บารมีในชีวิตประจำวัน ตอนที่ 09


    รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่เลวและประณีต ที่ดำและขาว และมีส่วนเปรียบ สามารถเปรียบความละเอียดขึ้นของจิตใจได้ อย่างท่านที่บอกว่า เหมือนเป็นอุบาย ที่ว่า ความจริงใจในการเป็นกุศลยังไม่สมบูรณ์ทีเดียว แต่ท่านรู้ว่า ถ้าท่านมีวิริยะที่จะทำสิ่งที่เป็นกุศล ก็จะเป็นการทำให้กุศลสมบูรณ์ขึ้นในภายหลังได้ ซึ่งขณะนั้น ถ้าสติเกิดพร้อมด้วยปัญญาก็สามารถรู้ความต่างกันที่เปรียบเทียบได้ว่า ก่อนที่จะ เป็นกุศลจิตที่สมบูรณ์จริงๆ กับขณะที่กำลังพยายามที่จะเป็นกุศลแม้ว่าจะมี อกุศลเกิดคั่น แต่ความพยายามและกุศลก็เริ่มมีกำลังที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ลักษณะของความเจริญของกุศลนั้นต่างกัน แสดงให้เห็นได้ว่า ปัญญาสามารถรู้ได้ ในธรรม ที่เลวและประณีต ที่ดำและขาว และมีส่วนเปรียบ

    ขุททกนิกาย มหานิทเทส กามสุตตนิทเทส และอรรถกถา มีข้อความตอนหนึ่งว่า

    การอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจนถึงความเป็นพระอรหันต์นั้น เป็นการไปสู่ทิศคือนิพพาน ซึ่งไม่เคยไปแม้ในความฝัน เป็นการก้าวล่วงทางไกล คือสังสารวัฏฏ์

    ถ้ามีปัญญาเกิดขึ้นจริงๆ จะรู้ว่า สังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาแล้วยาวนานมากเหลือเกิน และถ้าปัญญายังไม่สมบูรณ์ สังสารวัฏฏ์ข้างหน้าก็ต้องต่อไปอีกแสนไกลเพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจนถึงความเป็น เป็นพระอรหันต์นั้น เป็นการไปสู่ทิศคือนิพพาน ซึ่งไม่เคยไปแม้ในความฝัน เป็นการก้าวล่วงทางไกลคือสังสารวัฏฏ์

    ฝันถึงอะไรก็คงฝันถึงได้ทั้งหมด เว้นฝันถึงนิพพาน ไม่มีทางที่จะฝันได้เลย เพราะฉะนั้น จึงมีข้อความว่า เป็นการไปสู่ทิศคือนิพพาน ซึ่งไม่เคยไปแม้ในความฝัน

    ลักษณะของคนที่ชำนาญป่า กับคนที่ไม่ชำนาญป่านั้นก็ต่างกัน เพราะฉะนั้น ถ้าปัญญาเกิดขึ้นก็สามารถที่จะไวที่จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า สภาพธรรมขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลด้วยความชำนาญ เพราะว่าได้อบรมมาแล้ว

    ผู้ฟัง ธรรม ๕ อย่างนี้ คือ ศีล วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ให้สำเร็จประโยชน์อย่างเดียวกันหรือไม่

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่ความเข้าใจของบุคคลนั้น

    ผู้ฟัง เข้าใจในแง่ไหน

    ท่านอาจารย์ เข้าใจว่า จะเจริญศีล วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อละคลายกิเลส

    ท่านอาจารย์ ในขณะที่สติปัฏฐานเกิด พร้อมกันได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทำไมจะแยกกัน

    ผู้ฟัง เพราะว่าศีลเป็นแค่เกราะกำบังเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ ศีลมีหลายอย่าง ถ้าเป็นปาฏิโมกขสังวรศีล ก็เป็นระเบียบวินัย ข้อประพฤติปฏิบัติสำหรับพระภิกษุ ซึ่งเป็นอาทิพรหมจรรย์เบื้องต้นที่จะทำให้ ขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้นจนกระทั่งถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่จะปราศจากอธิศีลสิกขา หรือปราศจากสังวรศีลไม่ได้ เพราะถ้าเพียงแต่รักษาปาฏิโมกขสังวรศีล โดยไม่มี สังวรศีลทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปัญญาก็เจริญไม่ได้

