บารมีในชีวิตประจำวัน ตอนที่ 21


    ท่านพระอานนท์ปลอบใจผู้มีใจกระสับกระส่ายเพราะไม่พบพระผู้มีพระภาคว่า ปาพจน์ คือ พระธรรมวินัยนี้ ชื่อว่ามีศาสดาล่วงแล้วหามิได้ ธรรมวินัยนี้เป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย

    ความหมายของ เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ ก็โดยที่ท่าน พระอานนท์ต้องการที่จะปลอบใจพุทธบริษัทรุ่นหลัง ซึ่งอาจจะรู้สึกโทมนัสที่ไม่ได้พบพระผู้มีพระภาค แต่ให้ทราบว่า ปาพจน์คือพระธรรมวินัยนี้ ชื่อว่ามีศาสดาล่วงแล้วหามิได้ เพราะว่า ธรรมวินัยนี้เป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย

    ที่จะรู้ว่า มีพระผู้มีพระภาคเป็นศาสดาจริงๆ หรือไม่ ก็ต้องเป็นผู้ที่ฟัง พิจารณา และประพฤติปฏิบัติตามโดยถูกต้อง

    ก็พระเถระเมื่อกล่าวว่า เอวํ ชื่อว่าแสดงเทศนาสมบัติ ความถึงพร้อมด้วยเทศนา

    เพราะว่าต้องมีผู้แสดงจึงมีผู้ฟัง ถ้ามีแต่ผู้ฟัง ไม่มีผู้แสดง ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เพียงคำว่า เอวํ ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นเทศนาสมบัติ คือ ความถึงพร้อมด้วยเทศนา

    เมื่อกล่าวคำว่า เม สุตํ ชื่อว่าแสดงสาวกสมบัติ ความถึงพร้อมแห่งสาวก

    ไม่ใช่คนอื่น แต่ข้าพเจ้า คือ ท่านพระอานนท์ ผู้เป็นเอตทัคคะถึง ๕ สถาน เป็นผู้ที่กล่าวว่า เม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

    เมื่อกล่าวคำว่า เอกํ สมยํ ชื่อว่าแสดงกาลสมบัติ ความถึงพร้อมแห่งกาลที่ได้ฟังพระธรรมเทศนา

    วันนี้ หลายชั่วโมงผ่านไป กาลสมบัติหรือเปล่า ขณะที่ไม่ได้ฟังพระธรรม แต่ขณะที่กำลังฟังพระธรรม ให้ทราบว่า ขณะนี้เป็นขณะที่ถึงพร้อมแห่งกาลที่ได้ฟังพระธรรม เพราะโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ไม่ง่าย ถ้ามีธุระสำคัญนิดเดียวก็ไม่ได้ฟังแล้ว เป็นโอกาสของการฟังสิ่งอื่น เพราะฉะนั้น เอกํ สมยํ ชื่อว่า แสดงกาลสมบัติ ความถึงพร้อมแห่งกาลที่ได้ฟังพระธรรมเทศนา

    เมื่อกล่าวว่า ภควา ชื่อว่าเทศกสมบัติ ความถึงพร้อมแห่งผู้แสดง

    ไม่ใช่บุคคลธรรมดา ภควา คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้แสดง

    ส่วนคำว่า ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกะ เขตพระนคร สาวัตถี ในคำทั้ง ๒ นั้น ท่านพระเถระแสดงการอนุเคราะห์คฤหัสถ์ของพระผู้มีพระภาคด้วยการระบุกรุงสาวัตถี แสดงการอนุเคราะห์บรรพชิตด้วยการระบุพระเชตวันเป็นต้น

    พระ อาตมาสงสัยในสัจจบารมีที่สัมพันธ์กับปัญญาบารมี คือ อาตมา มีเพื่อนเป็นพระภิกษุชาวเขมรรูปหนึ่ง ท่านมีความสนใจในการศึกษาธรรมและ ฟังรายการแนวทางเจริญวิปัสสนา แต่ถ้าท่านบอกความจริงว่าตนเองเป็นคนชาติอะไร จะทำให้ท่านไม่สามารถฟังรายการแนวทางเจริญวิปัสสนาซึ่งเป็นธรรมที่ถูกต้องได้ เพราะต้องกลับไปสู่ภูมิลำเนาเดิม ทำให้ขาดการฟังธรรมที่ถูกต้องไป แต่ถ้าทำ ใบสุทธิปลอม หรือโกหกว่าตนเองเป็นคนไทย จะทำให้ได้ฟังธรรมต่อไป เรื่องนี้ อาตมาไม่สามารถวินิจฉัยได้ถูกต้อง ยังสับสนอยู่พอสมควร

