัตถธรรมที่ได้ศึกษาแล้ว เรื่องของจิตประเภทต่างๆ ลักษณะต่างๆ แทนที่จะนึกถึงเรื่องมงคลตื่นข่าว ก็ควรพิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังให้เพิ่มขึ้น จนกระทั่งมีความเข้าใจในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ มีปัจจัยทำให้สัมมาสติระลึกลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ จะมีประโยชน์กว่าการที่จะขวนขวายนึกถึง หรือว่าเพียรที่จะยึดถือมงคลตื่นข่าว ซึ่งไม่ใช่มีแต่เพียงอย่างเดียว มีอีกๆ หลายๆ อย่าง หลายๆ สำนัก ซึ่งก็ไม่สามารถที่จะให้เหตุผล หรือให้เกิดปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ และไม่ทำให้ยึดมั่นในเรื่องกรรมของตนด้วย เพราะเข้าใจว่า บุคคลอื่นสามารถที่จะดลบันดาลได้ เพราะฉะนั้น ก็มีโทษภัยซึ่งมองไม่เห็น ที่จะต้องพิจารณาจนกว่าจะเห็นว่า ประโยชน์ที่สุดในชีวิต คือ การเข้าใจลักษณะของธรรม การศึกษาพิจารณาสภาพธรรมที่ปรากฏ ย่อมมีประโยชน์กว่า

    มีเรื่องอื่นอีกไหมนอกจากเรื่องเข้าทรง ประโยชน์จริงๆ ไม่ทราบว่าคืออะไร นอกจากว่าต้องการ และถ้าได้ ก็คิดว่าเป็นเพราะการดลบันดาลของบุคคลอื่น ซึ่งนั่น ไม่ช่วยให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องในเรื่องกรรมของตน

    สำหรับเรื่องมงคลตื่นข่าว ต้องหมดจริงๆ มิฉะนั้นจะปิดกั้นไม่ให้ธรรมเจริญขึ้น

    ถ. ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่นับถือพระเครื่องกันมาก แขวนคอบ้าง บางคนเต็มหน้าอกเลย บางทีตามตัวสักหนุมานบ้าง ลิงบ้าง สักอะไรต่างๆ การสักต่างๆ นี้ เขาเชื่อว่า ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก หรือแขวนพระเครื่องก็เพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะระลึกถึงพระพุทธคุณ การสักก็ดี การแขวนพระเครื่องก็ดี จะถือว่า เป็นมงคลตื่นข่าวหรือเปล่า

    สุ. ถ้าไม่ปรากฏว่า พระผู้มีพระภาคตรัสสอนให้กระทำเช่นนั้น ย่อมเป็นมงคลตื่นข่าว ในพระวินัยปิฎกมีไหมที่พระผู้มีพระภาคตรัสสอนให้กระทำเช่นนั้น ในพระสูตร ในพระสุตตันตปิฎกมีไหม ในสูตรไหน ในพระอภิธรรมปิฎกมีไหม เมื่อ ไม่มี ก็ไม่ใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ที่แขวนพระเครื่อง แขวนเพื่ออะไร ต้องเป็นผู้ที่ตรงและมีเหตุผลจริงๆ แต่ละบุคคลเหมือนกันไหม ส่วนใหญ่เป็นอย่างไร มีใครแขวนบ้างไหม ที่นี่มีไหม มีเหตุผลอย่างไร นี่ไม่ใช่เป็นการลบหลู่พระพุทธคุณ แต่เป็นเรื่องที่จะให้เข้าใจในเหตุผล ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

    . พระเครื่องที่แขวนอยู่นี้ ผมไม่ได้ขวนขวายมาแขวน เนื่องจากมีเพื่อนสนิทเขาให้มาเป็นของขวัญ เมื่อเขาให้มาแล้ว ประการที่หนึ่ง แขวนเพื่อฉลองศรัทธาเขา ประการที่สอง เมื่อลูบคลำบางครั้งก็เตือนให้เกิดสติได้เหมือนกันเป็นบางโอกาส แต่ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้เกิดสติเสมอไป เช่น บางครั้งเพลิดเพลินดูโทรทัศน์ อาจจะเผลอไปลูบคลำเข้า ก็เกิดสติขึ้นมา อย่างนี้ก็มี

    สุ. เกิดสติหมายความว่าอย่างไร

    . พอลูบถูก อาการแข็งก็ต้องปรากฏ นั่นถือว่าเป็นประโยชน์ครั้งหนึ่ง นี่สมมติขึ้นมา แต่เหตุการณ์เช่นนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ส่วนประโยชน์อื่นๆ ที่จะให้เป็นที่นิยมนับถือหรือจะถือว่าขลังจนยิงแทงไม่เข้าก็ไม่เคยนึกถึง มีเหตุผลเพียงเท่านี้