    ผู้ฟัง แสดงว่า ธรรมที่กล่าวนี้ สำเร็จประโยชน์อย่างเดียวกัน ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่ความเข้าใจ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจ ก็จะเพียงแต่รักษาศีลก่อน เพราะคิดว่าต้องรักษาศีลก่อน แต่ความจริงแล้วศีลมีหลายประเภท หลายขั้น แต่ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องในเรื่องของการอบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ จะไม่ปราศจาก ทั้งศีล วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

    ผู้ฟัง แสดงว่า การที่จะเจริญศีล สมาธิ ปัญญานั้น ต้องเจริญพร้อมๆ กัน ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะที่สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม ในขณะนั้นเป็นอธิศีล เอกัคคตาเจตสิกในขณะนั้นก็เป็นอธิจิต และปัญญาที่กำลังศึกษาพิจารณารู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมก็เป็นอธิปัญญา จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์ที่เป็น วิปัสสนาญาณ

    เพราะเหตุว่าการฟังพระธรรม คือ การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีอยู่ ในชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ไม่ใช่ทรงแสดงเพื่อให้เราไปรู้สิ่งอื่น แต่เป็นความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ง่ายเลย แม้ในขั้นของการฟัง ในขั้นของการพิจารณา ในขั้นที่จะระลึกได้และศึกษา คือ สังเกต พิจารณาจนกระทั่งเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น เมื่อได้ทราบเรื่องของบารมี ๑๐ คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี บารมีทั้ง ๑๐ จะขาดบารมีหนึ่งบารมีใดไม่ได้เลย คือ จะเจริญเพียงปัญญาบารมีอย่างเดียวก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ากิเลสมีมาก ถ้าไม่เข้าใจเรื่องของบารมี ๑๐ และไม่พิจารณาตนเองเพื่อที่จะเจริญบารมีทั้ง ๑๐ ก็ย่อมเป็นเพียงความหวังที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม โดยที่ไม่รู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่า จะต้องอาศัยบารมีที่เป็นกุศลละคลายอกุศลธรรม

    และสำหรับบารมีที่ทุกท่านประพฤติปฏิบัติกันอยู่หลังจากที่เมื่อเข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐานแล้ว ก็คงจะมีทานบารมี การสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น ศีลบารมี การวิรัติทุจริต เนกขัมมบารมี การละคลายความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แม้ว่าเพียงทีละเล็กทีละน้อย แต่ก็ยังสังเกตได้ว่า ยังมีช่วงเวลาที่นึก ละคลาย มีความรู้จักพอในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ โดยไม่ติดข้องจนไม่สมควร

    สำหรับปัญญาบารมี เป็นสิ่งที่ทุกคนเมื่อได้ยินชื่อก็ย่อมปรารถนาที่จะมีอย่างมากๆ ทีเดียว แต่ปัญญาบารมีหรือปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนมีอยู่แล้ว แต่เป็นสิ่งที่จะต้องอบรมให้เกิดขึ้น เพราะว่าวันหนึ่งๆ คนส่วนใหญ่ต้องการที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมไหม

    ในขณะที่กำลังมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า มีฉันทะ ความพอใจที่ต้องการจะรู้ ต้องการจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้หรือไม่

    สำหรับบางท่านเมื่อไม่เห็นประโยชน์ของปัญญา ก็ไม่อบรมเจริญปัญญา บางท่านก็พอใจที่จะศึกษาพระธรรมเพียงขั้นพื้นฐานที่ทำให้เกิดความสบายใจ ในวันหนึ่งๆ คิดว่าพอแล้ว แต่เมื่อเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่ละเอียดขึ้นก็บอกว่า ยากไป และก็ล้มเลิกความคิดที่จะศึกษาพระธรรม

    แสดงให้เห็นว่า การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะเห็นประโยชน์ของปัญญาจริงๆ ต้องอาศัยวิริยะ ความอดทนด้วย เพราะว่าปัญญาที่จะเกิดเพิ่มขึ้นนั้นไม่ใช่ของง่าย ถ้าเพียงแต่สบายๆ ไปวันหนึ่งๆ ในชีวิตประจำวัน ฟังพระธรรมเพียงพื้นฐาน ก็ไม่ใช่ปัญญาบารมีที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เพราะปัญญาบารมีจริงๆ ต้องเป็นไปในการเจริญความรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แม้ในขั้นของ การฟัง หรือการพิจารณา หรือการระลึกได้ในขณะนี้

    ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส อชิตมาณวกปัญหานิทเทส ข้อ ๙๗ มีข้อความว่า

    คำว่า กุสโล สัพพะธัมมานัง ความว่า เป็นผู้ฉลาดในธรรมทั้งปวง

    ขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ และปัญญา คือ ความรู้ ความฉลาด ในธรรมทั้งปวง ไม่ใช่ความไม่รู้ ทั้งๆ ที่มีการเห็น การได้ยินเกิด แต่เมื่อไม่รู้ ก็ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ความฉลาด เพราะฉะนั้น เป็นผู้ฉลาดในธรรมทั้งปวง คือ รู้ว่า

    สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา พึงเป็นผู้ฉลาดในธรรมทั้งปวง แม้ด้วยอาการอย่างนี้

    ถ้าจะให้เข้าใจจนกระทั่งประจักษ์แจ้งจริงๆ ต้องศึกษาโดยละเอียด จึงจะเข้าใจได้ว่า สังขารทั้งปวง ต้องทุกอย่างที่กำลังปรากฏในขณะนี้ไม่เที่ยง คือ เกิดดับ และสภาพธรรมที่เกิดดับนั้นเป็นทุกข์ และธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

    ถ้าเป็นคนที่ได้อบรมเจริญปัญญาบารมีมามากในอดีต เพียงฟังเท่านี้สามารถ ที่จะประจักษ์การเกิดดับของสังขารธรรมในขณะนี้ได้จริงๆ แต่สำหรับผู้ที่ยังอบรมมา ไม่พอ ฟังแล้วต้องฟังอีก และต้องฟังโดยละเอียดเพิ่มขึ้น

    ข้อความต่อไปมีว่า

    อีกอย่างหนึ่ง พึงเป็นผู้ฉลาดในขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปฏิจจสมุปบาท สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ มรรค ผล นิพพาน พึงเป็นผู้ฉลาดในธรรมทั้งปวงแม้ด้วยอาการอย่างนี้

    เพิ่มความฉลาดขึ้นอีก เมื่อกี้เป็น สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง แต่เมื่อได้ยินอย่างนี้ ก็ยังไม่สามารถประจักษ์ความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลายได้ เพราะฉะนั้น ต้องจำแนกให้ละเอียดต่อไปอีก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับวิริยะ ความพากเพียร ความอดทนของผู้ที่จะศึกษา ให้เข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นแล้วไม่สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ได้ เช่น ข้อความต่อไปที่ว่า อีกอย่างหนึ่ง พึงเป็นผู้ฉลาดในขันธ์ ซึ่งได้แก่ ขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซึ่งกำลังมี ในขณะนี้ และใน ธาตุ อายตนะ ปฏิจจสมุปบาท สติปัฏฐาน เป็นชื่อภาษาบาลีทั้งนั้น แต่ให้ทราบว่า หมายถึงสภาพธรรมที่ละเอียดและเป็นปัจจัยแก่กันและกันเกิดขึ้นนั่นเอง สัมมัปปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ นี่ก็เป็นเรื่องของปัญญาที่ เจริญขึ้นๆ พร้อมกับการเป็นผู้เพียรที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    โพชฌงค์ คือ องค์ของการตรัสรู้อริยสัจจธรรม

    มรรค ผล นิพพาน พึงเป็นผู้ฉลาดในธรรมทั้งปวงแม้ด้วยอาการอย่างนี้

    ก็ยังไม่เป็นผู้ฉลาด ถ้าเพียงได้ฟังสั้นๆ ย่อๆ อย่างนี้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    อีกอย่างหนึ่ง อายตนะ ๑๒ คือ จักษุและรูป หูและเสียง จมูกและกลิ่น ลิ้นและรส กายและโผฏฐัพพะ ใจและธัมมายตนะ เรียกว่า ธรรมทั้งปวง

    ขณะที่ฟังพระธรรมและเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามไปด้วย ขณะนั้นผู้ที่ได้อบรมปัญญามาแล้วสามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ได้จริงๆ เช่น เป็นผู้ฉลาดในอายตนะ คือ จักษุและรูป คือ ตาหรือจักขุวิญญาณ ที่กำลังเห็น และสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้เอง

