บารมีในชีวิตประจำวัน ตอนที่ 14


    ถ้าพิจารณาว่า ต้องอดทนต่ออากาศ ซึ่งทุกคนก็ต้องมีสิ่งแวดล้อม คือ อากาศ ร้อนบ้าง หนาวบ้าง อากาศที่เปลี่ยนแปลง บางคนก็บ่น ขณะนั้นสติสัมปชัญญะ ไม่เกิด ไม่รู้ว่า เพียงแต่บอกว่าร้อนจัง ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิตแล้ว

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่สติสัมปชัญญะละเอียด ก็จะรู้กายวาจาที่กระทำใน วันหนึ่งๆ ว่า ในขณะนั้นขาดความอดทนหรือมีความอดทนเพิ่มขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากอากาศก็เป็นเรื่องของอาหาร เนื่องจากอาหารก็มีหลายรส เค็มไป เปรี้ยวไป เผ็ดไป เย็นไป ร้อนไป หรือว่าขม เฝื่อน หวาน ขณะนั้นมีความอดทนเวลาที่ได้ รับกระทบกับรสต่างๆ หรือว่าบ่น หงุดหงิด และเดือดร้อน ในขณะนั้น ถ้าสติสัมปชัญญะเกิดจริงๆ จะรู้ได้ว่า ผู้ที่อบรมขันติบารมีจะทำอย่างไรในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ที่เคยบ่น ขณะที่กำลังจะบ่น บางท่านก็อ้าปากค้าง เพราะว่าสติสัมปชัญญะเกิด ทำให้ไม่บ่น ถ้าท่านผู้ใดยังไม่ได้สังเกตตัวเองว่า เป็นคนที่บ่นมากหรือเปล่า ต่อไปนี้ก็จะ ได้สังเกตอกุศลที่ละเอียดว่ามีมากไหม เพราะว่าตัวท่านเองเท่านั้นที่จะทราบ นอกจากนั้น ยังต้องอดทนต่อการเจ็บไข้ปวดหัวตัวร้อน หรือว่าเมื่อย หิว หรือแม้แต่อิ่มเกินไป ในขณะนั้นก็มีทางที่จะทำให้รู้ได้ว่า มีขันติ ความอดทน มากน้อยเพียงใด

    เพราะฉะนั้น ขันติบารมี คือ ขณะใดที่สติสัมปชัญญะเกิดและรู้ลักษณะ สภาพของจิต และถ้ารู้ว่าเป็นอกุศลก็จะเปลี่ยนเป็นกุศลได้ มีความอดทนเพิ่มขึ้น ที่เคยบ่นก็จะไม่บ่น หรือที่เคยหงุดหงิดก็จะรู้ว่า หงุดหงิดไม่มีประโยชน์เลย ที่มี ความไม่พอใจก็จะรู้ว่า ความไม่พอใจในขณะนั้นเป็นอกุศลที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ก็จะทำให้ผู้ที่สติสัมปชัญญะเกิดสามารถมีขันติบารมีเพิ่มขึ้น

    ถ้ามีท่านผู้ใดบอกว่า สิ่งนั้นไม่สวยเลย อาจจะเป็นคำพูดประจำวัน ขณะนั้น ถ้าพิจารณาจิตทราบไหมว่าเป็นอกุศลจิตแล้ว แม้เพียงขณะที่ไม่พอใจ ขณะที่บอกว่า ไม่สวย ไม่ดี ไม่อร่อย คำพูดธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ขณะนั้นจิตเป็นอกุศล เพราะว่าขณะนั้นเป็นความไม่แช่มชื่น

    นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า ขันติบารมีต้องมีมากจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะว่านอกจากจะอดทนกับสภาพสิ่งแวดล้อมที่อาศัย ยังต้องอดทนต่อบุคคล ซึ่งมีอุปนิสัยต่างๆ บางคนเป็นคนที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างเร็ว ก็ต้องอดทนต่อคนอื่นที่ล่าช้า หรือคนที่มีอุปนิสัยไม่เหมาะไม่ควร เพราะฉะนั้น ก็จะต้องอดทนต่อความไม่ดี ความไม่เหมาะไม่ควร โดยที่ขณะนั้นจะไม่บ่นว่า แต่สติสัมปชัญญะจะระลึกได้ ที่จะไม่วิจารณ์ ไม่ตำหนิ และขณะนั้นคิดด้วยเมตตาที่จะสอนหรือเกื้อกูลแนะนำ ในโอกาสหรือในกาลที่สมควร

    เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งๆ ขาดขันติบารมีไม่ได้เลย ยังต้องมีขันติบารมี ในเหตุการณ์ต่างๆ อีก เช่น อดทนต่อคำติหรือคำชมจากบุคคลอื่นในการกระทำของเราเอง เพราะว่าแต่ละคนจะทำดีเสมอไปนั้นเป็นไปไม่ได้ บางครั้งก็ทำสิ่งซึ่งไม่ถูก ไม่ควร ไม่ดี เวลาที่มีบุคคลอื่นกล่าววิจารณ์ หรือติชม ผู้นั้นต้องมีขันติที่จะอดทนต่อคำติหรือคำชมของคนอื่นซึ่งมีต่อตน และยังต้องอดทนต่อกรรมหรือการกระทำความชั่วของคนอื่นด้วย

    ท่านผู้ฟังคงจะได้ทราบเรื่องของภัยพิบัติต่างๆ ในประเทศไทย และเกิด ความเมตตาสงสารบุคคลซึ่งได้รับภัยพิบัตินั้นๆ แต่ขอให้คิดให้ละเอียดกว่านั้น ทำไมจะสงสารเพียงเฉพาะตอนที่บุคคลนั้นๆ ได้รับผลของกรรมที่เป็นอกุศลกรรม ที่ได้กระทำแล้ว ทำไมไม่สงสารก่อนหน้านั้น คือ ในขณะที่บุคคลนั้นๆ ทำอกุศลกรรม ทำไมต้องรอจนกระทั่งบุคคลนั้นได้รับผลของอกุศลกรรมแล้วจึงจะสงสาร

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด ก็สงสารตั้งแต่บุคคลหนึ่งบุคคลใดทำอกุศลกรรม ไม่ต้องไปรอจนกระทั่งเขาได้รับภัยพิบัติต่างๆ แล้วจึงเกิดความเมตตาสงสาร แต่สงสารตั้งแต่เริ่มที่บุคคลนั้นทำเหตุ คือ อกุศลกรรม เพราะว่าคนที่ ทำอกุศลกรรมเป็นหนี้ความทุกข์ยากลำบากจากกรรมของตน ซึ่งวันหนึ่งวันใดต้องได้รับผลของกรรมนั้น

    นอกจากนั้น ถ้าจะพิจารณาขันติ ความอดทน ก็เป็นมารยาทสากล ซึ่งทุกคนต้องชื่นชมคนที่มีความอดทน เช่น ในการเดินทางร่วมกัน ก็ต้องมีอุปสรรคตั้งแต่ เรื่องของที่นั่ง ที่พัก เรื่องของยานพาหนะ เรื่องเวลานัดหมายต่างๆ เพราะฉะนั้น คนที่ไม่บ่นและไม่กล่าวคำตำหนิใดๆ เลย แต่มีความเห็นใจ มีความเข้าใจ ช่วยเหลือคนอื่น ขณะนั้นก็ต้องเป็นที่นิยม เป็นที่สรรเสริญของบุคคลอื่น เพราะทุกท่านก็คงจะทราบว่า อกุศลธรรมทั้งหมดไม่อดทน อกุศลธรรมทั้งหลาย ทั้งโลภะ ทั้งโทสะ อดทนไม่ได้ เพราะฉะนั้น เฉพาะโสภณเจตสิก สภาพของเจตสิกที่ดีงามเท่านั้นที่อดทน

    เวลาเห็นใครที่ดีพร้อม ไม่ว่ากาย วาจา ใจ ก็ทราบได้ว่า เป็นผู้ที่อดทนต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้ เพราะโสภณเจตสิกของบุคคลนั้นเจริญแล้วนั่นเอง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพของโสภณเจตสิกที่เจริญขึ้นเมื่อกุศลจิตเกิด และเวลาที่ขาดความอดทน ก็เป็นอกุศลนั่นเองซึ่งอดทนไม่ได้

    นอกจากนั้น ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดอีก เป็นชีวิตประจำวันของท่านเอง คือควรจะมีความอดทนแม้แต่การไม่พูดในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ มีเรื่องหลายเรื่อง ซึ่งก็น่าจะบอกเล่าให้คนอื่นทราบ แต่ควรพิจารณาก่อนว่า เรื่องนั้นเป็นประโยชน์ไหม ถ้าไม่เป็นประโยชน์ มีความอดทนอดกลั้นที่จะไม่เล่าในขณะนั้นไหม เพราะเห็นแล้วว่าไม่เป็นประโยชน์แก่ใครทั้งสิ้น

    ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของสติสัมปชัญญะซึ่งทุกท่านก็จะพิจารณาสังเกตได้ว่า มีเพิ่มขึ้นมากไหม

    ผู้ฟัง ในชีวิตประจำวัน อย่างการฟังธรรม มีสิ่งที่ทำให้ขาดขันติบ่อย หลังๆ ผมจึงใช้วิธีใหม่ คือ ผมโยนิโสมนสิการถูกต้องว่า นี่คือวิบากของเรา แทนที่เราจะได้ฟังธรรมต่อไป ก็มีอะไรมาให้สะดุดๆ เราคงเคยทำกรรมอะไรไว้กับใคร แม้ฟังธรรมก็ยังต้องมีสะดุดกันอยู่ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ต้องใช้ขันติในชีวิตประจำวัน สุ. ต่อไปก็คงจะขอบคุณที่ช่วยทำให้ขันติของท่านผู้ฟังเจริญขึ้น จากการ ไม่มีขันติ จนกระทั่งค่อยๆ พิจารณา และก็เพิ่มขันติขึ้น

    ขุททกนิกาย จริยาปิฎก ปกิณณกกถา มีข้อความว่า

    อนึ่ง ชื่อว่าขันตินี้ เป็นอาวุธไม่เบียดเบียนคนดี ในเพราะสมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ เพราะกำจัดความโกรธอันเป็นปฏิปักษ์ต่อคุณธรรมไม่มีส่วนเหลือ เป็นเครื่องประดับของผู้สามารถครอบงำผู้อื่นได้ เป็นพลสัมปทาของสมณพราหมณ์ เป็นสายน้ำกำจัดไฟคือความโกรธ เป็นเครื่องชี้ถึงความเกิดแห่งกิตติศัพท์อันดีงาม เป็นมนต์และยาวิเศษระงับพิษคำพูดของคนชั่ว เป็นปกติของผู้มีปัญญายอดเยี่ยมของ ผู้ตั้งอยู่ในสังวร เป็นสาครเพราะอาศัยความลึกซึ้ง เป็นฝั่งของมหาสาครคือโทสะ เป็นบานประตูปิดประตูอบาย เป็นบันไดขึ้นสู่เทวโลกและพรหมโลก เป็นภูมิที่อยู่ของคุณทั้งปวง เป็นความบริสุทธิ์กาย วาจา และใจ อย่างสูงสุด พึงมนสิการด้วยประการฉะนี้

    ฟังแล้วก็เห็นจริง คือ อนึ่ง ชื่อว่าขันตินี้ เป็นอาวุธไม่เบียดเบียนคนดี คือทำลายอกุศล คนดีเมื่อมีขันติแล้วจะไม่มีความเดือดร้อนใจ เพราะฉะนั้น ขันติ เป็นอาวุธที่ไม่เบียดเบียนคนดี เพราะว่า สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ เพราะกำจัดความโกรธอันเป็นปฏิปักษ์ต่อคุณธรรมไม่มีส่วนเหลือ

    ถ้าสามารถอดทนได้ในขณะนั้น โทสะก็ไม่เกิด วาจาที่ไม่ดีก็ไม่มี แม้เพียง เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่มี ไม่ต้องกล่าวถึงวาจาที่รุนแรง เพราะแม้แต่เพียงคำเล็กน้อยที่ เกิดจากใจที่โกรธก็ไม่มี

    เป็นเครื่องประดับของผู้สามารถครอบงำผู้อื่นได้

    หลายท่านสนใจเครื่องประดับ แต่ลืมว่า ถึงแม้จะประดับเครื่องประดับสวยงามสักเท่าไร ถ้ากายวาจาไม่ดี ไม่สวยเลย แม้ว่าเครื่องประดับจะสวย ตรงกันข้าม ความไม่โกรธหรือขันติ เป็นเครื่องประดับของผู้สามารถครอบงำผู้อื่นได้ ไม่ต้องมีเครื่องประดับ ก็ยังงามกว่าผู้ที่มีเครื่องประดับแต่ไม่มีขันติ เพราะกาย วาจา ไม่งาม