    ท่านอาจารย์ ความเป็นภิกษุ ต้องเป็นความประพฤติที่สมบูรณ์พร้อมทั้งกาย วาจา ใจในทางที่เป็นกุศล ต่างกับชีวิตของคฤหัสถ์มาก ถ้ามีความบกพร่องในเรื่องของ ความประพฤติที่ไม่ถูกต้องสำหรับเพศบรรพชิต ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมแน่นอน เพราะว่าตั้งต้นก็ไม่ถูก ต่อไปจะถูกได้อย่างไร แม้แต่คฤหัสถ์ก็ตาม ถ้าตั้งต้นไม่ถูก จะไปถึงที่สุดของความถูกต้อง ที่จะสมบูรณ์ถึงกับการรู้แจ้งอริยสัจจ์ ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    พระ หมายถึงต้องมีสัจจบารมี

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เจ้าค่ะ

    ขอกล่าวถึงข้อความซึ่งเกี่ยวเนื่องกับตอนนี้

    ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เอกนิบาต ปาฏิโภควรรคที่ ๑ อรรถกถาโลภสูตร ข้อ ๑๗๙ แสดงอธิษฐานธรรม คือ ธรรม ที่มั่นคงในบารมี ๑๐

    ในบารมี ๑๐ นี้ อธิษฐานธรรมที่เป็นบารมี เป็นไปในธรรม ๔ คือ สัจจะ จาคะ อุปสมะ และปัญญา

    ถึงแม้ว่าจะมีสัจจะ ความจริงใจ ตรงต่อการที่จะเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ก็ต้องรู้ว่า ขาดความหนักแน่นมั่นคงไม่ได้ เพราะว่าบางคน คลอนแคลน มีความตั้งใจ และล้มเลิกความตั้งใจ และก็ตั้งใจอีก และก็เลิกอีก แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคง ไม่เป็นอธิษฐาน ไม่มั่นคงในบารมี เพราะฉะนั้น ในบรรดาบารมี จะต้องมีอธิษฐานธรรมซึ่งเป็นไปในธรรม ๔ คือ ในสัจจะ ๑ ในจาคะ ๑ ในอุปสมะ ๑ ความสงบ และในปัญญา ๑

    สำหรับในความหมายของอรหังนั้น แสดงว่าต้องมีความจริงใจ คือ สัจจะ ต่อการอบรมเจริญกุศล

    ข้อความตอนหนึ่งมีว่า

    อนึ่ง ด้วยบทแรก (ภควตา) ท่านประกาศถึงความบริบูรณ์แห่งอธิษฐานธรรม คือสัจจะ และอธิษฐานธรรมคือจาคะ โดยแสดงถึงปฏิญญาสัจจะ วจีสัจจะ และญาณสัจจะของพระตถาคต

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความมั่นคงในสัจจะและในจาคะ ไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมแน่นอน และถ้าพูดถึงสัจจะ ก็มีหลายอย่าง คือ ปฏิญญาสัจจะ วจีสัจจะ และ ญาณสัจจะ

    โดยแสดงถึงการสละทิ้งกามคุณ ความเป็นใหญ่ทางโลก ลาภ ยศ และสักการะ เป็นต้น และโดยแสดงถึงการสละทิ้งอภิสังขารคือกิเลสไม่มีเหลือ

    ถ้าพูดถึงจาคะ บางคนคิดถึงเพียงวัตถุ แต่จาคะในการที่จะสละต้องสละทิ้งกามคุณ ความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ นอกจากนั้น ยังต้องสละความเป็นใหญ่ทางโลก สละลาภ ยศ และสักการะ เป็นต้น และโดย แสดงถึงการสละทิ้งอภิสังขารคือกิเลสอื่นๆ ทั้งหมด ไม่มีเหลือ เพราะว่าบางท่าน ท่านอาจจะเป็นผู้ที่มักน้อย ไม่ได้ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์ หรือสักการะใหญ่ จากบุคคลอื่น แต่ไม่สละกิเลส คือ กิเลสของตนเองมีเท่าไร ก็ยังพอใจที่จะมีกิเลส นั้นๆ อยู่เท่านั้น เพราะคิดว่าไม่ได้เบียดเบียนใคร และไม่ได้ต้องการสักการะ หรือลาภยศจากใครด้วย แต่ให้ทราบว่า การที่จะสละจริงๆ ต้องทั้งหมด แม้แต่สละ กิเลสทั้งปวงด้วย และต้องมีสัจจะ ความจริงใจ มั่นคง หนักแน่นตั้งแต่ต้น จึงจะ ถึงการดับกิเลสได้