    เพราะฉะนั้น ธรรมมีให้พิสูจน์ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน ขอให้ย้อนกลับมาที่ว่า การอบรมเจริญสติปัฏฐาน คือ ในขณะที่กำลังเห็น จะเข้าใจลักษณะของ สภาพธรรมที่ปรากฏได้อย่างไร ก็มีทางเดียว คือ เมื่อได้ฟังแล้วก็ระลึกได้ที่จะเข้าใจลักษณะของเห็นที่กำลังเห็นในขณะนี้ หรือเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    ในขณะที่กำลังเข้าใจ ขณะนั้นสติปัฏฐานคือพร้อมด้วยสติที่ระลึกที่ลักษณะของสภาพรู้ที่กำลังเห็น และปัญญาสามารถรู้ในลักษณะรู้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะฉะนั้น แทนที่จะคิดถึงคำหรือความหมาย หรือติดที่พยัญชนะคือการเจริญสติปัฏฐาน ก็เปลี่ยนมาที่กำลังเห็น จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เห็นโดยอย่างไร ก็โดยเมื่อฟังแล้วมีวิริยะที่จะรู้ว่า ขณะที่เห็น ในขณะนี้เป็นสภาพรู้

    ในขณะนี้เอง ขอให้ทุกคนที่กำลังเห็น เข้าใจลักษณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ว่าเป็นสภาพรู้ นั่นคือสติปัฏฐานแล้ว

    หรือในขณะที่กำลังได้ยิน ซึ่งทุกคนกำลังได้ยินในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ขณะใดที่กำลังรู้ว่า ที่กำลังได้ยินเป็นสภาพรู้ เข้าใจลักษณะของสภาพรู้ที่กำลังได้ยินถูกต้องว่า ลักษณะที่กำลังได้ยินนี้เป็นสภาพรู้อย่างหนึ่ง ในขณะนั้นเป็นสติปัฏฐานแล้ว พร้อมด้วยสติและปัญญา

    เพราะฉะนั้น ขณะไหนก็ได้ที่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก และรู้อายตนะ คือ จักษุและรูป หูและเสียง จมูกและกลิ่น ลิ้นและรส กายและโผฏฐัพพะ ใจและธัมมายตนะ ขณะนั้นชื่อว่ากำลังอบรมเจริญปัญญา โดยกำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    ถ้าจะไม่ใช่คำว่า สติปัฏฐาน แต่ใช้คำว่า กำลังเห็น ก็เข้าใจ เริ่มเข้าใจลักษณะของเห็น กำลังได้ยิน ก็เริ่มเข้าใจลักษณะของได้ยิน กำลังได้กลิ่น เริ่มเข้าใจลักษณะที่กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึก

    ผู้ฟัง สภาพธรรมมีอยู่ตลอดเวลา เห็นก็มี ได้ยินก็มี ผมรู้สึกว่า ตัวผมเองช่างโง่เหลือเกิน เห็นก็ยังไม่รู้ ได้ยินก็ยังไม่รู้ คือ ยังไม่เข้าใจว่าเห็นมีนัยที่ควรรู้เพียงใด แต่เมื่อเจริญสติปัฏฐานไปบ้างแล้วก็มีความรู้สึกว่า ขณะเห็นก็ดี หรือขณะได้ยินก็ดี มีสภาพธรรมที่ลึกซึ้งของคำว่าเห็นมาก จากการฟังบ่อยๆ เหตุปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ เกิดสติระลึกรู้ในสภาพธรรมนั้น แต่ก็เคยคิดว่า ที่อาจารย์บรรยายจะเป็นไปได้หรือ อย่างเช่นสติที่ระลึกรู้ในกลิ่น หรือในรสทางลิ้น ก็เคยนึกว่า ชาตินี้คงไม่มีทาง ฟังๆ ไปก็ระลึกทางตาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ทางหูบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ระยะหนึ่งเคยระลึกได้ทางลิ้น เป็นอยู่ระยะหนึ่งหลายเดือน แต่ขณะนี้ได้หายไป สำหรับทางจมูกนั้น แทบจะไม่เคยระลึกเลย นึกว่าชาตินี้ก็คงจะไม่ได้ระลึกทั่วทั้ง ๖ ทวาร

    แต่สภาพธรรมเป็นอนัตตาจริงๆ ในระยะที่อาจารย์ไม่ได้บรรยายอยู่ประมาณ ๒ เดือน สติระลึกรู้ที่จมูกมากกว่าทางตา ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว หรือจะเป็นเพราะว่าระยะนี้ผมเดินผ่านกองขยะบ่อย และมักจะไปได้ที่กองขยะเสมอๆ เพราะเป็นสภาพธรรมที่รุนแรงกว่าสภาพธรรมที่พื้นๆ แต่สิ่งที่ปรากฏทางลิ้นคือรส ได้หายไป ได้แต่การคิดนึกเรื่องรส

    สำหรับสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง คือ ธัมมารมณ์ ทางใจ ขณะนี้กำลัง คิดนึก ซึ่งการคิดนึกอาจารย์พูดเสมอๆ ว่า ทางตาแล้วก็มาทางใจ ทางหูแล้วก็ต้องทางใจ เพราะฉะนั้น ทางใจจะมีสภาพธรรมมากกว่าเพื่อน ซึ่งก็ได้ระลึกแล้วบ้างแล้ว สรุปแล้วเวลานี้สภาพธรรมทั้ง ๖ ทวาร ได้เริ่มระลึกแล้วทุกทวาร คิดว่าไม่หมดหวัง คงจะต้องเจริญสติต่อไป

    มีคำถามถามอาจารย์ว่า อะไรจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อไป และเราก็ไม่รู้ว่า อะไรอีกที่จะมาข้างหน้าที่สติปัฏฐานจะระลึกรู้ในสภาพธรรมอื่นๆ ซึ่งนี่เป็นอนัตตา ก็พอเข้าใจ แต่สำหรับท่านผู้อื่นไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร คงต้องให้อาจารย์ ขยายความต่อไป

    ท่านอาจารย์ ที่พูดเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจบ่อยๆ ก็เพื่อให้เห็นว่า การศึกษาพระธรรม การฟังพระธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะฟังพระธรรมในระดับขั้นใด การศึกษา ทั้งพระวินัยปิฎกก็ดี หรือพระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎกก็ดี การศึกษาเรื่องจิตประเภทต่างๆ เจตสิกประเภทต่างๆ รูปประเภทต่างๆ พร้อมทั้งปัจจัยของจิต เจตสิก รูป ซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้นก็ดี เราคงไม่ได้ฟังมาแต่เฉพาะในชาตินี้ ชาติเดียว แต่ผู้ที่มีความสนใจในพระธรรมที่ฟังในชาตินี้ก็แสดงให้เห็นว่า ได้เคยมี ความสนใจศึกษาและฟังพระธรรมในชาติก่อนๆ มาแล้ว แต่เมื่อถึงชาตินี้ลืมหมด ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังซ้ำอีก

    เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็จะรู้ได้ว่า เป็นผู้ที่ได้เคยศึกษา เข้าใจ และอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพนามธรรมและรูปธรรมในชาติก่อนๆ มามากน้อยแค่ไหน ซึ่งท่านพระสารีบุตรเพียงฟังท่านพระอัสสชิ ท่านก็สามารถรู้แจ้ง อริยสัจจธรรมเพียงท่านพระอัสสชิกล่าวคาถาสั้นๆ ว่า ธรรมทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ เท่านั้น ท่านไม่มีความสงสัยในคำว่า ธรรม เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมของแต่ละบุคคลในแต่ละชาติ เป็นการแสดงให้รู้ถึงการอบรมเจริญสติและปัญญาในขั้นของ การฟัง การพิจารณา และสติปัฏฐานในชาติก่อนๆ ด้วย เพราะว่าการฟังเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมทั้งหมดเพื่อให้รู้ว่า ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

    ที่กล่าวถึงเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทุกครั้ง ก็เพราะว่าเป็นสภาพธรรม ที่มีจริงกำลังปรากฏ และธรรมที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดจะเกื้อกูลให้รู้ให้เข้าใจในขณะที่กำลังเห็นว่า เป็นเพียงสภาพรู้ เพื่อจะถ่ายถอนความเป็นตัวตนว่า ไม่ใช่เราที่เห็น เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงมากมายทีเดียวที่ได้มีการศึกษามาแล้วในชาติก่อนๆ และในชาตินี้ ซึ่งในชาตินี้ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไปอีก และเมื่อเกิดใหม่ ก็แล้วแต่ว่า จะมีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมจากการฟังในชาตินี้เท่าไร และเมื่อได้ฟัง พระธรรมอีกในชาติต่อไป จะสามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขั้นของการฟัง หรือในขั้นของการระลึกรู้ลักษณะของเห็น ลักษณะของได้ยิน ลักษณะของได้กลิ่น ลักษณะของลิ้มรส ลักษณะของสภาพธรรมที่คิดนึก ทั้งนามธรรมและรูปธรรม และจะสามารถอบรมเจริญปัญญาเพื่อประจักษ์แจ้งลักษณะของ สภาพธรรมได้เพิ่มขึ้นแค่ไหน

