บารมีในชีวิตประจำวัน ตอนที่ 36


    แม้ในขณะนี้เอง ก็เป็นชั่วขณะที่นามธรรมและรูปธรรมเกิดดับเท่านั้น ไม่นานเลย เพราะฉะนั้น ถ้าใครเป็นคนที่มักจะขุ่นเคืองใจไม่พอใจบุคคลอื่นง่ายๆ หรือไม่ลืมความโกรธ ความขุ่นเคืองใจนั้น ก็ควรที่จะระลึกรู้ความจริงว่า พบกันเพียงชาตินี้ชาติเดียวจริงๆ และจะไม่พบกันอีกเลย

    เพราะฉะนั้น ควรจะดีต่อกัน มีเมตตากัน หรือควรจะโกรธกัน เพราะว่า การเห็นกันครั้งหนึ่งๆ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า เป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะถ้าไม่คิดว่าเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้าย ก็อาจจะไม่ทำดีกับบุคคลนั้น แต่ถ้ารู้ว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เห็นกัน อาจจะทำให้จิตใจอ่อนโยน และมีความเมตตากรุณาต่อกันได้

    ถ้าท่านเป็นผู้ที่มากด้วยโมหะ ซึ่งก่อนที่จะได้ศึกษาพระธรรม ทุกคนก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องของสภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเลย เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้วก็รู้ว่า มีสภาพธรรมที่ปรากฏที่จะต้องศึกษา ไม่ใช่เพียงศึกษาจากตำราหรือการรับฟังเท่านั้น แต่ขณะนี้เองมีสภาพธรรมที่ปรากฏ ที่ควรต้องประจักษ์แจ้งในสัจจธรรม ลักษณะที่แท้จริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ถ้ารู้อย่างนี้ก็ยังเป็นเครื่องเตือนให้รู้ว่า ควรที่จะฟังและพิจารณาธรรมเพื่อเป็น สังขารขันธ์ให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ โดยที่จะไม่ละเลย หรือ สนุกสนานต่อไปโดยไม่ขวนขวายในการเจริญกุศล

    เพราะฉะนั้น ถ้าทราบว่าเป็นผู้ที่ยังมีโมหะมากที่จะต้องขัดเกลา จะทำให้ ไม่ละเลยในการฟังพระธรรม และไม่ละเลยการเจริญกุศลทุกประการด้วย เพราะว่าความประมาทย่อมพลิกชีวิตจากความเจริญไปสู่ความเสื่อมได้ จากการเป็นมนุษย์ ในชาตินี้ไปสู่การเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นสัตว์ในนรก ซึ่งอาจจะเป็นพรุ่งนี้หรือเย็นนี้ย่อมได้ทั้งสิ้น ถ้ารู้อย่างนี้ จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท

    อรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ อุรควรรคที่ ๑ อรรถกถา เขตตูปมาเปตวัตถุที่ ๑ มีข้อความว่า

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับที่พระวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภเปรตบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนั้นดังต่อไปนี้

    น่าพิจารณา เป็นบุตรเศรษฐีในชาตินี้ และเพียงระยะที่สั้นที่สุดที่เร็วยิ่งกว่ากระพริบตา ก็เป็นเปรตได้

    ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์ ได้มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีเครื่องอุปกรณ์แห่งทรัพย์ที่น่าปลื้มใจอย่างมากมาย สั่งสมทรัพย์ไว้เป็นจำนวนหลายโกฏิ

    แต่ละคนในชาติหนึ่งๆ ทั้งที่ผ่านไปแล้ว ที่เคยเป็นอย่างนี้ หรือจะเป็นอย่างนี้ในชาติหน้าก็ได้ ผู้ที่มีโภคมาก มีทรัพย์มาก จะเห็นได้ว่า มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์ ที่น่าปลื้มใจมากมาย ถ้าเข้าไปในพระราชวังสักแห่งหนึ่งก็ย่อมจะมองเห็นสมบัติ เครื่องปลื้มใจ อุปกรณ์ต่างๆ ที่น่าดูน่าชมมาก หรือแม้แต่ในบ้านของเศรษฐีทั้งหลาย

