บารมีในชีวิตประจำวัน ตอนที่ 35


    ไม่ใช่เพียงแต่ให้เชื่อหรืออ้างตำราโดย บอกว่า เมื่ออิริยาปถบรรพมีในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานก็ต้องดูรูปนั่ง หรือรู้รูปนั่ง ท่าทางที่นั่ง ที่นอน ที่ยืน ที่เดิน ซึ่งนั่นไม่เกื้อกูลต่อพระธรรมที่ทรงแสดงเรื่องของปรมัตถธรรมไว้โดยละเอียด เพราะแม้แต่โดยธาตุก็ไม่มีธาตุยืน ไม่มีธาตุเดิน ไม่มีธาตุนั่ง ไม่มีธาตุนอน มีแต่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มีวิญญาณธาตุ มีโลภธาตุ มีโทสธาตุ มีกามธาตุ มีธาตุต่างๆ ซึ่งมีลักษณะจริงๆ เป็นปรมัตถธรรมและเมื่อปัญญารู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเพิ่มขึ้น เจริญขึ้น มั่นคงขึ้น ก็ยิ่งรู้ว่า ไม่มีตัวตนที่จะทำอะไรได้เลยสักอย่างเดียว

    นี่คือการละคลายความเป็นตัวตน โดยการรู้เหตุปัจจัยของสภาพธรรม แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นว่า เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจของ สภาพธรรมนั้นๆ และจะรู้ด้วยว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือ ขณะที่สติระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นสติปัฏฐาน มิฉะนั้นแล้วไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา เพราะว่าไม่ทำให้ปัญญารู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

    สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาวิภังคปกรณ์ มีข้อความว่า

    นอกจากมรรคแล้ว เครื่องนำออกอย่างอื่นย่อมไม่มี แม้มรรคนั้นมิใช่เครื่อง นำออกก็หาไม่ เพราะฉะนั้น มรรคนั้นบัณฑิตจึงรู้ว่าเป็นสัจจะ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องนำออกอย่างแท้จริง

    ทุกคนกำลังมีกิเลสสะสมมามาก ก็อยากจะให้กิเลสนั้นหมดไป เบาบางไป ดับไป แต่จะไม่มีหนทางอื่นเลย นอกจากมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น เพราะฉะนั้น เครื่องที่จะนำกิเลสทั้งหลายออกอย่างอื่นนอกจากมรรคไม่มีเลย หรือใครคิดว่า มีหนทางอื่น วิธีอื่นที่จะดับกิเลส แต่ข้อความในพระไตรปิฎกและอรรถกถาแสดงไว้ชัดเจนว่า เครื่องนำออกอย่างอื่นย่อมไม่มี แม้มรรคนั้นมิใช่เครื่องนำออกก็หาไม่

    ยังปฏิเสธกำกับไว้อีกว่า ที่มรรคนั้นจะไม่ใช่เครื่องนำออกนั้น เป็นไปไม่ได้ แต่ละขณะที่สติเกิดระลึกลักษณะสภาพธรรม และสังเกตพิจารณาเพื่อที่จะแยกลักษณะของนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ออกจากลักษณะของรูปธรรมที่ปรากฏ นั่นเป็นหนทางที่จะนำกิเลสออกอย่างแท้จริง

    เพราะฉะนั้น มรรคนั้น บัณฑิตจึงรู้ว่าเป็นสัจจะ

    ต้องเป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด จึงจะรู้ว่า หนทางที่จะละกิเลสนั้นมีหนทางเดียว

    ข้อความต่อไปใน สัมโมหวิโนทนี วิภังคปกรณ์ มีว่า

    ทุกข์นั้นตัณหามิได้สร้างแล้วย่อมไม่มา ทุกข์ย่อมมีเพราะเหตุภายนอก มีเพราะพระอิศวรบันดาลก็หาไม่ ที่แท้ทุกข์ย่อมมีเพราะตัณหานี้

    เป็นข้อความสั้นๆ แต่เป็นชีวิตประจำวันของทุกคนซึ่งมีทุกข์ คงไม่มีใครเลย ที่เกิดมาแล้วไม่มีทุกข์ เพียงแต่ว่าจะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย จะทุกข์กายหรือทุกข์ใจ แต่มีใครบ้างที่จะพิจารณาอริยสัจจธรรมที่ว่า ทุกข์นั้นตัณหามิได้สร้างแล้วย่อมไม่มา