    การศึกษาธรรมต้องทราบประโยชน์ว่า เพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั่นเอง เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็รู้ด้วยตัวเองว่า มีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพียงใด เป็นการทดสอบผลของการศึกษาพระธรรมทั้งหมด ทั้งในชาติก่อนๆ และในปัจจุบันชาตินี้ด้วย

    สามารถตอบได้ ใช่ไหม ผลของการศึกษาธรรมในชาติก่อนๆ และในชาตินี้ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพียงใด

    ไม่ได้ถามว่า เป็นจิตอะไร เป็นอเหตุกจิตหรือมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยกี่ดวง ไม่ได้ถามว่า นามธรรมและรูปธรรมเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันอย่างไร แต่เข้าใจลักษณะของสภาพที่กำลังเห็นในขณะนี้ว่า เป็นแต่เพียงธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้เท่านั้นนี่คือผลจากการศึกษา

    เพราะฉะนั้น ทุกท่านที่ได้อบรมเจริญปัญญามาบ้างแล้ว ก็มีสิ่งที่จะ สอบปัญญาของตนเองได้ เช่น มีกิเลสมาก หรือมีกิเลสน้อยตามความเป็นจริง เมื่อได้ฟังพระธรรมเข้าใจแล้วก็รู้ว่า เป็นผู้ที่มีกิเลสคือความไม่รู้อย่างมากทีเดียว และเมื่อรู้ว่ามีกิเลสมากอย่างนี้แล้วจะทำอย่างไรต่อไป นี่ก็เป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งผู้ที่เข้าใจหนทางประพฤติปฏิบัติถูกต้องก็รู้ว่า เพียรเพื่อเข้าใจลักษณะของ สภาพธรรมโดยการฟัง และโดยการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ไม่ใช่อยาก ที่จะหมดกิเลสโดยวิธีอื่น

    มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งกล่าวว่า เวลาว่างท่านคิดที่จะทำสมาธิ เคยคิดอย่างนี้ไหม

    ถ้ามีความเข้าใจเรื่องของปัญญาบารมี คือ การรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น ขณะนั้นจะรู้ว่า ไม่ว่างเลย

    มีใครว่างบ้าง

    ท่านที่คิดว่า ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็จะทำสมาธิเพราะว่ากำลังว่างอยู่ แต่ความจริงแล้วถ้าเข้าใจธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ว่างเลยสักขณะเดียว

    กำลังเห็น ว่างหรือเปล่า กำลังได้ยิน ว่างหรือเปล่า ในขณะนั้นท่านอาจจะเข้าใจว่า ท่านไม่ได้ทำกิจธุรการงาน ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่ถ้าระลึกได้ว่า ไม่ว่าง เพราะกำลังเห็นจะว่างอย่างไร กำลังได้ยินจะว่างอย่างไร เพราะฉะนั้น เมื่อไม่ว่าง ปัญญาก็ควรพิจารณาเข้าใจลักษณะของเห็นว่า เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ แทนที่จะทำสมาธิ เพราะการทำสมาธิไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญา

    ทุกท่านคงเคยทำสมาธิ หรือเคยบรรลุถึงขั้นฌานจิตมาแล้วในชาติก่อนๆ ก็ได้ แต่เมื่อไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ถึงแม้ว่าชาติก่อนจะได้สมาธิถึงขั้นฌาน แต่เมื่อไม่ได้อบรมเจริญปัญญา ก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เพราะฉะนั้น ชาตินี้ก็เหมือนชาติก่อน ถ้าคิดที่จะทำสมาธิหรือคิดที่จะให้ฌานจิตเกิด โดยไม่อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ทุกชาติ ก็ย่อมเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น แทนที่จะเพียรเพื่อให้เกิดสมาธิ ก็ควรเพียรเข้าใจลักษณะของเห็นที่กำลังเห็น ซึ่งเป็นปกติ ถ้าทำสมาธิ ต้องใช้ความเพียรเพื่อทำให้จิตจดจ้องอยู่ที่อารมณ์เดียว เพื่อให้ตั้งมั่นที่อารมณ์นั้น ต้องอาศัยความเพียรสมาธิจึงจะเกิด แต่ในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน และมีความเข้าใจถูกว่า ควรที่จะอบรม เจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเห็น ขณะนั้นก็เพียร แต่ไม่ใช่เพียร ให้จิตตั้งมั่นที่อารมณ์เดียว แต่เพียรโดยพยายามที่จะพิจารณา หรือเริ่มที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    จะเห็นได้ว่า แม้วิริยะ ความเพียรที่เป็นบารมี ก็ต้องเกิดร่วมกับปัญญา มิฉะนั้นแล้วจะเพียรทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่เพียรรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติ ในชีวิตประจำวัน