    เศรษฐีนั้นมีบุตรคนเดียว น่ารัก น่าชอบใจ เมื่อบุตรนั้นรู้เดียงสา มารดาบิดาก็คิดว่า แม้ว่าบุตรของเราจะจ่ายทรัพย์ให้สิ้นเปลืองไปวันละ ๑,๐๐๐ ทุกวัน แม้ถึงร้อยปี ทรัพย์ที่สั่งสมไว้นี้ก็ไม่หมดสิ้นไป

    ในสมัยโน้นเพียงพันเดียว แต่สมัยนี้ก็เพิ่มขึ้นไปอีกตามสภาพของเหตุการณ์ บางท่านแม้ว่าจะใช้ทรัพย์ถึงร้อยปี ทรัพย์นั้นก็ไม่หมดสิ้นไป

    ข้อความต่อไป

    จะประโยชน์อะไรด้วยการที่จะให้บุตรนี้ลำบากในการศึกษาวิชาการต่างๆ ขอให้บุตรนี้จงไม่ลำบากกายและจิต บริโภคโภคสมบัติตามสบายเถิด

    นี่เป็นความเห็นของมารดาบิดาซึ่งไม่ให้บุตรศึกษาศิลปวิทยาใดๆ เลย

    เมื่อบุตรนั้นเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาได้นำหญิงสาวแรกรุ่นผู้สมบูรณ์ด้วยสกุลรูปร่างความเป็นสาวและความงาม ผู้เอิบอิ่มด้วยกามคุณ บ่ายหน้าออกจาก ธรรมสัญญา

    จะเห็นได้ว่า ชีวิตของแต่ละคน แม้ว่าจะเป็นญาติสนิทมิตรสหาย ก็ไม่สนใจ ในพระธรรมเลย ยังคงเพลิดเพลินในเรื่องของโลก เวลาที่ชักชวนในเรื่องฟังธรรม ก็ไม่สนใจ เป็นผู้ บ่ายหน้าออกจากธรรมสัญญา แม้ในอดีตชาติโน้นๆ อาจจะเคย ได้ฟังพระธรรมมาบ้าง แต่ชาติใดก็ตามที่ไม่สนใจ และยังหลงอยู่ในความเพลิดเพลิน ชาตินั้นก็ บ่ายหน้าออกจากธรรมสัญญา

    เขาอภิรมย์อยู่กับหญิงสาวนั้น ไม่ให้เกิดแม้ความคิดถึงธรรม ไม่มีความเอื้อเฟื้อในสมณพราหมณ์และคนที่ควรเคารพ ห้อมล้อมด้วยพวกนักเลง กำหนัด ยินดี ติดอยู่ในกามคุณ ๕ เป็นผู้มืดมนไปด้วยโมหะ ให้เวลาผ่านไป เมื่อมารดาบิดาถึงแก่กรรมลง เขาก็ให้สิ่งที่น่าปรารถนาแก่พวกนักรำนักร้องเป็นต้น ผลาญทรัพย์ ให้หมดสิ้นไป ไม่นานเท่าไรนักก็สิ้นเนื้อประดาตัว เที่ยวขอยืมเงินเลี้ยงชีพ เมื่อยืมหนี้ไม่ได้อีก และถูกพวกเจ้าหนี้ทวงถาม ก็ต้องให้ที่นา ที่สวน และเรือนเป็นต้นของตนแก่พวกเจ้าหนี้เหล่านั้น แล้วก็ถือกระเบื้องเที่ยวขอทานกิน พักอยู่ที่ศาลาคนอนาถา ในพระนครนั้นนั่นแล

    คงจะมีเศรษฐีหลายคนที่ต้องเปลี่ยนสภาพเป็นผู้ที่ยากไร้ถึงกับเป็นผู้ขอทาน แต่ชีวิตของคนหนึ่งที่กรรมยังไม่เป็นปัจจัยให้จบสิ้นชีวิตลง ก็ยังมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปอีก คือ

    อยู่มาวันหนึ่ง พวกโจรมาประชุมกัน และได้ชักชวนเขาว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยการเป็นอยู่ลำบากอย่างนี้ ท่านยังเป็นหนุ่มมีเรี่ยวแรงกำลังสมบูรณ์ เหตุไฉนจึง อยู่เหมือนคนที่มือเท้าพิกลพิการ มาร่วมกับพวกเราเที่ยวปล้นทรัพย์ของชาวบ้าน และจะได้อยู่สบายๆ