    ถ้าไม่มีตัณหา ทุกข์ย่อมเกิดไม่ได้ แม้แต่เพียงความเป็นเราด้วยตัณหา ความเป็นเราด้วยทิฏฐิ ความเป็นเราด้วยมานะ ก็ไม่พ้นจากโลภมูลจิตเลย

    ความเป็นเราด้วยทิฏฐิ คือ โลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ซึ่งเกิดร่วมกับสักกายทิฏฐิที่ยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน ในขณะนั้นควรจะพิจารณาว่า เป็นทุกข์แค่ไหน ทุกข์ทั้งหมดย่อมมาจากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน หรือเป็นเรา ซึ่งขณะนั้นเกิดร่วมกับโลภะ ความยินดีพอใจในความเห็น ในการยึดถืออย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีปัญญาที่สามารถรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา เพียงละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน และสามารถเข้าใจลักษณะของ สภาพธรรมในวันหนึ่งๆ ก็จะทำให้ความทุกข์เบาบางได้ แม้ในขั้นของการพิจารณาว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้นๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่ที่จะดับได้จริงๆ เป็นสมุจเฉทต้องถึงโสตาปัตติมรรคจิต จึงจะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน และความเห็นผิดต่างๆ ได้ แต่ถ้ายังไม่ถึง ในบางกาลก็ต้องเป็นทุกข์เพราะการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน และถ้ายึดถือเหนียวแน่นมาก ทุกข์นั้นก็ต้องเพิ่มมากขึ้น

    ก่อนที่การเจริญปัญญาจะสมบูรณ์ถึงขั้นเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นได้ ชีวิตวันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปตามกรรม และสภาพธรรมที่ปรุงแต่งให้สังขารธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ก็เกิดขึ้นเป็นไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ถ้าทุกคนมีความมั่นคง ในเรื่องของกรรม ในเรื่องของสภาพธรรมที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ชีวิตดำเนินไป ในแต่ละวัน ซึ่งมีทั้งสุขบ้าง ทุกข์บ้าง บางครั้งตื่นเต้นดีใจ บางครั้งเสียใจ ตกใจ สมหวัง ผิดหวัง มีทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย มีทั้งเรื่องเกิด เรื่องแก่ เรื่องเจ็บ เรื่องตาย ก่อนที่สติปัญญาแต่ละวันๆ จะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมโดยลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งๆ ไม่ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างไร สติปัฏฐานและปัญญาก็ต้องระลึกศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ

    เช่น ในขณะที่ได้ข่าวการสิ้นชีวิตอย่างกะทันหันของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานในขณะที่กำลังได้ยินเรื่องนั้น สติปัฏฐานก็สามารถเกิดขึ้น ไม่ใช่เฉพาะในขณะที่ได้ยินได้ฟังเรื่องนั้น เพราะว่าเป็นผู้ที่มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตาม สติระลึกลักษณะของเสียง ก็ได้ ระลึกลักษณะของเสียงขณะใด ขณะนั้นก็รู้ในสภาพที่ไม่ใช่นามธรรม เพราะว่า มีลักษณะของเสียงปรากฏเป็นเสียง

    ในขณะนี้เสียงที่กล่าวว่าเป็นรูปธรรม ก็เพราะว่ามีลักษณะของเสียงปรากฏนามธรรมเป็นสภาพรู้ ไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้น ไม่มีลักษณะของเสียง ไม่มีลักษณะของกลิ่น ในขณะที่นามธรรมเกิดขึ้น แต่ว่านามธรรมเป็นสภาพที่รู้เสียง

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เองมีเสียงซึ่งเป็นรูปธรรม และสติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของเสียงซึ่งเกิดปรากฏแล้วหมดไป สภาพของเสียงก็คือเท่านั้นเอง มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เสียงเกิดขึ้นและดับไป ในขณะนั้นสติปัฏฐานอาจจะระลึกลักษณะของได้ยิน เพราะในขณะที่เสียงปรากฏต้องมีสภาพรู้เสียง มีลักษณะที่รู้เสียง ในขณะที่ระลึกลักษณะของได้ยินซึ่งเป็นอาการรู้ เป็นลักษณะรู้ ในขณะนั้นก็ เป็นการระลึกถึงลักษณะของวิญญาณขันธ์