    เป็นพลสัมปทาของสมณพราหมณ์

    เป็นการถึงพร้อมด้วยกำลังของผู้สงบ คนที่สงบไม่ต้องมีเรื่องวุ่นวายกับใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ความสงบจากอกุศล เป็นพลสัมปทาของสมณพราหมณ์

    เป็นสายน้ำกำจัดไฟคือความโกรธ

    ถ้าจะโกรธ แต่มีขันติบารมีรู้ว่าไม่โกรธจะดีกว่า ขณะนั้นจะทำให้เพิ่มความ อดกลั้นต่ออกุศลต่างๆ ได้สะดวกขึ้น เพิ่มขึ้น ง่ายขึ้น จนกระทั่งเป็นอุปนิสัย

    เป็นเครื่องชี้ถึงความเกิดแห่งกิตติศัพท์อันดีงาม เป็นมนต์และยาวิเศษระงับ พิษคำพูดของคนชั่ว

    เวลาที่เกิดโกรธและพูดคำที่ไม่ดี ลืมแล้วใช่ไหมว่า ใครไม่ดีในขณะที่พูดไม่ดี ก็คือตัวเอง ตนเองเท่านั้นที่เป็นคนชั่ว ใครที่พูดชั่ว คนนั้นคือคนชั่ว เพราะฉะนั้น ขันติ เป็นมนต์และยาวิเศษระงับพิษคำพูดของคนชั่ว

    ข้อความต่อไป

    เป็นปกติของผู้มีปัญญายอดเยี่ยมของผู้ตั้งอยู่ในสังวร

    ทุกท่านอยากจะมีปัญญา แต่ไม่อยากจะอดทน เพราะฉะนั้น ก็ยากที่จะ มีปัญญาได้ เพราะกว่าจะมีปัญญาได้ต้องอดทนมากจริงๆ เช่น อดทนต่อการที่จะ ฟังพระธรรม และพิจารณาความลึกซึ้ง ความละเอียด และประโยชน์ของพระธรรมๆ จริงๆ จนกว่าจะเห็นว่า ควรจะประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ใช่เพียงฟัง แต่ เป็นปกติของผู้ มีปัญญายอดเยี่ยม เมื่อต้องการมีปัญญา ก็ต้องเริ่มเป็นผู้ที่อดทน มีขันติบารมี

    เป็นสาครเพราะอาศัยความลึกซึ้ง

    ขันติเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งจริงๆ เพราะว่าอกุศลเกิดบ่อยกว่ากุศล เพราะฉะนั้น ยิ่งสติสัมปชัญญะเกิดเห็นว่าขณะใดเป็นอกุศล และมีความอดทนต่อการที่จะไม่เป็นอกุศลนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ ความริษยา ความตระหนี่ ความสำคัญตน ขณะนั้นจะเห็นความลึกซึ้งจริงๆ ว่า ถ้าไม่รู้ ไม่สามารถบำเพ็ญขันติบารมีได้

    เพราะฉะนั้น ขันติบารมีและสติสัมปชัญญะจึงเป็นสิ่งทีละเอียดมาก เพราะ จะทำให้อดทนต่ออกุศลต่างๆ ได้

    เป็นฝั่งของมหาสาครคือโทสะ เป็นบานประตูปิดประตูอบาย

    หลายคนกลัวอบายภูมิ ที่ทำกุศลต่างๆ ก็เพราะไม่อยากเกิดในอบายภูมิ แต่ต้องทราบว่า ถ้าจะไม่เกิดในอบายภูมิได้ต้องเป็นผู้ที่อดทน เพราะความอดทน เป็นบานประตูปิดประตูอบาย

    เป็นบันไดขึ้นสู่เทวโลกและพรหมโลก เป็นภูมิที่อยู่ของคุณทั้งปวง เป็นความบริสุทธิ์กาย วาจา และใจ อย่างสูงสุด พึงมนสิการด้วยประการฉะนี้

    คงต้องคิดแล้วคิดอีกว่า จะมีความอดทนเพิ่มขึ้นดีไหม และทุกสถานการณ์ด้วย ถ้าฝึกหัดบ่อยๆ อบรมบ่อยๆ โสภณเจตสิกก็เจริญขึ้นจนกระทั่งเป็นปกติ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า บางท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยอดทนมากกว่าคนอื่น และที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะการอบรมนั่นเอง