    ชายคนนั้นกล่าวว่า เขาไม่รู้วิธีโจรกรรม พวกโจรก็บอกว่า จะสอนให้ ไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่ทำตามคำของพวกโจรอย่างเดียวเท่านั้น ชายนั้นก็รับคำ แล้วได้ไปกับพวกโจรเหล่านั้น

    พวกโจรนั้นเมื่อไปกระทำโจรกรรม ก็ได้ใช้ให้เขายืนถือค้อนใหญ่ ตรงปากช่องทาง แล้วก็สอนว่า ถ้ามีคนมาทางนี้ ให้เอาค้อนทุบให้ตาย

    ชายคนนั้นเป็นคนที่บอดเขลา ไม่รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เมื่อสั่งอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เขาก็ได้แต่ยืนดูทางที่ตรงปากทางนั้นอย่างเดียว

    เมื่อพวกโจรเข้าไปทำโจรกรรมในเรือนนั้นแล้ว ก็ถือเอาสิ่งของที่ควรจะถือ เอาไปด้วย เมื่อพวกคนในเรือนรู้ตัว พวกโจรพากันหนีไปคนละทิศคนละทาง คนในเรือนนั้นก็พากันวิ่งตามจับ เมื่อเห็นชายคนนั้นยืนอยู่ตรงช่องประตูก็ช่วยกันจับไว้ และได้นำไปกราบทูลพระราชาว่า จับโจรคนนี้ได้ที่ปากทางประตู

    พระราชาทรงมีพระบัญชาให้ผู้รักษาพระนครลงโทษตัดศีรษะเขา ผู้รักษา พระนครรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว ก็ให้จับชายคนนั้นมัดไพล่หลังอย่างมั่นคง และคล้องคอด้วยพวกมาลัยสีแดงห่างๆ ศีรษะของเขาก็เปรอะเปื้อนด้วยผงอิฐ ผู้รักษาพระนครให้ตีกลองพาเขาตระเวนประจานโทษ จากทางรถบรรจบทางรถ จากทางสี่แพร่งบรรจบทางสี่แพร่ง แล้วให้เฆี่ยนด้วยหวาย แล้วก็ได้นำตัวไปสู่ที่ประหารชีวิต ประชาชนก็พากันแตกตื่นมาดู

    สมัยนั้น ในพระนครนั้นมีหญิงงามเมืองคนหนึ่ง ชื่อสุลสา ยืนอยู่ที่ปราสาทมองออกไปทางช่องทางต่าง เห็นชายคนนั้นถูกนำตัวไปยังที่ประหารชีวิต เธอเคยถูกชายผู้นั้นบำเรอมาในกาลก่อนก็เกิดความสงสารว่า ชายคนนี้เคยเสวยสมบัติ เป็นอันมากในพระนครนี้เอง บัดนี้ถึงความพินาศวอดวายถึงเพียงนี้ จึงส่งขนมต้ม ๔ ลูกและน้ำดื่มไปให้ และได้แจ้งให้ผู้รักษาพระนครทราบว่า ขอให้เขากินขนมต้ม และดื่มน้ำเสียก่อน แล้วจึงประหารชีวิต

    ขณะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะตรวจดูด้วยทิพยจักษุ เห็นชายคนนั้นจะถูกประหารชีวิต ท่านจึงคิดด้วยความกรุณาว่า ชายคนนี้ไม่เคยทำบุญ ทำแต่บาป เพราะฉะนั้น เขาจะเกิดในนรก แต่เมื่อท่านไปและเขาถวายขนมต้มและน้ำดื่มแก่ท่าน เขาก็จะเกิดเป็นภุมมเทวดา ดังนั้น ท่านก็ได้ไปปรากฏข้างหน้าของชายผู้นั้น ในขณะที่มีคนนำน้ำดื่มและขนมต้มเข้าไปให้เขา