    ธรรมทั้งหมดต้องสอดคล้องกัน เช่น ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงมรณสติ การระลึกถึงความตาย และทรงแสดงเรื่องของมรณะ ๓ อย่าง คือ ขณิกมรณะ สมมติมรณะ และสมุจเฉทมรณะ สำหรับขณิกมรณะ คือ ความตายทุกขณะ ซึ่งถ้าท่านผู้ฟังจะเข้าใจจริงๆ ว่า ชีวิตของทุกคนดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว ที่ว่าชีวิตยาว อายุยืนมาก ความจริงแล้วก็เป็นการเกิดดับสืบต่อของจิตแต่ละขณะนั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าทอนอายุของชีวิตที่ท่านคิดว่ายืนยาวมากให้สั้นลง เป็นชั่วขณะจิต จะเห็นได้ว่า ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วในขณะที่เห็น ในขณะที่กำลังเห็นนี้เป็นชีวิตขณะหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเห็น ถ้าไม่เห็น ไม่ใช่ชีวิตแน่ แต่ในขณะที่มีชีวิตคือเห็น เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดขึ้นเห็นขณะหนึ่งแล้วตาย สั้นมากทีเดียว และขณะที่กำลังได้ยินนี้เอง ก็เป็นชีวิตชั่วขณะที่ได้ยินนั้น ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะที่ได้ยินแล้วก็ตาย

    เพราะฉะนั้น ขณิกมรณะ คือ ผู้ที่เจริญมรณสติที่เป็นปัญญาบารมีจะไม่เพียงระลึกถึงความตายที่เป็นสมมติมรณะและก็เกิดการละคลายเพียงเล็กน้อยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้ตลอดไป เพราะว่าต้องมีการพลัดพราก ต้องมีการสูญเสียจากสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นของเรา ซึ่งถ้ารู้เพียงเท่านั้น ไม่สามารถจะดับกิเลสได้ แต่ถ้าผู้นั้นสามารถเข้าใจขณิกมรณะว่า คือ ความตาย ทุกๆ ขณะ ชั่วขณะที่เห็น เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ตาย เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ตาย เกิดขึ้น ได้กลิ่นแล้วก็ตาย เกิดขึ้นคิดนึกแล้วก็ตาย ถ้าเข้าใจขณิกมรณะอย่างนี้จะสามารถพิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้จริงๆ ซึ่งเป็นมรณสตินั่นเอง

    เพราะฉะนั้น มรณสติจึงมีตามระดับขั้นของผู้ที่เข้าใจมรณสติ คือ ในขั้นของ การอบรมเจริญความสงบ และในขั้นที่จะพิจารณาเพื่อรู้ลักษณะของความตายที่มีอยู่ทุกขณะ

    ทุกอย่างในชีวิต จะทราบได้ว่า ขณะใดที่ปัญญาเกิดและขณะใดที่ปัญญา ไม่เกิด และขณะใดที่ความเข้าใจผิดในข้อปฏิบัติอาจจะเกิดแทรกก็ได้ เช่น บางคนบอกว่า วันหนึ่งๆ ต้องเดินจงกรมด้วย คือ เป็นผู้ที่พากเพียรจะปฏิบัติธรรม และ จะอบรมทุกอย่าง แม้แต่ได้ยินคำว่า จงกรม ก็คิดว่า วันหนึ่งๆ การประพฤติ ปฏิบัติธรรมนั้นจะต้องจงกรมด้วย

    แต่ถ้าเข้าใจถูกว่า ตามปกติที่นั่งบ้าง นอนบ้าง และเมื่อย จึงต้องเดิน เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ซึ่งหลายท่านเห็นว่า วันหนึ่งๆ ท่านไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เดิน เพราะปกติท่านก็นั่งบ้างนอนบ้างเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ควรที่จะเดินเพื่อผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 2
    26 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