แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 739


    ครั้งที่ ๗๓๙


    ฟังแล้ว ท่านผู้ฟังสงบไหม ระลึกถึงพระคุณหรือเปล่าในขณะนี้ พุทธานุสสติ สภาพธรรมของจิตในขณะนี้ สามารถที่จะพิจารณารู้ได้ว่า สงบหรือไม่สงบ ความสงบจึงจะเจริญขึ้น ในขณะที่ฟัง เข้าใจ และเห็นพระคุณ

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธพระองค์นั้นมา พระศาสดา พระนามว่า สุชาตะ ก็ทรงอุบัติขึ้น ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงสดับว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว จึงเสด็จเข้าไปเฝ้า ฟังพระธรรม แล้วพระราชทานราชสมบัติในมหาทวีปทั้ง ๔ พร้อมทั้งรัตนะ ๗ ประการแก่พระภิกษุสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วทรงผนวชในสำนักพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แม้พระศาสดาพระนามว่าสุชาตะพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๑๒

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุชาตะพระองค์นั้นมา ในที่สุดร้อยสิบแปดกัป ในกัปเดียวกันพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น ๓ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้า พระนามว่าปิยทัสสี ๑ พระพุทธเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสี ๑ พระพุทธเจ้าพระนามว่าธรรมทัสสี ๑

    ในสมัยแห่งพระปิยทัสสีพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมาณพนามว่า กัสสปะ สำเร็จไตรเพท ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา แล้วบริจาคทรัพย์ถึงหนึ่งแสนโกฏิให้สร้างสังฆาราม ดำรงอยู่ในสรณะและศีล ต่อมาพระศาสดาได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๑๓ ว่า กาลล่วงไปร้อยสิบแปดกัป จักเป็นพระพุทธเจ้า

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปิยทัสสีพระองค์นั้นมา พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า อัตถทัสสี ก็ทรงอุบัติขึ้น ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นดาบสนามว่า สุสีมะ มีฤทธิ์มาก นำฉัตรดอกมณฑารพจากเทวโลกมาบูชา พระศาสดา แม้พระศาสดาพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๑๔

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสีพระองค์นั้นมา พระศาสดา พระนามว่า ธรรมทัสสี ก็ทรงอุบัติขึ้น ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น ท้าวสักกเทวราช ได้กระทำการบูชาด้วยดอกไม้ทิพย์และเครื่องดนตรีทิพย์ แม้ พระศาสดาพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๑๕

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าธรรมทัสสีพระองค์นั้นมา นับแต่กัปนี้ไปในที่สุดเก้าสิบสี่กัป ในกัปหนึ่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ ทรงอุบัติขึ้นพระองค์เดียว ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นดาบสนามว่า มังคละ มีเดชสูง สมบูรณ์ด้วยกำลังอภิญญา ไปนำเอาผลหว้าใหญ่มาถวายพระตถาคตเจ้า พระศาสดาเสวยผลไม้นั้นแล้วทรงพยากรณ์เป็นครั้งที่ ๑๖ ว่า ในกาลที่สุดเก้าสิบสี่กัปจักได้เป็นพระพุทธเจ้า

    ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วใช่ไหม กำลังถึง ๙๔ กัป เพราะฉะนั้น ทุกท่านจะเร็วๆ บรรลุอริยสัจธรรมได้ไหม วันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ชาตินี้ โดยที่ไม่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่า กำลังเกิดดับ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็ต้องค่อยๆ อบรมไปจนกว่าจะใกล้เข้ามาทุกชาติๆ แล้วแต่ว่าจะถึงวันไหน เวลาไหน ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

    ข้อความต่อไป ซึ่งใกล้เข้ามาอีก

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิทธัตถะพระองค์นั้นมา นับแต่กัปนี้ไปในที่สุดเก้าสิบสองกัป ในกัปเดียวกันพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๒ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะ ๑ พระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ ๑

    ในสมัยแห่งพระติสสพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกษัตริย์พระนามว่า สุชาตะ มีพระราชสมบัติมากมาย มีพระอิสริยยศยิ่งใหญ่ ทรงผนวชเป็นฤๅษี ถึงความเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ได้สดับว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว ถือเอาดอก มณฑาทิพย์ ดอกปทุม และดอกปาริชาติ มาบูชาพระตถาคตผู้กำลังเสด็จพระดำเนินอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔ ดอกไม้นั้นได้กั้นเป็นเพดานดอกไม้อยู่ในนภากาศ แม้พระศาสดาพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๑๗ ว่า นับแต่นี้ไปในที่สุด ๙๒ กัป จักเป็นพระพุทธเจ้า