    เมื่อเขาเห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะก็มีจิตเลื่อมใสคิดว่า เราผู้จะถูก คนเหล่านี้ฆ่าในบัดนี้เอง จะมีประโยชน์อะไรที่จะบริโภคขนมต้มนี้ ก็ผลทานนี้จะเป็นเสบียงสำหรับคนไปสู่ปรโลก ดังนั้น เขาจึงได้ถวายขนมต้มและน้ำดื่มแก่ท่านพระเถระ และเพื่อที่จะเจริญความเลื่อมใสของชายผู้นั้น เมื่อชายผู้นั้นกำลังดูอยู่นั่นเอง ท่านพระเถระก็ได้นั่งในที่นั้น ฉันขนมต้มและน้ำดื่ม แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป และชายผู้นั้นก็ถูกเพชฌฆาตตัดศีรษะ

    ด้วยบุญที่เขาทำไว้ในท่านพระมหาโมคคัลลานะ ผู้เป็นบุญเขตอย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าเขาควรจะเกิดในเทวโลกชั้นเยี่ยม แต่เพราะเหตุที่เขามีจิตเศร้าหมองในเวลา ใกล้จะตาย เพราะคิดถึงด้วยความผูกพันในนางสุลสาซึ่งเป็นผู้ที่ให้เขาได้มีโอกาส ถวายไทยธรรม เขาก็ได้เกิดเป็นรุกขเทวดาที่ต้นไทรใหญ่ มีร่มเงาอันสนิท อันเกิด แทบภูเขา

    อาจารย์บางพวกกล่าวว่า

    ได้ยินว่า ถ้าในปฐมวัยเขาจะได้ขวนขวายในการดำรงวงศ์ตระกูลไซร้ เขาจะเป็นผู้เลิศกว่าเศรษฐีทั้งหลายในพระนครนี้เอง ถ้าขวนขวายในมัชฌิมวัย เขาจะเป็นเศรษฐีวัยกลางคน ถ้าขวนขวายในปัจฉิมวัย เขาก็จะเป็นเศรษฐีในวัยสุดท้าย แต่ถ้าในปฐมวัยเขาจักได้บวชไซร้ เขาก็จะได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าบวชในมัชฌิมวัย เขาก็จะได้เป็นพระสกทาคามีหรือพระอนาคามี ถ้าบวชในปัจฉิมวัย เขาก็จะได้เป็นพระโสดาบัน แต่เพราะเขาคลุกคลีด้วยปาปมิตร เขาจึงเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา ยินดีแต่ในทุจริต เป็นคนไม่เอื้อเฟื้อ เสื่อมจากสมบัติทั้งปวง ถึงความย่อยยับ อย่างใหญ่หลวง โดยลำดับ

    นี่ก็เป็นผู้ที่ประมาทในชีวิตในการเจริญกุศล เพราะฉะนั้น ความประมาทนั้นเองพลิกชีวิตจากการเป็นเศรษฐี หรือจากการที่จะเป็นพระอริยเจ้า สู่ความเป็นรุกขเทวดาหลังจากที่สิ้นชีวิตแล้ว

    . ผมได้ฟังเรื่องของบุตรเศรษฐีแล้วโล่งใจ เพราะว่าถูกตัดคอแล้วก็ยังได้ ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา แต่ได้ฟังบรรยายออกอากาศทางสถานีวิทยุว่า อัครมเหสีของพระเจ้าอัสสกะ ชื่ออุพพรี ตายแล้วไปเกิดเป็นหนอน นี่น่าอนาถจริงๆ ผมคิดว่า ชีวิตเราไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน ตายแล้วไม่ทราบว่าจะไปเกิดเป็นอะไร เป็นเทวดา ถึงจะชั้นต่ำก็ยังดี ยังมีโอกาสบำเพ็ญกุศลได้บ้าง แต่ถ้าเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน โอกาส ที่จะได้บำเพ็ญกุศลไม่มีเลย

    ที่อาจารย์พูดถึงเรื่องการศึกษาธรรม อย่างหนังสือที่ออกมาเล่มใหม่ ให้ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ พิจารณาไป เพื่อทำความเข้าใจให้ถูกต้องแน่ชัดจริงๆ ผมนึกถึงตัวเองว่า อ่านหนังสือธรรมก็อ่านมาพอสมควร แต่ยังไม่ค่อยเกื้อกูลแก่ตัวเองเท่าไร เพราะว่าอ่านชีวิตตัวเองไม่ค่อยจะออก คือ ยังเข้าใจว่า ธรรมอยู่ในหนังสือ ธรรมอยู่ในพระไตรปิฎก ธรรมอยู่ในคำบรรยายของอาจารย์ หรืออยู่ในเทปที่ฟัง ไม่ได้นึกว่า ธรรม คือ ชีวิตประจำวันของเราแต่ละขณะนี่เอง บางทีความโลภเกิดขึ้น ความโกรธเกิดขึ้น เราก็ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ได้พิจารณา ทำอย่างไรการศึกษาธรรมจึงจะ เป็นประโยชน์เกื้อกูลที่จะให้มีสติระลึกได้ในชีวิตประจำวันบ้าง