    ข้อความต่อไปมีว่า

    อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้เดือดร้อนในโลกนี้ เพราะไม่มีขันติสมบัติ และเพราะประกอบธรรมอันทำให้เดือดร้อนในโลกหน้า หากว่าทุกข์มีความเสียหายของผู้อื่นเป็นนิมิตเกิดขึ้น อัตภาพอันเป็นเขตของทุกข์นั้น และกรรมอันเป็นพืชของ ทุกข์นั้นปรุงแต่งแล้ว นั่นเป็นเหตุแห่งความเป็นหนี้แห่งทุกข์นั้น เมื่อไม่มีผู้ทำให้เสียหาย ขันติสัมปทาของเราจะเกิดได้อย่างไร

    น่าคิด ใช่ไหม ตามข้อความที่ว่า เมื่อไม่มีผู้ทำให้เสียหาย ขันติสัมปทาของเราจะเกิดได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ถ้าใครทำให้เสียหาย ทำให้เดือดร้อน แทนที่จะโกรธ ก็รู้ว่า เป็นการเพิ่มพูนขันติบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น

    แม้หากว่าบัดนี้ผู้นี้ไม่ทำให้เสียหาย ผู้นั้นก็ได้ทำอุปการะแก่เรามาก่อน อีกอย่างหนึ่ง ผู้ไม่ทำให้เสียหายนั่นแหละมีอุปการะ เพราะมีขันติเป็นนิมิต

    ข้อความต่อไปควรพิจารณาที่ว่า

    สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเช่นบุตรของเรา ใครจะโกรธในความผิดที่บุตรทำได้

    พอที่จะนึกอย่างนั้นได้ไหมว่า คนที่ทำให้โกรธนั้นเหมือนบุตร และจะโกรธบุตรลงไหม ในเมื่อเป็นบุตรของเรา ค่อยๆ พิจารณาก็คงจะเห็นตามความเป็นจริงได้

    ข้อความต่อไป

    ทำความเสียหายด้วยธรรมใด และทำในที่ใด ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมดก็ดับไปในขณะนั้นเอง

    เป็นทางที่จะพิจารณาเพื่อให้เกิดขันติ ความอดทน และเป็นกุศลเพิ่มขึ้น คือ ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำความเสียหาย ความเดือดร้อนให้ การกระทำของเขานั้นๆ ก็ดับไปในที่นั้นๆ ทำไมเราจึงยังโกรธต่อ ในเมื่อการกระทำนั้นหมดแล้ว จบแล้ว ดับแล้ว ขณะนี้เขาไม่ได้ทำอย่างนั้นแล้ว แต่ยังอุตส่าห์ไปคิดถึงเรื่องเก่าที่เขาทำ เพื่อที่ตนเองจะโกรธต่อไปอีก

    แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีการพิจารณาอย่างถูกต้อง อย่างแยบคาย จะพิจารณาได้ว่า ใครก็ตามที่ ทำความเสียหายด้วยธรรมใด และทำในที่ใด ธรรมเหล่านั้น แม้ทั้งหมดก็ดับไปในขณะนั้นเอง

    บัดนี้ใครพึงทำความโกรธแก่ใคร ใครทำผิดแก่ใคร เพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา พิจารณาดังนี้ ควรเพิ่มพูนขันติสัมปทาด้วยประการฉะนี้

    ท่านผู้ฟังเป็นผู้ที่ฟังพระธรรม และเข้าใจพระธรรมมากกว่าอีกหลายคน ที่ไม่ได้ฟังและไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ท่านจะโกรธคนที่ไม่รู้ ในเมื่อตัวท่านเป็นผู้ที่รู้แล้ว หรือว่าเข้าใจพระธรรมแล้ว เป็นสิ่งที่สมควรไหม

    ใครก็ตามที่มีความไม่รู้และไม่ได้ฟังพระธรรม ก็เป็นธรรมดาที่บุคคลนั้นจะต้องทำสิ่งที่ผิดๆ หรือทำสิ่งที่ไม่สมควร หรือทำสิ่งที่เสียหายแม้กับตัวท่าน แต่ถ้าท่านพิจารณาว่า เพราะบุคคลนั้นไม่รู้จึงทำ และเมื่อท่านเองศึกษาแล้ว พิจารณาธรรมเข้าใจแล้ว รู้แล้ว ยังจะโกรธคนที่ไม่รู้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลย ถ้าเป็นในลักษณะนี้ ขณะนั้นท่านจะมีขันติบารมีที่ว่า ไม่ผูกโกรธ และอภัยให้บุคคลนั้นด้วย