    สุ. นี่เป็นทัศนะของท่านผู้หนึ่งซึ่งแขวนพระเครื่อง เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังต้องพิจารณาแต่ละราย ซึ่งถ้าไม่เรียนถามท่านผู้แขวนพระเครื่องจริงๆ ก็จะไม่ทราบว่า ผู้ที่แขวน แขวนด้วยเหตุอะไร และมีความคิด ความหวังอย่างไรหรือเปล่า จะคิดว่าเหมือนกันทั้งหมด คือ เพื่อหวังความศักดิ์สิทธิ์หรืออะไร ก็ไม่ได้ เพราะว่าท่านผู้แขวนมีเหตุผลของท่านแต่ละบุคคล เช่น ท่านผู้นี้ แขวนเพราะว่าได้รับเป็นของขวัญจากเพื่อน และเวลาที่กระทบก็รู้สึกว่า สติเกิด เพราะฉะนั้น ก็จะแขวนต่อไป ใช่ไหม นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน ซึ่งไม่ใช่มงคลตื่นข่าว

    แต่ถ้าเป็นมงคลตื่นข่าวจะคิดว่า พระเครื่องสามารถที่จะคุ้มครองป้องกันอันตรายต่างๆ หรือถ้าบูชาด้วยการปฏิบัติบูชาเฉพาะพระเครื่องแต่ละองค์ ก็อาจจะทำให้เกิดความสำเร็จ หรือเกิดความศักดิ์สิทธิ์แต่ละทางได้ตามประเภทของพระเครื่อง แต่ละองค์ นั่นก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังต้องพิจารณาว่า มงคลตื่นข่าวนั้นคืออย่างไร

    การนับถือพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะ หรือเป็นที่พึ่งที่แท้จริง จะต้องด้วยความเข้าใจในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และใน พระมหากรุณาคุณของพระผู้มีพระภาค ถ้าคิดที่จะนับถือหรือว่าบูชาพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเทวดา หรืออย่างพรหมที่จะบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้ นั่นไม่ใช่การนับถือในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณ หมายความว่า ผู้นั้นไม่ได้เห็นในพระปัญญาว่า เหนือกว่าเทวดาและพรหมทั้งหลาย เพราะสามารถอบรมเจริญพระสัมมาสัมโพธิญาณจนกระทั่งทรงตรัสรู้เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดับกิเลสได้ และได้อบรมบำเพ็ญพระมหากรุณาคุณจนกระทั่งมีพระวิริยะที่จะแสดงพระธรรมโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ตั้งแต่ทรงตรัสรู้จนกระทั่งถึงวาระที่ใกล้จะปรินิพพาน

    การที่จะนับถือในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ในลักษณะที่นับถือแบบเทพและพรหมที่จะบันดาลสิ่งต่างๆ ให้ แต่ว่านับถือในพระปัญญาของพระองค์ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ ซึ่งได้ทรงแสดงธรรมโปรด เวไนยสัตว์เป็นเวลา ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้น ใน ๔๕ พรรษานี้ พระธรรมที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ซึ่งถ้าไม่ได้ศึกษาก็จะไม่ทราบว่า ธรรมใดเป็น คำสอนที่แท้จริงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และธรรมใดไม่ใช่คำสอนของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษา และพิจารณาโดยละเอียดรอบคอบจริงๆ

    และสำหรับการที่จะรู้ว่า บุคคลใดเป็นอริยสงฆ์ เป็นพระสังฆรัตนะ ซึ่งเป็นสรณะ จะต้องเป็นผู้ที่ศึกษาธรรม และรู้หนทางข้อปฏิบัติที่จะทำให้บุคคลนั้นเป็น พระอริยบุคคลจริงๆ ถ้าไม่รู้หนทางข้อปฏิบัติที่จะทำให้เป็นพระอริยบุคคล ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ใครเป็นพระอริยสงฆ์ และใครไม่ใช่พระอริยสงฆ์

    . การที่อาจารย์จะให้รู้พระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้านั้น ทำอย่างไรจึงจะมีปัญญาพอที่จะรู้ปัญญาของพระพุทธเจ้าได้

    สุ. ต้องศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียด เรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ถ้าคำสอนใดเป็นเรื่องที่ให้เกิดสติปัญญา สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏถูกต้องยิ่งขึ้น นั่นคือคำสอนที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น ให้เชื่ออย่างอื่น ให้เข้าใจผิดอย่างอื่น ให้พึ่งอย่างอื่น ให้กระทำอย่างอื่น ที่ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๐๕ ตอนที่ ๑๐๔๑ – ๑๐๕๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 84
    28 ธ.ค. 2564