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า อกุศลที่สะสมมาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์มีกำลัง เพราะฉะนั้น การที่สติและปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นจนกว่าจะมีกำลังดับกิเลสนั้นได้ ต้องอาศัยวิริยะ ความพากเพียร ความอดทน ซึ่งไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว เพราะว่า ชาตินี้ชาติเดียวก็เห็นกำลังของอกุศลแล้ว ใช่ไหม ทั้งๆ ที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้ศึกษา ก็ยังเหมือนกับอยู่ในตำรา จนกว่าสิ่งที่ได้ทรงแสดงไว้นั้น คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้เอง

    ไม่ว่าจะทรงอธิบายเรื่องของขันธ์ เรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ไม่พ้นจากชีวิตประจำวันเลย เพราะฉะนั้น ก็ศึกษาธรรม โดยสติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏว่า ตรงตามที่ได้ฟังหรือเปล่า เช่น ทางตาในขณะนี้ เป็นสภาพรู้จริงๆ

    . ขณะที่ความโกรธเกิดขึ้น หรือความพอใจ ความโลภเกิดขึ้น แต่เราไม่ได้รู้ว่าเป็นธรรม เราหลงลืมไป อย่างนี้ถือว่าเราขาดความเพียรหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ความเพียรในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ามีตัวเราที่จะเพียร ตราบใดที่มี ตัวเราที่จะเพียร ขณะนั้นไม่ใช่สัมมามรรค ไม่ใช่มรรคมีองค์ ๘ เพราะไม่รู้ความ เป็นอนัตตา ต้องรู้ลักษณะของขณะที่สติเกิดกับขณะที่หลงลืมสติ และรู้ด้วยว่า ปัจจัยที่จะให้สติเกิด คือ การฟัง การพิจารณา จนกระทั่งเข้าใจ

    เมื่อสติเกิดขึ้นครั้งหนึ่งก็รู้ว่าขณะนั้นปัญญายังไม่เจริญ แต่ปัญญาจะเจริญ ก็ในขณะที่สติกำลังระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั่นเองไม่ใช่ในขณะอื่น

    . ในขณะที่สติเกิด ความเพียรก็ต้องเกิดด้วยในขณะนั้น

    ท่านอาจารย์ แน่นอน แต่ไม่ใช่เราจะเพียร ในขณะที่สติระลึกนั่นเอง ความเพียรสังเกตที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นรูปธรรมหรือเป็นสภาพรู้

    . แต่ถ้าคิดว่า ความโกรธเกิดขึ้นก็ดี หรือความพอใจเกิดขึ้นก็ดี เราต้องพยายามกำจัดหรือข่มไว้ ถือว่าเป็นเราทำ

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นไม่ใช่ความรู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

    สำหรับเรื่องความประมาทในการฟังพระธรรม และในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่มีแต่เฉพาะในสมัยนี้ เพราะว่าธรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปตามการสะสม ถ้าเป็น ผู้ที่ประมาทในการฟังพระธรรม ก็เป็นไปตามกำลังของกิเลสซึ่งไม่มีใครบังคับบัญชาได้ทุกกาลสมัย แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ทั้งๆ ที่บุคคลในสมัยนั้น มีโอกาสที่จะได้ไปเฝ้า ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ แต่ก็มีผู้ที่ประมาทไม่ไปเฝ้าเพื่อที่จะฟังพระธรรม

    ข้อความใน อรรถกถา ชนสันธชาดก มีว่า

    เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน มีพระพุทธประสงค์ จะประทานโอวาทแก่พระเจ้าโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี้