    ทุกวันๆ ทุกคนก็ได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรม และรู้ว่ากิเลสก็ยังมากมาย แสดงให้เห็นว่า ต้องอาศัยบารมีอื่นๆ อีกในการที่จะสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงคิดว่า ฟังนิดหน่อย หรือเจริญสติปัฏฐานเพียงเล็กน้อย และ เพียรให้มากๆ เพื่อให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ข้ามเรื่องของบารมีทั้งหมดเหล่านี้ ไปไม่ได้เลย เพราะว่ากิเลสมีมาก ต้องอาศัยบารมีที่สะสมมากขึ้นๆ จึงจะสามารถ ละคลายได้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ด้วยบทที่ ๒ (อรหตา) ท่านประกาศถึงความบริบูรณ์แห่งอธิษฐานธรรมคือ อุปสมะ (ความสงบระงับ) และอธิษฐานธรรมคือปัญญา โดยแสดงถึงการได้บรรลุ การสงบระงับสังขารทั้งหมด และโดยแสดงถึงการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ

    ข้อความต่อไป แสดงถึงความสำคัญของสัจจะ คือ

    จริงอย่างนั้น ความมีอธิษฐานธรรมคือสัจจะ เป็นบารมีของพระผู้มีพระภาค ผู้ครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้ทำอภินิหารไว้ในโลกุตตรคุณถึงความบริบูรณ์ เพราะ ทรงบำเพ็ญบารมีทุกข้อตามปฏิญญา เนื่องจากทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาคุณ

    อภินิหาร คือ เหตุใหญ่ที่ควรแก่การที่จะได้รับผลใหญ่ คือ การบรรลุ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ความมีอธิษฐานธรรมคือจาคะ เป็นบารมีถึงความบริบูรณ์ เพราะสละทิ้ง สิ่งที่เป็นข้าศึก

    ถ้าไม่ได้เป็นไปในความจริงตั้งแต่ต้น ไม่มีทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพียงศึกษาไม่ได้ทำให้ประพฤติจริง แต่ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาและรู้ว่า ความจริงเป็น สิ่งสำคัญในการที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    ทุกท่านที่ได้ฟังธรรม จะฟังสักเท่าไรๆ ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อตัวเอง และเป็นผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงว่า ในวันหนึ่งๆ กิเลสมากมายเหลือเกิน และที่จะรู้ได้ว่า แต่ละท่านมีกิเลสมากแค่ไหน และเป็นกิเลสระดับใด ก็ต้องศึกษาหรือ ฟังพระวินัยบัญญัติ เพราะถ้าไม่ศึกษาพระธรรมโดยละเอียดจะไม่ทราบเลยว่า กิเลสที่มีจนชินเป็นประจำเป็นกิเลสขั้นไหนบ้าง

    ประโยชน์จากการฟังและการศึกษาพระวินัย ก็เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เพราะรู้ระดับขั้นกิเลสของตนเองในวันหนึ่งๆ ละเอียดขึ้น และเมื่อเห็นว่าสิ่งใด เป็นความประพฤติที่สมควรที่แม้คฤหัสถ์ก็สามารถประพฤติปฏิบัติตามได้ ก็จะได้ ขัดเกลายิ่งขึ้น มิฉะนั้นแล้วจะชินกับกิเลสจนกระทั่งไม่สามารถรู้ได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ผู้ที่มีความจริงใจต่อการที่จะขัดเกลากิเลส สามารถขัดเกลาเพิ่มขึ้นอีกได้ ถ้าได้เข้าใจพระวินัยเพิ่มขึ้น