    ข้อความต่อไปมีว่า

    เมื่อผู้ทำความผิดมีคุณ เราไม่ควรทำความโกรธในผู้มีคุณ เมื่อผู้ทำความผิด ไม่มีคุณ ควรแสดงความสงสารเป็นพิเศษ ยศอันเป็นคุณของเราย่อมเสื่อม เพราะความโกรธ สิ่งเป็นข้าศึกทั้งหลายมีผิวพรรณเศร้าหมองและการอยู่เป็นทุกข์ เป็นต้น ย่อมมาถึงเราด้วยความโกรธ

    ทรัพย์สมบัติที่มี เสื่อมได้ หมดไปได้ พินาศไปได้ พังไปได้เพราะความโกรธ ชื่อเสียงคุณความดีต่างๆ ที่มี ก็อาจจะหมดสิ้นไปเพราะความโกรธ ในขณะที่ แสดงกิริยาอาการที่ไม่สมควร หรือการกระทำที่ไม่สมควร เพราะฉะนั้น จะเห็นประโยชน์ของขันติบารมี

    อนึ่ง ชื่อว่าความโกรธนี้ กระทำสิ่งไม่เป็นประโยชน์ได้ทุกอย่าง ยังประโยชน์ ทั้งปวงให้พินาศ เป็นข้าศึกมีกำลัง เมื่อมีขันติข้าศึกไรๆ ก็ไม่มี

    ควรพิจารณาความโกรธในชีวิตประจำวันของท่านว่า ส่วนใหญ่เกิดจากอะไร ซึ่งโดยมากเกิดจากการเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ถ้าบุคคลทั้งหลายทำดีก็จะไม่มีใคร โกรธใคร แต่เพราะว่าทุกคนยังมีอกุศล ยังมีกิเลส เพราะฉะนั้น ก็เป็นเหตุทำให้เกิดความไม่พอใจ แต่สามารถพิจารณาได้ในบุคคลต่างๆ ว่า เป็นผู้ที่มีคุณ หรือเป็นผู้ที่ ไม่มีคุณ ถ้าเป็นผู้ที่มีคุณกระทำก็อย่าโกรธเลย ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีคุณต่อเรา ถ้าเป็นผู้ที่ ไม่มีคุณก็ยิ่งน่าสงสาร ไม่มีคุณอะไรเลยและยังทำสิ่งที่ไม่ดีด้วย เพราะฉะนั้น ถ้ากุศลจิตเกิดพร้อมสติสัมปชัญญะ จะทำให้เพิ่มความอดทนขึ้น

    ขุททกนิกาย จริยาปิฎก มหิสราชจริยา ตอนท้ายมีข้อความว่า

    บุคคลผู้มีปัญญา อดกลั้นคำดูหมิ่นในเพราะของคนเลว คนปานกลาง และคนชั้นสูง

    เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะได้รับกระทบจากบุคคลใดที่เป็นคนเลว หรือคนปานกลาง หรือคนชั้นสูง ถ้าเป็นผู้มีปัญญาแล้วย่อมอดกลั้นคำดูหมิ่น ได้ทั้งหมดไม่ว่าจากใคร ไม่ใช่เฉพาะบางบุคคล ต้องทั่วไปหมด เพราะบางคนคิดว่า ถ้าเป็นคนชั้นสูงก็อดกลั้นได้ แต่ถ้าเป็นคนชั้นต่ำหรือคนเลวก็อดกลั้นคำพูดของ คนเหล่านั้นไม่ได้ แต่ความจริงแล้วทุกบุคคลควรเป็นสิ่งที่ทำให้เจริญขันติบารมี

    อรรถกถา ธรรมเทวปุตตจริยาที่ ๘ มีข้อความว่า

    อธรรมเทพบุตรกล่าวกับธรรมเทพบุตรว่า ค้อนเหล็กทุบเงินได้ เงินทุบค้อนเหล็กไม่ได้ หากวันนี้อธรรมจักฆ่าธรรมได้ เราผู้เป็นเหล็ก จักพึงแสดงให้เห็นเป็นดุจทองคำ

    ถ้าฝ่ายอธรรมก็จะต้องเข้าใจว่า ค้อนเหล็กทุบเงินได้ และเงินทุบค้อนเหล็กไม่ได้ ซึ่งทำให้เข้าใจว่า อธรรมจักฆ่าธรรมได้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีอธรรมก็คิดว่า จะเป็นเหมือนเหล็ก แต่แสดงให้เห็นเป็นดุจทองคำ คือ แสดงให้ใครๆ เห็นว่า อกุศลดีกว่ากุศล