    มีคำเริ่มต้นว่า ทส ขลุมานิ ฐานานิ ดังนี้

    ครั้งนั้นพระเจ้าโกศลทรงมัวเมาด้วยอิสริยยศหมกมุ่นอยู่กับความสุขที่เกิดแต่กิเลส ไม่ปรารถนาจะตัดสินคดี แม้การบำรุงพระพุทธเจ้าก็ทรงลืมเสีย

    วันหนึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงพระผู้มีพระภาคและทรงดำริว่า จะถวายบังคม พระศาสดา เมื่อเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ก็ได้เสด็จขึ้นพระราชยานไปพระวิหาร ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่ง

    ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสกับพระราชาว่า

    มหาบพิตร นานมาแล้ว พระองค์มิได้เสด็จมาเพราะเหตุใด

    พระเจ้าโกศลทูลว่า

    เพราะข้าพระองค์มีราชกิจมาก พระเจ้าข้า ไม่มีโอกาสที่จะมาเฝ้าพระองค์

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    มหาบพิตร เมื่อพระพุทธเจ้าผู้สัพพัญญู ผู้ให้โอวาทเช่นเรา อยู่ในวิหารที่ใกล้ ไม่ควรที่พระองค์จะประมาท วิสัยพระราชาต้องไม่ประมาทในราชกิจทั้งหลาย ดำรงพระองค์เสมอด้วยมารดาบิดาของชาวแว่นแคว้น ละอคติเสีย ครองราชย์สมบัติโดยทศพิธราชธรรมจึงจะควร เพราะเมื่อพระราชาประพฤติธรรม แม้บริษัทของพระองค์ ก็ประพฤติธรรม ข้อที่เมื่อเราตถาคตสั่งสอนอยู่ พระองค์ครองราชย์สมบัติโดยธรรมนั้น ไม่น่าอัศจรรย์ แต่บัณฑิตทั้งหลายในอดีตกาล แม้ไม่มีอาจารย์สั่งสอนก็ยังตั้งอยู่ในสุจริตธรรม ๓ ประการ แสดงธรรมแก่มหาชนตามความรู้ของตนพา บริษัทไป สวรรค์ได้

    พระเจ้าโกศลทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรื่องในอดีตว่า

    ในอดีตกาล เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงพระนามว่า ชนสันธะ เสวยราชสมบัติ ในพระนครพาราณสี พระองค์ทรงรับสั่งให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ ที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ด้าน ที่กลางพระนคร และที่ประตูพระราชวัง ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ วันละ ๖ แสน ทรงสงเคราะห์โลกด้วยสังคหวัตถุ ๔ รักษาศีล ๕ อยู่จำอุโบสถ ครองราชย์สมบัติโดยธรรม บางครั้งบางคราวก็ให้ชาวแว่นแคว้นมาประชุมกัน แล้วแสดงธรรมว่า

    ท่านทั้งหลายจงให้ทาน จงสมาทานศีล จงประพฤติธรรม จงประกอบการงานและการค้าขายโดยธรรม เมื่อเป็นเด็กจงเรียนศิลปะวิทยา จงแสวงหาทรัพย์ อย่าคดโกงชาวบ้าน อย่าทำความส่อเสียด อย่าเป็นดุร้ายหยาบช้า จงบำรุง บิดามารดา มีความเคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล พระองค์ได้ทำมหาชนให้ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม

    ดูเป็นเรื่องธรรมดาๆ เป็นชีวิตประจำวัน แต่ธรรมคือชีวิตประจำวัน และ จะเห็นได้ว่า แม้เป็นข้อความธรรมดา แต่การประพฤติปฏิบัติตาม ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจในเหตุในผลและในคุณในโทษของกุศลธรรมและอกุศลธรรม

    พระโพธิสัตว์ทรงพระนามว่า ชนสันธะ ทรงแสดงธรรมแก่มหาชนว่า

    เหตุที่จะทำให้จิตเดือดร้อนนั้นมีอยู่ ๑๐ ประการ เมื่อบุคคลไม่ทำเสียในกาลก่อนแล้ว ย่อมเดือดร้อนในภายหลัง

    เรื่องเดือดร้อนใจ ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วจะไม่มี ทุกคนที่เกิดมาแล้วย่อมมีความเดือดเนื้อร้อนใจ แล้วแต่ว่าจะมากหรือจะน้อย และจะเป็นไปในเรื่องใด