    ถ้ามีใครพยากรณ์ท่านผู้ฟังเวลานี้ว่า อีก ๙๒ กัปจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม รู้สึกอย่างไร ก็ยังมีความหวังใช่ไหม ๙๒ กัป ก็ค่อยๆ ผ่านไปแต่ละขณะ แต่ละนาที แต่ละวันไป แต่ละภพ แต่ละชาติ จนในที่สุดก็คงจะถึง ๙๒ กัป

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะพระองค์นั้นมา พระศาสดา พระนามว่า ผุสสะ (บางแห่งเป็น ปุสสะ) ทรงอุบัติขึ้น ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกษัตริย์พระนามว่า วิชิตาวี สละพระราชสมบัติมากมาย ทรงผนวชในสำนักพระศาสดา เรียนจบพระไตรปิฎก สอนธรรมแก่มหาชน และได้บำเพ็ญศีลบารมี แม้พระศาสดาพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๑๘ ว่าจักเป็นพระพุทธเจ้า

    เรียนจบพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้น ที่กำลังฟังอยู่ ที่กำลังศึกษาอยู่นี้ ยังไม่จบก็ยังไม่พอ ก็ยังต้องศึกษาไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ อบรมเจริญกุศลไปเรื่อยๆ

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะพระองค์นั้นมา นับแต่กัปนี้ไปในกัปที่ ๙๑ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ได้ทรงอุบัติขึ้น ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญานาคราชนามว่า อตุละ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๑๙ ว่า นับแต่กัปนี้ไปในกัปที่ ๙๑ จักเป็นพระพุทธเจ้า

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีพระองค์นั้นมา ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ไป พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น ๒ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ๑ พระพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู ๑

    ในสมัยแห่งพระสิขีพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชาพระนามว่า อรินทมะ ถวายมหาทานพร้อมทั้งผ้าจีวรแก่พระภิกษุสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประธาน และชั่งกัปปิยภัณฑ์ด้วยประมาณเท่ายานคือช้างแล้วน้อมถวาย แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๒๐ ว่า ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ไป จักเป็นพระพุทธเจ้า

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขีพระองค์นั้นมา พระศาสดาพระนามว่า เวสสภู ก็ทรงอุบัติขึ้น ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชาพระนามว่า สุทัสสนะ ถวายมหาทานพร้อมทั้งผ้าจีวรแก่พระภิกษุสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วทรงผนวชในสำนักพระศาสดา สมบูรณ์ด้วยอาจาระและคุณธรรม ได้มีความเคารพยำเกรงในพระพุทธรัตนะ มากไปด้วยความปีติ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๒๑ ว่า ในกัปที่ ๓๑ แต่กัปนี้ไปจักเป็นพระพุทธเจ้า

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภูพระองค์นั้นมา ในกัปนี้พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๔ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ ๑ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ ๑ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ๑ พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ๑ ในภพนี้ในชาตินี้จะทรงบรรลุความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ซึ่งในกัปนี้ คือ ในสมัยแห่งพระกกุสันธพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชานามว่า เขมะ ถวายมหาทานพร้อมทั้งบาตรและจีวร ยาหยอดตา และเภสัชทั้งหลายแก่พระภิกษุสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประธาน ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วทรงผนวช แม้พระศาสดาพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๒๒

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะพระองค์นั้นมา พระศาสดาพระนามว่า โกนาคมนะ ก็ทรงอุบัติขึ้น ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชาพระนามว่า ปัพพตะ มีหมู่อำมาตย์แวดล้อม เสด็จไปสู่สำนักพระศาสดา สดับ พระธรรมเทศนาแล้ว อาราธนาพระภิกษุสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประธาน ทรงบำเพ็ญมหาทาน แล้วทรงผนวชในสำนักพระศาสดา แม้พระศาสดาพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นเป็นครั้งที่ ๒๓

    ในครั้งสุดท้ายที่จะได้รับคำพยากรณ์ คือ

    ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะพระองค์นั้นมา พระศาสดาพระนามว่า กัสสปะ ก็ทรงอุบัติขึ้น ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมาณพ นามว่า โชติปาละ เรียนจบไตรเพท ปรากฏชื่อเสียงขจรขจายไปทั้งภาคพื้นดิน ทั้งในนภากาศ ได้เป็นมิตรของช่างหม้อนามว่า ฆฏิการะ พระโพธิสัตว์นั้นพร้อมกับช่างหม้อนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมกถาแล้วบวช ปรารภความเพียร เรียนจบพระไตรปิฎก ชำระพระพุทธศาสนาให้หมดจดด้วยวัตรสมบัติ แม้พระศาสดาพระองค์นั้นก็ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์เป็นครั้งที่ ๒๔

