บารมีในชีวิตประจำวัน ตอนที่ 30


    แสดงให้เห็นถึงความวิจิตรของจิตซึ่งละเอียดมาก เพราะว่าทางตาก็เห็นทุกชาติ แต่ทันทีที่เห็น สลบ เป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด ใช้คำว่า หมกมุ่น มัวเมา เพลิดเพลิน ติดข้องในเรื่องต่างๆ ทางตา ในวิชาการต่างๆ หรือในบุคคล ต่างๆ ด้วยความรู้สึกต่างๆ แม้ว่าไม่ใช่วิชาการต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความวิจิตร ของสภาพธรรมที่คิดหลังจากที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร จะพ้นไปจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่ได้ ในภูมิที่ เป็นกามาวจรภูมิ คือ ภูมิที่เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะว่า ไม่ได้อบรมจิตจนกระทั่งเกิดความสงบถึงขั้นอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิซึ่งเป็น ฌานจิต เป็นจิตอีกระดับขั้นหนึ่งหรืออีกภูมิหนึ่งซึ่งไม่เป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

    ไม่ว่าจะเป็นวิชาการใดๆ ที่จะพ้นจากทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์แขนงใดก็ตาม ทุกอย่างจะไม่พ้นจากสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ในสังสารวัฏฏ์ สลบแล้วสลบอีก ไม่มีการที่จะฟื้นขึ้นมาจริงๆ เพียงแต่เพิ่งเริ่มจะรู้สึกตัวบ้าง

    ต้องเป็นผู้ที่รู้ตนเองว่า มากมายด้วยอกุศล และการที่จะละคลาย การที่จะดับต้องอบรมเจริญกุศลทุกประการ และไม่ใช่เพียงคิด คิดแล้วไม่ทำก็มีหลายคน ซึ่งเป็นเรื่องกำลังของกุศลที่ยังไม่พอให้เป็นผู้ที่ตรงและเป็นสัจจะ คือ คิดอย่างไร ทำอย่างนั้น ตรงทั้งกายทั้งวาจาต่อความคิดที่เป็นกุศล ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ต้องอาศัยสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งต่อไปอีกที่จะทำให้ไม่เพียงเพิ่งจะคิด แต่ไม่ทำ เพราะฉะนั้น จากคิด ก็ยังต้องอบรมสะสมบารมีด้วยการกระทำจริงต่อกุศลธรรมนั้นๆ ด้วย จนกว่าจะเป็นกุศลที่มีกำลังขึ้น เพราะฉะนั้น บารมีจึงมีมาก กว่าจะเป็นผู้ที่มั่นคงในบารมีทั้งหลายได้จริงๆ

    ขณะนี้ก็เป็นเรื่องของสัจจบารมี ซึ่งสัจจธรรมคือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ก็ไม่ง่ายที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้น

    นี่เป็นเรื่องของอริยสัจจธรรม เป็นสัจจธรรมที่ทำให้ผู้ที่สามารถรู้แจ้ง สภาพธรรมนั้นเป็นพระอริยบุคคล แต่ต้องทราบว่าเป็นเรื่องอบรมเจริญปัญญา ฟัง พิจารณา แล้วอบรมเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตรงกับสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใครจะรู้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่าขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ ใครรู้ ทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่กำลังคิดนึก ทุกวันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อริยสัจจธรรมเป็นสิ่งที่ยาก แต่สามารถอบรมเจริญปัญญาและบารมีทั้งหลายจนกว่าจะเพิ่มความรู้ลักษณะของสภาพธรรมขึ้น

    เทียบกับในทางโลก ความจริงในทางโลกก็รู้ไม่ง่ายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ข่าวคราวที่ได้ยินได้ฟังทางหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าเรื่องใกล้ เรื่องไกล จะเห็นได้ว่า เรื่องจริงๆ รู้ยาก เพราะบางทีสิ่งที่รู้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จริง แต่เข้าใจว่าจริง เพราะว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความคิด ความสับสนของจิต ของกิเลสของแต่ละคน ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยากที่จะรู้ความจริงได้

    สำหรับการที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งยากกว่าความจริงทางโลก ต้องเป็นผู้ที่นิยมในสัจจะ ในความจริงของตนเอง ซึ่งจะต้องอบรมทั้งกาย ทั้งวาจา และใจด้วย ทั้งในเรื่องที่อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ เหมือนกับเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ เช่น เรื่องคำพูด หรือเรื่องการนัดหมาย เรื่องสัญญา สิ่งเหล่านี้บางท่านคิดว่า ไม่เป็นไร เล็กน้อย แต่ความจริงแล้วจิตอะไรในขณะนั้นที่รู้สึกว่าเรื่องนั้นไม่จำเป็นจะต้องตรงหรือจริงตามที่ได้พูด หรือตามที่คิดไว้