    สำหรับธรรมที่ทำให้จิตเดือดร้อนนั้นมีอยู่ ๑๐ ประการ เมื่อไม่ทำในกาลก่อนย่อมเดือดร้อนในภายหลัง คือ

    บุคคลเมื่อยังเป็นหนุ่ม ไม่ทำความพยายามยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น ครั้นแก่ลง หาทรัพย์ไม่ได้ ย่อมเดือดร้อนภายหลังว่า เมื่อก่อนเราไม่ได้แสวงหาทรัพย์ไว้

    ศิลปะที่สมควรแก่ตน บุคคลใดไม่ได้ศึกษาไว้ในกาลก่อน บุคคลนั้น ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราไม่ได้ศึกษาศิลปะไว้ก่อน ผู้ไม่มีศิลปะย่อมเลี้ยงชีพลำบาก

    ผู้ใดเป็นคนโกง ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราเป็นคนโกง ส่อเสียด กินสินบน ดุร้าย หยาบคายในกาลก่อน

    ผู้ใดเป็นคนฆ่าสัตว์ ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราเป็นคนฆ่าสัตว์ หยาบช้า ทุศีล ประพฤติต่ำช้า ปราศจากขันติ เมตตา และเอ็นดูสัตว์ในกาลก่อน

    ผู้ใดคบชู้ในภรรยาผู้อื่น ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า หญิงที่ไม่มีใครหวงแหนมีอยู่เป็นอันมาก ไม่ควรที่เราจะคบหาภรรยาผู้อื่นเลย

    คนตระหนี่ ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เมื่อก่อนข้าวและน้ำของเรามีอยู่มากมาย เราก็ไม่ได้ให้ทานเลย

    พิจารณาดูว่า แต่ละท่านเดือดร้อนเพราะเหตุต่างๆ เหล่านี้บ้างหรือไม่

    ข้อต่อไป พระเจ้าชนสันธะตรัสว่า

    ผู้ไม่เลี้ยงดูมารดาบิดา ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราสามารถพอจะเลี้ยงดูมารดาและบิดาผู้แก่เฒ่าชราได้ ก็ไม่ได้เลี้ยงดูท่าน

    ผู้ไม่ทำตามโอวาทบิดา ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เราได้ดูหมิ่นบิดาผู้เป็นอาจารย์สั่งสอน ผู้นำรสที่ต้องการทุกอย่างมาเลี้ยงดู

    ผู้ไม่เข้าใกล้สมณพราหมณ์ ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เมื่อก่อนเราไม่ได้ ไปมาหาสู่สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีศีล เป็นพหูสูตเลย

    ผู้ใดไม่ประพฤติสุจริตธรรม ไม่เข้าไปนั่งใกล้สัตบุรุษ ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า สุจริตธรรมที่ประพฤติแล้วและสัตบุรุษอันเราไปมาหาสู่แล้ว ย่อมเป็นความดี แต่เมื่อก่อนนี้เราไม่ได้ประพฤติสุจริตธรรมไว้เลย

    ผู้ใดย่อมปฏิบัติเหตุเหล่านี้โดยอุบายอันแยบคาย ผู้นั้นเมื่อกระทำกิจที่ควรทำ ย่อมไม่เดือดร้อนใจในภายหลังเลย

    ฟังดูเป็นเรื่องไม่ยาก ง่ายกว่าการศึกษาเรื่องจิตประเภทต่างๆ เจตสิกประเภทต่างๆ รูปประเภทต่างๆ แต่นี่เป็นชีวิตจริงๆ ที่จะให้ทุกท่านได้พิจารณาโดยละเอียดว่า ได้กระทำเหตุที่จะไม่ทำให้ต้องเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลังบ้างหรือเปล่า เพราะว่า การเข้าใจเรื่องของจิตก็ดี เจตสิกก็ดี รูปก็ดีทั้งหมด ความเข้าใจที่เป็นปัญญานั้นเอง จะเป็นแสงสว่างที่ชี้หนทางถูกและผิดที่จะประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และสามารถดำเนินไปในทางที่เป็นกุศลทุกๆ เหตุการณ์

    ข้อความตอนท้ายมีว่า

    พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่มหาชนโดยนัยนี้ทุกๆ กึ่งเดือน แม้มหาชนก็ตั้งอยู่ ในโอวาทของพระองค์


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 2
    3 พ.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