    แสดงให้เห็นว่า สติปัฏฐานจะระลึกลักษณะของขันธ์หนึ่งขันธ์ใดใน ๕ ขันธ์ ซึ่งชินหู คำว่า รูปขันธ์ ก็ไม่ใช่อื่นไปจากในขณะที่เสียงปรากฏและสติระลึก ขณะที่ได้ยิน กำลังรู้เสียง ขณะนั้นกำลังระลึกลักษณะของได้ยิน ขณะนั้นก็เป็นวิญญาณขันธ์

    ไม่ใช่เพียงแต่คล่องเรื่องชื่อ แต่ต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นขันธ์จริงๆ ในขณะที่สภาพธรรมนั้นๆ ปรากฏ

    และสำหรับวิญญาณขันธ์ มีตั้งแต่เกิดจนตาย สภาพรู้ ธาตุรู้ อาการรู้ เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีจิตซึ่งเป็นวิญญาณขันธ์จนกระทั่งถึงขณะสุดท้ายที่จุติจิตเกิด และดับไปสำหรับชาติหนึ่ง เพราะฉะนั้น สภาพรู้ ธาตุรู้ มีอยู่จนชิน ความชินทำให้ ไม่รู้ว่าในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ก็เป็นสภาพรู้ หรือในขณะที่เสียงกำลังปรากฏ ได้ยินในขณะนี้ก็เป็นสภาพรู้นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานจึงเป็นการระลึกถึงสภาพธรรมที่เป็นจริง มีจริง เป็นปกติในชีวิตประจำวัน จะกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น

    เรื่องของรูปขันธ์ก็มีปรากฏให้สติระลึก เรื่องของวิญญาณขันธ์ก็มีปรากฏให้สติระลึกได้ ในขณะที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งปรากฏทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ถ้าไม่ระลึกรู้ลักษณะของเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ก็ดับกิเลสไม่ได้

    เพราะฉะนั้น สำหรับบางท่าน สติปัฏฐานก็ระลึกรู้ลักษณะของความรู้สึก ไม่ว่าในขณะนั้นจะเป็นการเห็นอะไร ได้ยินได้ฟังเรื่องอะไร จะสุข จะทุกข์ จะดีใจ จะเสียใจ ลักษณะของสภาพความรู้สึกในขณะนั้นเป็นอย่างไร สติปัฏฐานก็สามารถระลึกรู้ได้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ความเสียใจก็เป็นสภาพความรู้สึก ที่ไม่สบายใจอย่างหนึ่ง ตรงกันข้ามกับความดีใจซึ่งเป็นความรู้สึกสบายใจนั่นเองเพราะฉะนั้น สติปัฏฐานระลึกลักษณะของความรู้สึกขณะใด ขณะนั้นก็เป็นเวทนาขันธ์นั่นเอง

    สำหรับลักษณะของสัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ เป็นเรื่องที่ต้องระลึกต่อไปอีก จะหยุด จะไม่ระลึก เป็นไปไม่ได้ที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า ในขณะที่จำเรื่องราวต่างๆ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ชั่วขณะที่จำได้ขณะนั้นก็เป็นสัญญาขันธ์ หรือได้แก่ สัญญาเจตสิกนั่นเอง

    เคยระลึกบ้างไหม ความต่างกันของสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ ถ้าไม่ได้ฟังและไม่ได้กล่าวถึงสภาพธรรมในชีวิตประจำวันบ่อยๆ ก็ไม่มีเครื่องที่จะทำให้พิจารณาระลึกได้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นขันธ์ ๕ ซึ่งจะต้องแยก แม้ในขณะนี้ เพื่อที่สติจะได้ระลึกและศึกษาจนกระทั่งรู้ชัดขึ้น

    นามขันธ์ทั้ง ๔ ต้องเกิดร่วมกัน คือ ทั้งเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ นามขันธ์ทั้ง ๔ ไม่แยกกันเลยในขณะนี้ และสติปัฏฐานต้องระลึกลักษณะของนามขันธ์ทั้ง ๔ เพื่อละคลายความเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เอง การที่จะรู้ว่าลักษณะอย่างใดเป็นสัญญาเจตสิก เป็นสัญญาขันธ์ และลักษณะอย่างใดเป็นเจตสิกอื่นๆ ซึ่งเป็นสังขารขันธ์ จะต้องเริ่มสังเกตรู้ลักษณะของสัญญาอย่างหยาบๆ ไปก่อน เช่น รู้ว่าขณะใดที่ไม่ลืม ขณะนั้นคือจำ