    ส่วนในกาลต่อจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะพระองค์นั้นลงมายกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายแล้ว ย่อมไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น

    คือ ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นคั่นระหว่างพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้ากับ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้

    ก็พระโพธิสัตว์ได้รับพยากรณ์ในสำนักพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ มีพระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร เป็นต้น ทรงบำเพ็ญพุทธการกธรรม มีทานบารมี เป็นต้น ที่พระองค์ได้ประมวลธรรม ๘ ประการเหล่านี้ คือ

    ๑. ความเป็นมนุษย์

    ๒. ความถึงพร้อมด้วยเพศ (คือ เป็นบุรุษเพศ)

    ๓. ความถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยเป็นเหตุสร้างกุศลมาก

    ๔. ได้พบเห็นพระศาสดา

    ๕. ได้บรรพชา

    ๖. ความถึงพร้อมด้วยคุณวิเศษ มีได้ฌานสมาบัติ เป็นต้น

    ๗. ความถึงพร้อมด้วยบุญญาธิสมภารอย่างยิ่งยวด เช่น ได้บำเพ็ญมหาบริจาค ๕

    ๘. มีฉันทะอันแรงกล้าในพระโพธิญาณ

    เพราะธรรมสโมธาน ๘ ประการนี้ อภินิหารย่อมสำเร็จได้ คือ สามารถที่จะถึงพร้อมซึ่งความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แล้วทรงสร้างอภินิหารแทบบาทมูลของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร ทรงตั้งความอุตสาหะว่า เอาเถอะ เราจะค้นหาธรรมที่กระทำความเป็นพระพุทธเจ้าทุกด้าน แล้วได้เห็นว่า ในครั้งนั้นเราค้นหาอยู่ก็ได้พบเห็นทานบารมีก่อน ดังนี้ เรื่อยมา จนถึงเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร เมื่อพระองค์เสด็จมายังมนุษยโลกนี้ ได้บรรลุอานิสงส์สำหรับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้ได้สร้างอภินิหารไว้แล้ว ดังที่ท่านพรรณนาสรรเสริญไว้ว่า

    นรชนทั้งหลายเพียบพร้อมด้วยองค์คุณทุกอย่างดังกล่าวมานี้ เป็นผู้แน่นอนว่าจะได้ตรัสรู้ เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏะสังสารตลอดกาลนานแม้ตั้งร้อยโกฏิกัปป์ก็ไม่เกิดในอเวจีมหานรก และไม่เกิดในโลกันตริกนรกทั้งหลายเหมือนกัน ไม่เกิดเป็นนิชฌามตัณหิกเปรต ขุปปิปาสิกเปรต และกาลกัญชิกเปรต แม้ถึงจะเกิดในทุคติก็ไม่เกิดเป็นสัตว์เล็กๆ เมื่อเกิดในหมู่มนุษย์ก็ไม่เป็นคนบอดแต่กำเนิด ไม่เป็นคนหูหนวก ไม่เป็นคนใบ้ ไม่เป็นหญิง ไม่เป็นอุภโตพยัญชนก ไม่เป็นบัณเฑาะว์ ผู้ที่แน่นอนว่าจะได้ตรัสรู้ ย่อมไม่เป็นผู้นับเนื่องอยู่ในพวกอภัพพบุคคลดังกล่าวมา

    เป็นผู้พ้นจากอนันตริยกรรม ๕ ประการ มีโคจรบริสุทธิ์ทุกอย่าง ไม่ซ่องเสพมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นเป็นกรรมวาทีและกิริยวาที แม้จะอยู่ในสวรรค์ก็ไม่เกิดในอสัญญีภพ เพราะในเทวดาชั้นสุทธาวาสทั้งหลาย ย่อมไม่มีอุปนิสสัยอันเป็นเหตุสร้างกุศลมาก เป็นผู้น้อมใจไปในเนกขัมมะ เป็นสัปบุรุษ ไม่ติดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เป็นผู้ประพฤติเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก บำเพ็ญบารมีทุกอย่างครบบริบูรณ์

    เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังคงจะไม่มีความปรารถนาที่จะบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเอง แต่เป็นเพียงอริยสาวก คือ ผู้ที่ได้บรรลุธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากอยู่แล้ว

    ถ. พระพุทธเจ้า ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทีปังกรพยากรณ์มาแล้ว ที่ไม่ไปเกิดในอสัญญีภพ อสัญญีภพหมายถึงอะไร