    แสดงให้เห็นว่า จิตของแต่ละคนละเอียดและลึก ถ้าไม่มีปัญญาพร้อมสติจริงๆ ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า แม้แต่เพียงกิเลสอย่างบางเบา เล็กน้อย นั่นก็เกิดจากการสะสม ไม่ใช่เป็นเฉพาะในชาตินี้ชาติเดียว เพราะถ้าชาตินี้เป็นอย่างนี้ ก็ย้อนไปได้เลยว่า ชาติก่อน และชาติก่อนๆ และชาติก่อนๆ โน้น ไม่ว่าจะเคยเกิดเป็นใคร มีชีวิตอย่างไร แต่กิเลสเหล่านี้ไม่ได้เบาบางเลย เพราะว่าแม้ในชาตินี้ก็ยังเป็นอย่างนี้

    ด้วยเหตุนี้ผู้ที่จะอบรมเจริญปัญญาจริงๆ นอกจากจะเป็นผู้ที่รักสัจจะ ความจริง ต้องการที่จะรู้ความจริงแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่นิยมขัดเกลาตนเองให้เป็นผู้ที่ มีกายวาจาจริง และต้องเป็นผู้ที่หนักแน่นมั่นคงในการเจริญกุศลซึ่งเป็นบารมีต่อไป คือ อธิษฐานบารมี

    จิตเปลี่ยนแปลงได้ เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล บางทีตั้งใจเหลือเกิน ที่จะเป็นกุศล แต่เมื่อมีอกุศลผ่านมาชักชวน คนนั้นก็ทิ้งกุศลอย่างง่ายๆ และไปตามอกุศล แสดงให้เห็นถึงความหนักแน่นว่า มีมาก หรือมีน้อย ในการที่จะเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลส หรือไม่คลอนแคลนในกุศลธรรม ซึ่งความตั้งมั่นคงไม่อ่อนไหวไป ตามกิเลส ไม่คลอนแคลนในกุศลธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ทุกท่านที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ต้องเห็นประโยชน์ เพราะถ้าขาดบารมีนี้ กุศลทั้งหลายเจริญไม่ได้

    ขอกล่าวถึงพระชาติหนึ่งของพระโพธิสัตว์เพื่อแสดงให้เห็นว่า ในพระชาตินั้นพระองค์ทรงมีอธิษฐานปรมัตถบารมีอย่างไร

    ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าเรื่องพระชาติในอดีตของพระองค์ว่า

    ในกาลเมื่อเราเป็นโอรสของพระเจ้ากาสี ในกาลนั้นชื่อว่ามูคผักขะ ชนทั้งหลายเรียกเราว่า เตมิยะ ชนทั้งหลายทั้งปวงตั้งแต่พระมารดาพระบิดาเป็นต้นเรียกเราว่า มูคผักขะ เพราะอธิษฐานเป็นคนใบ้และเป็นคนง่อยเปลี้ย

    อนึ่ง พระโพธิสัตว์นั้น ยังพระทัยของพระราชาและใจของอำมาตย์ทั้งหลาย เป็นต้นให้ชุ่มชื่นด้วยปีติและสิเนหาอย่างยิ่ง ฉะนั้น จึงได้นามว่า เตมิยกุมาร

    มี ๒ ชื่อ เพราะมีเหตุ ๒ อย่าง

    ในพระชาตินั้น

    ในอดีตกาลครั้งพระเจ้ากาสีครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระองค์มีสนม ๑๖,๐๐๐ นาง สนมเหล่านั้นไม่ได้มีบุตรหรือธิดาแม้แต่คนเดียว ชาวพระนคร ก็เดือดร้อนว่า ไม่มีพระโอรสที่จะรักษาพระราชวงศ์ต่อไป จึงได้กราบทูลพระราชาให้ปรารถนาพระโอรสเถิด พวกสนมเหล่านั้นก็ทำการบวงสรวงพระจันทร์เป็นต้น แต่ก็ไม่มีบุตร ฝ่ายพระนางจันทาเทวีพระธิดาของพระเจ้ามัททราช อัครมเหสีของพระราชานั้น พระนางสมบูรณ์ด้วยศีล เมื่อพระราชาตรัสให้พระนางปรารถนาโอรส ในวันเพ็ญพระนางทรงรักษาอุโบสถ ระลึกถึงศีลของตนแล้วทรงตั้งสัจจกิริยาว่า หากเรามีศีลไม่ขาด ด้วยสัจจะของเรานี้ ขอให้มีพระโอรส

    ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวีนั้น เมื่อ พระโพธิสัตว์ประสูติ กุมาร ๕๐๐ คนก็เกิดในเรือนของพวกอำมาตย์ทั้งหลาย พระราชาทรงให้กุมารเหล่านี้เป็นบริวารของพระโอรส ทรงส่งแม่นม ๕๐๐ คน และเครื่องประดับของกุมารให้แก่กุมาร ๕๐๐ คนนั้น