    สำหรับวันนี้ ขอกล่าวถึง จูฬสงคราม คือ ในขณะที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น และ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นหรือเป็นผู้ที่วินิจฉัยคดี ควรจะมีธรรมประการใดบ้าง เพราะว่าทุกวันๆ ทุกคนที่มีกิเลสก็ต้องทำผิด และเมื่อมีผู้ที่ทำผิด ก็ต้องมี ผู้ที่ถูกกระทำผิดต่อด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะวินิจฉัยเรื่องผิดถูก ต้องเป็นผู้ตรง เป็นผู้มีคุณธรรม ข้อความในพระวินัยเป็นการทดสอบความเป็นผู้ตรงต่อธรรม ซึ่งแม้แต่คฤหัสถ์และยังไม่มีคดีใดๆ ก็ตาม ถ้าได้ฟังไว้ ก็เป็นทางที่จะทำให้รู้จักกิเลสของตนเองยิ่งขึ้นว่า ต้องเป็นผู้ตรงต่อความจริงและขัดเกลากิเลสได้

    พระวินัยปิฎก ปริวาร ข้อ ๑๐๘๓ มีข้อความว่า

    อันภิกษุผู้เข้าสงครามเมื่อเข้าหาสงฆ์ พึงเป็นผู้มีจิตยำเกรง มีจิตเสมอด้วย ผ้าเช็ดธุลี เข้าหาสงฆ์ พึงเป็นผู้รู้จักที่นั่ง รู้จักการนั่ง ไม่เบียดเบียนภิกษุผู้เถระ ไม่ห้ามภิกษุผู้อ่อนกว่าด้วยอาสนะ พึงนั่งอาสนะตามสมควร ไม่พึงพูดเรื่องต่างๆ ไม่พึงพูดเรื่องดิรัจฉานกถา พึงกล่าวธรรมเอง หรือพึงเชื้อเชิญภิกษุรูปอื่น ไม่พึงดูหมิ่นอริยดุษณีภาพ

    ถ้าไม่พิจารณาจะไม่เห็นเลยว่า เป็นชีวิตประจำวันของทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ เพราะว่าเมื่อมีกาย มีวาจา มีการที่จะต้องกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้ากระทำในทางที่ถูกต้อง ขณะนั้นก็เป็นกุศล แต่ถ้าเพียงผิดนิดเดียว ถ้าไม่พิจารณาจะไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล เช่น เมื่อเข้าหาสงฆ์ พึงเป็นผู้มีจิตยำเกรง

    สำหรับคฤหัสถ์ ถ้าเป็นผู้ที่จะไปมาหาสู่บุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด กาลใด เทศะใด ถ้าขณะนั้นมีกุศลจิต เป็นผู้ที่อ่อนน้อม เป็นผู้ที่ยำเกรง เห็นความต่างกันของขณะที่สบายๆ ไม่อ่อนน้อม และไม่ยำเกรง แม้เพียงเท่านี้ก็จะไม่เห็นเลยว่า กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร ในขณะไหน แต่ถ้าได้ฟังพระวินัยแล้วจะเห็นได้จริงๆ ว่า แม้ชีวิตที่ต่างกันระหว่างบรรพชิตกับคฤหัสถ์ แต่ก็สามารถที่จะเทียบเคียงให้เห็นกิเลส ที่มีอยู่ในจิตใจเป็นประจำได้

    สำหรับพระภิกษุนั้น เมื่อเข้าหาสงฆ์ พึงเป็นผู้มีจิตยำเกรง มีจิตเสมอด้วย ผ้าเช็ดธุลี

    เห็นคุณค่าของการเป็นผู้มีจิตเหมือนผ้าเช็ดธุลีไหม มีความอ่อนน้อม ไม่มีมานะ ไม่มีความสำคัญตน ถ้าเป็นผ้าเช็ดธุลีได้เสมอๆ ก็เป็นความสบายใจ ไม่ว่าใครจะประพฤติต่อท่านด้วยกายวาจาอย่างไร ไม่เดือดร้อนเลย เพราะไม่ถือตนว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญ

    พึงเป็นผู้รู้จักที่นั่ง รู้จักการนั่ง เพียงเท่านี้ก็เป็นกุศลหรืออกุศลแล้ว แม้เพียงการที่จะนั่ง

    ไม่เบียดเบียนภิกษุผู้เถระ ไม่ห้ามภิกษุผู้อ่อนกว่าด้วยอาสนะ บางคนอาจจะ กีดกันอาสนะ และห้ามภิกษุผู้อ่อนกว่า ขณะนั้นพิจารณาได้ว่า แม้ไม่ใช่สงฆ์ แต่ที่ใด ก็ตามมีที่นั่ง ท่านไม่ให้บุคคลอื่นนั่ง เพราะต้องการที่จะให้ผู้อื่นนั่ง คิดดูว่า นี่เป็นเรื่องอกุศลทั้งนั้น ถ้าพิจารณาโดยละเอียด