    นี่กำลังมีสัญญาขันธ์ ขณะใดที่ไม่ลืมขณะนั้นคือจำ ขณะนี้ทางตาที่รู้ว่า เห็นสิ่งใด ขณะนั้นคือจำ รู้ไหมว่าขณะนี้เห็นอะไร ถ้ารู้ว่าเห็นอะไร ขณะนั้นคือจำ จึงรู้ว่าเห็นอะไร และขณะได้ยินเสียงเป็นเรื่องราวของบุคคลนั้นบุคคลนี้ ในขณะที่ รู้เรื่องราวนั้นในขณะนั้นก็คือจำ ถ้าไม่จำจะรู้เรื่องได้ไหม เสียงผ่านไปทีละคำๆ จะไม่เป็นเรื่องเลยถ้าจำไม่ได้ แต่นี่เพราะจำ ในขณะที่ได้ยินเสียงจึงได้รู้ว่าเรื่องอะไร นี่คือลักษณะของสัญญาเจตสิกซึ่งเป็นสัญญาขันธ์

    ขณะที่ได้กลิ่นและรู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร ขณะนั้นก็คือจำ ขณะที่รู้นั้นคือขณะที่จำ ขณะที่ลิ้มรสและรู้ว่าเป็นรสอะไร วันนี้รับประทานอาหารอะไรบ้าง วันนี้รับประทานผลไม้อะไรบ้าง ที่ตอบว่ารับประทานมะม่วง หรือรับประทานองุ่น หรือรับประทานเงาะ นั่นคือจำรสที่ปรากฏ ถ้าไม่จำจะไม่รู้เลยว่าขณะนั้นเป็นรสอะไร

    เพราะฉะนั้น ในขณะใดที่จำ ต่อไปนี้ก็ระลึกได้เลยว่า ขณะที่จำนี่เองเป็นสัญญาขันธ์ หรือสัญญาเจตสิก ขณะที่กระทบสัมผัสและรู้ว่ากระทบสัมผัสอะไร ขณะนั้นก็จำเหมือนกัน เช่น กระทบสัมผัสก็รู้แล้วว่าสัมผัสอะไรทั้งๆ ที่แข็ง ที่จำลักษณะที่แข็งเป็นสัญญาอย่างหนึ่งอย่างใด คือ รู้ว่ากระทบสัมผัสอะไร ขณะนั้นก็เป็นสัญญาเจตสิกที่เป็นสัญญาขันธ์นั่นเอง

    นี่เป็นสิ่งที่สติจะต้องระลึก เพื่อเห็นสภาพที่ไม่ใช่เราในขณะที่จำ

    ส่วนสังขารขันธ์ คือ สภาพธรรมที่ปรุงแต่งหลังจากที่จำรู้ว่าเป็นอะไรแล้ว ขณะนี้เห็นแมวตัวหนึ่ง เป็นสัญญาหรือเปล่าที่รู้ว่าเป็นแมว เป็น รู้สึกอย่างไรกับ แมวตัวนั้น สวย ชอบ น่ารัก นั่นคือสังขารขันธ์ แต่บางคนไม่ชอบแมว สังขารขันธ์ ก็ปรุงแต่งให้ไม่น่ารัก หรือน่ารังเกียจก็แล้วแต่ แมวตัวนั้นอาจจะผอมหรือพิกลพิการต่างๆ เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นแล้วจำว่าเป็นสิ่งใด แต่สังขารขันธ์ปรุงแต่งเป็นความชอบ ความไม่ชอบ เป็นความรัก เป็นความชัง เป็นความเมตตาหรือความกรุณา เป็นความอาฆาตพยาบาท เป็นความคิดดีหรือคิดร้ายในสิ่งที่ปรากฏซึ่งสัญญากำลังจำ

    นี่คือความต่างกันของสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ ซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ปัญญาไม่พิจารณาลักษณะสภาพธรรมแต่ละอย่าง ไม่มีทางที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมในขณะที่จำ ในขณะที่ปรุงแต่งเป็นรักบ้าง ชังบ้าง คิดดี คิดร้ายบ้างว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างนั่นเอง

    ในชีวิตประจำวันของยุคนี้สมัยนี้ทุกคนก็ดูโทรทัศน์ เวลาที่ดูโทรทัศน์จำใคร ในโทรทัศน์ นั่นคือ สัญญาขันธ์ รู้เรื่องเพราะว่ามีทั้งภาพและเสียง ชอบหรือไม่ชอบ ในขณะนั้น มีความห่วงใย กังวล ตื่นเต้น ตกใจอะไรบ้างจากเห็นและได้ยินเรื่องราวในโทรทัศน์ นั่นคือสังขารขันธ์กำลังปรุงแต่งพร้อมกับสัญญาที่กำลังจำ ซึ่งจะต้อง แยกสังเกตรู้ จนกว่าจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