    สุ. อสัญญสัตตาพรหม มีแต่รูปปฏิสนธิ ไม่มีนามปฏิสนธิเลย ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่รู้อารมณ์อะไรในระหว่างที่เป็นอสัญญสัตตาพรหม

    บางท่านเห็นว่า สุข ทุกข์ทั้งหมดเป็นเพราะจิต ไม่ใช่เป็นเพราะกาย เพราะร่างกายไม่สามารถจะรู้อารมณ์อะไรเลย เพราะฉะนั้น ถ้ามีแต่เพียงรูปร่างกาย โดยที่ไม่มีใจที่จะรู้เรื่องราวต่างๆ ไม่มีความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ไม่ต้องจำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่างๆ ก็จะไม่ทำให้เกิดทุกข์ เพราะฉะนั้น เมื่อได้บำเพ็ญความสงบถึงขั้นจตุตถฌานโดย จตุกกนัย หรือปัญจมฌานโดยปัญจกนัย ก็ตั้งความปรารถนาที่จะมีแต่เพียงรูปปฏิสนธิ ซึ่งความปรารถนาทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้ด้วยกุศล

    ถ้าเป็นความปรารถนาที่จะมีแต่เพียงรูป เพียงนึกเอาว่า อย่ามีแต่จิตใจอีกต่อไปเลย ขอให้มีแต่รูปร่างกาย เพียงแต่ความคิดความต้องการอย่างนี้ ไม่เป็นเหตุสมควรแก่ผลที่จะให้เกิดในอสัญญสัตตาพรหม

    แต่ถ้าได้บรรลุถึงปัญจมฌาน ด้วยกุศลนั้น และมีความตั้งใจมั่นที่จะละความยินดียินร้ายที่เกิดจากการที่มีใจหรือมีนามธรรมเกิดขึ้น ก็ทำให้เป็นผู้ที่ปฏิสนธิเพียงมีรูปปฏิสนธิ ดำรงอยู่ในภพของอสัญญสัตตาพรหมตามกำหนดอายุ และก็จุติ ซึ่งจะต้องมีนามปฏิสนธิและรูปปฏิสนธิต่อไปอีก คือ เป็นการเกิดพร้อมขันธ์ ๕

    ถ. พระโพธิสัตว์บางครั้งได้บรรลุฌานสมาบัติ ก็ต้องไปเกิดในพรหมโลก ซึ่งในพรหมโลกก็มีอายุเป็นหมื่นๆ กัป แสนๆ กัป และพระโพธิสัตว์ก็จะต้องได้พบพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ทุกๆ พระองค์ทุกครั้ง ด้วยเหตุอะไร ทำไมไม่พลาดบ้างว่า พระพุทธเจ้ามาบังเกิดแล้ว แต่พระโพธิสัตว์ยังอยู่ในพรหมโลก ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น

    สุ. ถ้าคำนวณแล้วอาจจะออกมาพอดีกันก็ได้ ซึ่งก็ไม่มีใครคิดคำนวณ เป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแสนนาน ยากที่จะกลับไปทบทวนวัน เดือน ปี เหตุการณ์อะไรทั้งหลาย และไม่มีใครมีเวลาพอที่จะไปทบทวนอย่างนั้นด้วย เพราะแต่ละท่านก็มีอายุเพียงอายุขัย ซึ่งในสมัยนี้ปัจจุบันนี้ก็เพียง ๑๐๐ ปี เพราะฉะนั้น จะไปคิดย้อนหลังอย่างไรๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้

    ถ. ที่กล่าวว่า ๔ อสงไขยแสนกัป กัปหนึ่งๆ นี้ ก็หมายถึงนับไม่ถ้วน ซึ่งมีอุปมาไว้ว่า หินก้อนหนึ่งยาว ๑๖ โยชน์ สูง ๑๖ โยชน์ กว้าง ๑๖ โยชน์ ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี เทวดาเอาผ้าแคว้นกาสีมาเช็ดทีหนึ่ง จนกระทั่งราบ นั่นก็เป็น ๑ มหากัป สำหรับอสงไขย หมายความว่า กัปๆ ที่นับไม่ถ้วน ๔ ครั้ง เรียกว่า ๔ อสงไขย ใช่ไหม

    สุ. กัปเดียวก็เหลือที่จะนับแล้ว ไม่ต้องนับดีกว่า ก็แค่ทราบว่า ๔ อสงไขยแสนกัป มีพระพุทธเจ้าพระองค์ไหนตรัสรู้ในกัปไหน



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๗๔ ตอนที่ ๗๓๑ – ๗๔๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 45
    28 ธ.ค. 2564