    พึงนั่งอาสนะตามสมควร ไม่พึงพูดเรื่องต่างๆ ไม่พึงพูดเรื่องดิรัจฉานกถา พึงกล่าวธรรมเอง หรือพึงเชื้อเชิญภิกษุรูปอื่น ไม่พึงดูหมิ่นอริยดุษณีภาพ

    ถ้าจะพูด ก็พูดเรื่องที่สมควร พูดด้วยกุศลจิต พูดด้วยเมตตาจิต หรือไม่พึงพูดเรื่องดิรัจฉานกถา สำหรับคฤหัสถ์ไม่มีวินัยในข้อเหล่านี้ แต่สำหรับพระภิกษุ ไม่พึงดูหมิ่นอริยะดุษณีภาพ ต้องเห็นว่า ถ้าจะพูดเรื่องที่ไร้สาระ ก็นิ่งไม่พูดเสียดีกว่า โดยที่ว่าไม่ต้องลำบากเดือดร้อนใจ เพราะว่าการไม่พูด ก็ไม่มีเรื่องที่จะทำให้คนอื่นเกิดโลภะ โทสะ หรืออกุศลต่างๆ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ในการที่จะพิจารณา และเห็นคุณของพระธรรม ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพระสูตร พระวินัย หรือพระอภิธรรม

    ผู้ที่ตรงต่อเหตุผล เป็นผู้ที่ตรงต่อตัวเอง เป็นผู้มีใจจริง วาจาจริง เป็นผู้ที่ไม่บิดเบือน จึงเป็นผู้ที่สามารถอบรมเจริญปัญญาที่จะขัดเกลากิเลสถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ มิฉะนั้นแล้วเพียงการบิดเบือนนิดเดียวก็จะไม่รู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด เพราะว่าจิตที่บิดเบือนไป บิดเบือนไปด้วยความต้องการ เพราะฉะนั้น ในขณะที่ต้องการที่ไม่เป็นกุศลจึงบิดเบือน และเมื่อบิดเบือนแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ขณะนั้นผิด ไม่ใช่ถูก เพราะว่าขณะนั้นเป็นโลภะ เป็นความต้องการ แม้เพียงเล็กน้อย เพียงบิดเบือน ก็เป็นผู้ไม่ตรงต่อการที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะว่าในขณะใดที่บิดเบือน หรือในขณะใดที่เป็นอกุศล ในขณะใดที่ไม่ตรง ในขณะใดที่ ไม่จริง ขณะนั้นไม่มีสติสัมปชัญญะ

    ถ้าเป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะจริงๆ บิดเบือนไม่ได้ หรือไม่ตรงไม่ได้ ไม่จริงไม่ได้ เพราะขณะนั้นเป็นผู้ที่กำลังมีสติสัมปชัญญะ และการที่สติสัมปชัญญะจะเกิด ระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม คิดดู ต้องเป็นสติสัมปชัญญะในขณะนี้ ที่ระลึกลักษณะแข็งที่กำลังปรากฏ หรือลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา หรือ เสียงที่กำลังปรากฏทางหู ต้องเป็นสติสัมปชัญญะจึงระลึกได้

    ขณะใดก็ตามที่บิดเบือน หรือเป็นอกุศล ขณะนั้นไม่มีสติสัมปชัญญะ จึงไม่ใช่ผู้สะสมความเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ เมื่อไม่ใช่ผู้ที่สะสมความสมบูรณ์ของสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะจึงไม่มีปัจจัยที่จะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ด้วยเหตุนี้สัจจะ ความจริง จึงเป็นบารมี เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่าขณะนั้นแสดงถึงความเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะที่จะรู้ว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร

    ชีวิตประจำวันในอดีตและปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงความเห็นต่างๆ ของบุคคล ซึ่งบางท่านก็สะสมมาที่จะเป็นผู้ที่เห็นผิด บางท่านก็สะสมมาที่จะเป็นผู้ที่เห็นถูก ในแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ระลึกถึงเหตุผลที่เป็นสัจจธรรมที่เป็นความจริงได้ สำหรับผู้ที่สะสมมาที่จะมีสติสัมปชัญญะที่จะระลึกได้ว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด

    ขอกล่าวถึงข้อความใน ขุททกนิกาย อุทาน ชฏิลสูตร ข้อ ๔๖ ซึ่งท่านผู้ฟังที่นี่สะสมความเห็นถูก สะสมการพิจารณาในเหตุในผลมาแล้วจะรู้ว่า เป็นสิ่งที่ ไม่น่าจะมีใครเชื่อ เพราะไม่ประกอบด้วยเหตุผล แต่คนที่สะสมความเห็นผิดมา ก็สามารถหลงผิดและเชื่อได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่ได้สะสมสติสัมปชัญญะ

    ข้อความใน ชฏิลสูตร ข้อ ๔๖ มีว่า

    ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ คยาสีสะประเทศ ใกล้บ้านคยา ก็สมัยนั้นแล ชฎิลมากด้วยกันผุดขึ้นบ้าง ดำลงบ้าง ผุดขึ้นและดำลงบ้าง รดน้ำบ้าง บูชาไฟบ้าง ที่ท่าแม่น้ำคยา ในสมัยหิมะตกในระหว่าง ๘ วัน ในราตรีมีความหนาว ในเหมันตฤดู ด้วยคิดเห็นว่า ความหมดจดย่อมมีได้ด้วยการกระทำนี้

    พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นชฎิลเหล่านั้นผุดขึ้นบ้าง ดำลงบ้าง ผุดขึ้นและดำลงบ้าง รดน้ำบ้าง บูชาไฟบ้าง ที่ท่าแม่น้ำคยา ในสมัยหิมะตก ในระหว่าง ๘ วัน ในราตรีมีความหนาวในเหมันตฤดู ด้วยคิดเห็นว่า ความหมดจดย่อมมีได้ด้วยการกระทำนี้

    บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำเหล่านี้ แต่การกระทำที่คล้ายคลึง ทำนองนี้มีไหมที่จะเห็นด้วย เช่น บางท่านอาจจะคิดว่า การรดน้ำมนต์สามารถทำให้แคล้วคลาดจากภัยพิบัติ หรือพ้นจากเคราะห์หามยามร้ายต่างๆ จะเหมือนกับพวกที่ผุดขึ้นบ้าง ดำลงบ้าง ผุดขึ้นและดำลงบ้าง ที่ท่าแม่น้ำคยาบ้างไหม

    คิดดู ความเห็นที่ค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆ ผิด ถ้าสะสมความเห็นอย่างนั้น จะทำให้เกิดความเห็นอย่างนี้ได้ไหม

    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

    ความสะอาดย่อมไม่มีเพราะน้ำ แต่ชนเป็นอันมากยังอาบอยู่ในน้ำนี้ สัจจะและธรรมมีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นเป็นผู้สะอาดและเป็นพราหมณ์

    ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน อธิบายว่า

    ความสะอาดด้วยน้ำอันเป็นตัวทำกิริยามีการผุดขึ้นเป็นต้น ไม่ชื่อว่าเป็นความบริสุทธิ์ของสัตว์

    เพราะเหตุไร

    เพราะชนเป็นอันมากอาบน้ำนี้ เพราะถ้าชื่อว่าความบริสุทธิ์จากบาปจะพึงมีเพราะการลงน้ำเป็นต้นตามที่กล่าวแล้วไซร้ ชนเป็นอันมากก็จะพากันอาบน้ำนี้ คือ คนผู้ทำกรรมชั่วมีมาตุฆาตเป็นต้น และสัตว์อื่นมีโคกระบือเป็นต้น ชั้นที่สุดปลา และเต่าก็จะพากันอาบน้ำนี้ คนและสัตว์ทั้งหมดนั้นก็จะพลอยบริสุทธิ์จากบาปไปด้วย

    แต่ข้อนั้นหาเป็นอย่างนั้นไม่

    เพราะเหตุไร

    เพราะการอาบน้ำไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อเหตุแห่งบาป ก็สิ่งใดทำสิ่งใดให้พินาศไปได้ สิ่งนั้นก็เป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งนั้น เหมือนแสงสว่างเป็นปฏิปักษ์ต่อความมืด และวิชชา เป็นปฏิปักษ์ต่ออวิชชา การอาบน้ำหาเป็นปฏิปักษ์ต่อบาปเช่นนั้นไม่


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 2
    30 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