    นั่นคือช่วงเวลาพักผ่อนยามว่างขณะที่ดูโทรทัศน์ นอกจากนั้นคือขณะที่ ทำธุรกิจการงานต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องของสัญญาจำทั้งนั้น ตั้งแต่จำว่าไปไหน นั่งที่ไหน โต๊ะไหน พูดกับใคร เรื่องอะไร ปากกา ดินสอ สมุดอยู่ที่ไหน โทรศัพท์ วันนี้มี แขกมาก ยุ่งมาก เรื่องมาก ติดต่อมาก ต้องเดินทาง ต้องคิดตัวเลข หรืออะไรต่างๆ ทั้งหมด ขณะที่จำคือเห็นแล้วรู้ และสังขารขันธ์ก็ปรุงแต่งเป็นเรื่องราวเป็นความคิดตามธุรกิจการงานของแต่ละคน

    นี่คือชีวิตในวันหนึ่งๆ ที่ทุกขณะจะไม่พ้นจากขันธ์ ๕ ตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งกว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นและสังเกตพิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทุกคนจะเห็นได้ว่า ชีวิตชาติหนึ่งๆ มากหรือน้อย สำหรับการที่จะอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น เพราะว่าวันหนึ่งๆ เต็มไปด้วยความวุ่นวายของธุรกิจการงานต่างๆ และยังมีการการรื่นเริง การขวนขวายเพลิดเพลินพักผ่อนต่างๆ การที่จะสนุกสนานโดยวิธีฟังเพลงบ้าง หรือวาดภาพ ต่างๆ บ้าง หรือซื้อของบ้าง ปรุงอาหารบ้าง ปลูกต้นไม้บ้าง เพราะฉะนั้น ชีวิตของชาติหนึ่งซึ่งปัญญาจะเจริญขึ้น ที่จะอบรมเจริญความเห็นถูกในลักษณะของ สภาพธรรมจะมากหรือจะน้อย เพราะบางชีวิตก็สั้นมาก บางชีวิตก็อาจจะยืนยาวพอสมควร แต่ก็เป็นชีวิตที่ไร้สาระ เพราะไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    แต่ละคนจะต้องจากโลกนี้ไป หมดสภาพความเป็นบุคคลนี้ สะสมกุศลบ้างอกุศลบ้างมากน้อยต่างกันไป และสิ่งที่แน่นอนที่สุด คือ ต้องจากเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆ ของโลกนี้โดยสิ้นเชิงในวันหนึ่ง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรจะติดตัวไปก็ ควรจะเป็นการเจริญกุศล และการเข้าใจสภาพธรรมเพิ่มขึ้นโดยการฟัง การพิจารณา และการอบรมเจริญสติปัฏฐาน

    บางท่านสะสมสมบัติไว้มากมาย เช่น มีความพอใจที่จะสะสมภาพเขียนต่างๆ แต่ว่ารูปทั้งหลายไม่ใช่สภาพรู้ รูปทั้งหลายไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของจะมีความหวงแหนรักษาสมบัตินั้นเพียงใด รูปธรรมก็เกิดขึ้นและดับไปๆ โดยไม่มีใครเป็นเจ้าของ แม้ว่าใครจะคิดว่าเป็นเจ้าของสมบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม แต่ตามความ เป็นจริงแล้วรูปก็เกิดดับ แม้ว่าเจ้าของจะจากไปหรือไม่จากไป รูปก็เกิดขึ้นและดับไปๆ โดยที่ว่าใครจะหลงคิดว่าเป็นเจ้าของรูปหนึ่งรูปใด ก็เป็นแต่เพียงการยึดถือ ไม่ว่าจะเป็นรูปภายนอก เช่น สมบัติต่างๆ หรือรูปร่างกายซึ่งทุกคนยึดครองว่าเป็นของเรา รูปก็ไม่ใช่สภาพรู้ รูปเพียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไปเท่านั้นเอง

    สิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นเขา ในที่สุดก็ต้องถึงกาลที่จะต้องแตกสลาย กลายสภาพเป็นกองกระดูกหรือเถ้าถ่าน ซึ่งเป็นความจริงที่ทุกคนประสบอยู่ ฉะนั้น สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ควรที่จะได้สติจากการตาย ซึ่งท่านได้รับทราบ เวลาที่มีการสิ้นชีวิตของบุคคลหนึ่งบุคคลใด โดยพิจารณาจิตในขณะนั้นว่า ในขณะที่ได้ทราบข่าวนั้นจิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของสติปัญญา ที่จะระลึกรู้ได้ ในขณะนั้นถ้าสติเกิดจะรู้ว่าโยนิโสมนสิการคืออย่างไร และ อโยนิโสมนสิการคืออย่างไร แต่ถ้าสติไม่เกิด จะไม่สามารถรู้ได้เลย

    เวลาที่ได้ข่าวคนสิ้นชีวิต ทุกคนก็คงจะบางครั้งตกใจ ไม่คาดฝัน บางครั้ง ก็รำพัน หรือเป็นทุกข์เศร้าหมอง หม่นหมอง ขณะนั้นอโยนิโสมนสิการ เป็นอกุศล ไม่เป็นประโยชน์เลย แต่ถ้าสติเกิดระลึกได้ในขณะนั้นก็รู้ว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ความโศกเศร้า ความอาลัยอาวรณ์ ความเสียใจ ไม่มีประโยชน์อย่างใดเลยทั้งสิ้น ควรที่จะเบิกบานใจที่มีโอกาสเข้าใจพระธรรม และได้เห็นว่าพระธรรมที่ทรงแสดงนั้นเป็นสัจจธรรม แทนที่จะเศร้าโศกเสียใจ ก็ควรที่จะได้รับประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ไม่เที่ยงและเป็นอนัตตา

    การฟังพระธรรมจะมีประโยชน์มาก เมื่อน้อมนำพระธรรมนั้นมาพิจารณาจิตใจของตนเอง เช่น ถ้าได้ข่าวการสิ้นชีวิตของใครก็ตาม ก็ย้อนระลึกถึงตนเองนอกจากบุคคลนั้น เพราะว่าผู้ตายอาจจะเป็นผู้ที่มีโลภะมาก ชอบภาพเขียน ชอบดนตรี ชอบสิ่งสวยงาม ชอบความเพลิดเพลินต่างๆ และตัวท่านเองเหมือนอย่างนั้นหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีโลภะมาก มีความติดข้องในทรัพย์สมบัติ ก็ควรที่จะได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งต่างๆ ปรากฏทางตา จึงเกิดความยินดีพอใจชั่วในขณะที่เห็น เวลาที่ปรากฏทางหูเป็นเสียงที่ไพเราะ ก็ทำให้เกิดความยินดีพอใจชั่วขณะที่ได้ยิน เสียงนั้น หรือว่ากลิ่นหอมๆ ที่ปรากฏ ก็ทำให้เกิดความพอใจเพียงชั่วขณะที่สั้นมาก คือ ชั่วขณะที่กลิ่นนั้นปรากฏ แม้รส แม้สัมผัส ก็เช่นเดียวกัน

    เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่า แม้ว่ารูปจะเกิดขึ้นและดับไปเร็วมาก สักเท่าไรก็ตาม ความพอใจก็ยังติดตามรูปที่ปรากฏเร็วอย่างนั้น จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น และสำหรับผู้ที่มากด้วยโทสะ ซึ่งแต่ละท่านจะต้องพิจารณาตนเองว่า เป็นผู้ที่มักโกรธขุ่นเคืองเดือดร้อนใจบ่อยๆ หรือว่าผูกโกรธใครไว้บ้าง ก็จะได้พิจารณาตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงก็หามีบุคคลนั้นไม่ จะมีบุคคลนั้นก็เพียงชั่วชาติเดียว ที่ท่านพบเท่านั้นเอง หลังจากนั้นแล้วไม่มีอีกเลย

    จะโกรธหลังจากที่บุคคลนั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว ควรหรือไม่ควร ในเมื่อไม่มี บุคคลนั้นอีก ตราบใดที่ยังมีบุคคลนั้นให้เห็น ก็อาจจะทำให้ท่านนึกโกรธหรือผูกโกรธ แต่ถ้าคิดได้ว่า บุคคลนั้นอยู่ในโลกนี้ไม่นานและจะจากไปโดยสิ้นเชิง จะไม่มีบุคคลนั้นอีกเลย ควรจะโกรธบุคคลนั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้วหรือไม่ ถ้าไม่ควร แม้ในขณะนี้เอง ก็เป็นชั่วขณะที่นามธรรมและรูปธรรมเกิดดับเท่านั้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 2
    3 พ.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