    ในการสนทนาเวลาที่มีเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น และมีคนที่ทำผิด เป็นที่ติเตียนของสังคม ขอให้พิจารณาว่า ใจของท่านคิดอย่างไร ถ้าคิดช่วยกันซ้ำเติมบุคคลนั้น ขณะนั้นเข้าใจว่าอธรรมดีกว่าธรรมหรือเปล่า เพราะว่าในขณะที่ช่วยกันกระหน่ำซ้ำเติมบุคคลนั้น ขณะนั้นเป็นอธรรม ไม่ใช่เป็นธรรม แต่ถ้าเป็นธรรมแล้ว จะทำให้เกิดสติสัมปชัญญะระลึกได้ และมีความเมตตา มีความอดกลั้น มีความอดทน แทนที่จะช่วยกันทำให้เกิดอกุศลหรือโทสะเพิ่มขึ้น

    แต่ธรรมเทพบุตรก็กล่าวตอบว่า

    … เราอดทนวาจาหยาบของท่านได้

    นี่คือฝ่ายธรรม เพราะฉะนั้น ทุกท่านควรที่จะเป็นอย่างนี้

    อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก ปกิณณกกถา มีข้อความว่า

    อนึ่ง ผู้มีปัญญาเท่านั้นเป็นผู้มีความอดกลั้นต่อความเสียหายของผู้อื่นเป็นต้น ผู้มีปัญญาทรามไม่เป็นผู้อดกลั้น ความเสียหายที่ผู้อื่นนำไปให้แก่ผู้ปราศจากปัญญา ย่อมเพิ่มพูนความเป็นปฏิปักษ์ของความอดทน แต่ความเสียหายเหล่านั้นของ ผู้มีปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่อความมั่นคงแห่งขันตินั้น ด้วยเพิ่มพูนความสมบูรณ์ แห่งขันติ

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ ชีวิตต่อไปข้างหน้าก็พิจารณาว่า ท่านจะเป็นบุคคลประเภทใด คือ ถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญา ก็เป็นผู้ที่มีความอดกลั้นต่อความเสียหายที่ผู้อื่น นำไปให้ แต่สำหรับผู้ที่ปราศจากปัญญา ย่อมเพิ่มพูนความเป็นปฏิปักษ์ต่อความอดทน

    ข้อความต่อไป

    ผู้มีปัญญาเท่านั้นไม่ทำการแบ่งแยกคนที่รัก คนกลาง และคนที่เป็นศัตรู เป็นผู้ฉลาดในการนำประโยชน์เข้าไปในที่ทั้งปวง

    พระธรรมทั้งหมดมีประโยชน์ ถ้าจะพิจารณา และจะเห็นว่า พระผู้มีพระภาคทรงเกื้อกูลพุทธบริษัทด้วยการทรงแสดงธรรมที่เป็นอนุสาสนี คือ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้พิจารณาเห็นประโยชน์ของธรรมที่เป็นกุศล คือ ผู้มีปัญญาเท่านั้นไม่ทำการแบ่งแยกคนที่รัก คนกลาง และคนที่เป็นศัตรู คือ ไม่เลือกพวกพ้อง หรือเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่ เป็นผู้ฉลาดในการนำประโยชน์เข้าไปในที่ทั้งปวง

    นี่คือผู้ฉลาดจริงๆ เป็นผู้ที่อดทนเพื่อประโยชน์ เพราะถ้าไม่อดทนก็จะไม่เกิดประโยชน์ แต่จะเป็นโทษสำหรับตนเอง

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์พูดถึงเรื่องพระธรรมว่า มีพระคุณเพราะอบรมให้เรามีขันติสูงขึ้นไปๆ ขันติก็มีเป็นระดับขั้น อย่างที่อาจารย์พูดถึงจริยาปิฎกว่า กับคนนี้ทนได้ กับอีกคนหนึ่งทนไม่ได้ เช่น เด็กกว่าเรา หรือมีอะไรด้อยกว่าเรา จะมาติหรือมาพูด คงจะทนไม่ได้ แต่ถ้าคนนั้นเป็นผู้มีพระคุณ หรืออาวุโสกว่าก็พอทนได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 2
    29 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