    อนึ่ง พระราชาทรงให้แม่นม ๖๔ คน ปรนนิบัติดูแลพระกุมาร เมื่อพระกุมารทรงเจริญมีพระชนม์ได้ ๑ เดือน พวกแม่นมนำพระกุมารมาเฝ้าพระราชา พระราชาทรงให้พระกุมารประทับนั่งบนพระเพลา

    ในขณะนั้นโจร ๔ คนถูกนำมาให้ทรงพิพากษาโทษ ในโจร ๔ คนนั้น คนหนึ่งพระราชาทรงตัดสินให้เฆี่ยนด้วยหวายมีหนาม ๑,๐๐๐ ครั้ง คนหนึ่งให้ใส่ตรวนส่งเข้าเรือนจำ คนหนึ่งให้เอาหอกทิ่มแทงบนร่างกาย คนหนึ่งให้เสียบด้วยหลาว

    พระโพธิสัตว์ได้ทรงฟังคำพิพากษาของพระบิดาก็เกิดสลดใจ กลัวการกระทำกรรมหนักอันจะนำไปสู่นรก

    รุ่งขึ้นพวกแม่นมให้พระมหาสัตว์บรรทมภายใต้เศวตฉัตร พระโพธิสัตว์บรรทมหลับไปได้หน่อยหนึ่ง ทรงลืมพระเนตรแลดูเศวตฉัตร ทรงรำพึงว่า เรามาสู่ พระราชวังนี้จากไหนหนอ ครั้นทรงทราบว่ามาจากเทวโลก ด้วยทรงจำชาติได้ จึงทรงระลึกถัดจากพระชาตินั้นไปอีก ทรงเห็นว่า พระองค์เคยหมกไหม้อยู่ใน อุสสทนรก ทรงระลึกถัดจากชาตินั้นไปอีก ทรงทราบว่า พระองค์เคยเป็นพระราชา อยู่ในนครนี้เอง ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า เราไม่ต้องการราชสมบัติ เราจะพึงพ้นไปจากเรือนโจรนี้ได้อย่างไรหนอ

    สำหรับคนที่สะสมกุศลมามากๆ แม้อยู่ในพระราชวังใต้พระเศวตฉัตร ก็เห็นว่าเป็นเรือนโจร เพราะว่าตราบใดที่ยังมีอกุศลจิตก็ยังมีเหตุให้ทำอกุศลกรรม ไม่พ้นไปจากเรือนโจรนั้นได้

    ลำดับนั้น เทพธิดาองค์หนึ่งผู้เป็นมารดาของพระโพธิสัตว์ในอัตภาพหนึ่ง สิงสถิตอยู่ในเศวตฉัตรนั้น เป็นผู้ใคร่ประโยชน์ แสวงหาประโยชน์แก่พระโพธิสัตว์ จึงแนะนำให้ทำเป็นคนใบ้ เป็นคนง่อยเปลี้ย เป็นคนหนวก เพื่อจะได้พ้นจาก ราชสมบัติ

    ยากไหม ใครทำได้ แสดงให้เห็นถึงความหนักแน่นมั่นคง เมื่อได้ตั้งใจที่จะทำอย่างไรก็ไม่ท้อถอย ไม่คลอนแคลนที่จะทำอย่างนั้น

    ตั้งแต่นั้น พระโพธิสัตว์ก็ทรงแสดงพระองค์เหมือนเป็นใบ้เป็นต้น พระมารดา พระบิดาและพวกนางนมเป็นต้นคิดว่า ธรรมดาปลายคางของคนใบ้ ช่องหูของ คนหนวก มือเท้าของคนง่อยเปลี้ย มิได้เป็นอย่างนี้ ในเรื่องนี้พึงมีเหตุ จึงเริ่มทดลองพระกุมาร โดยไม่ให้ดื่มน้ำนมตลอดวัน พระกุมารนั้นหิว แต่ก็ไม่ทรงร้องเพื่อเสวยนม

    พระมารดาทรงดำริว่า พระกุมารคงหิว จึงให้พวกแม่นมให้น้ำนมแก่พระกุมาร พวกแม่นมให้น้ำนมและไม่ให้น้ำนมเป็นระยะๆ อย่างนี้ แม้ทดลองอยู่ปีหนึ่ง ก็ยังไม่เห็นทางที่พระกุมารจะเปลี่ยนใจ

    เด็กมากทีเดียว แต่ก็สามารถทำอย่างนั้นได้

    แต่นั้นพวกแม่นมคิดว่า ธรรมดาเด็กย่อมชอบขนมและของเคี้ยว ชอบผลไม้ ชอบของเล่น ชอบอาหาร จึงนำของเหล่านั้นเข้าไปให้เพื่อทดลองให้พระกุมาร แสดงความไม่ใบ้ แต่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจพระกุมารได้ตลอดเวลา ๕ ปี

    ลำดับนั้น พวกแม่นมคิดว่า ธรรมดาเด็กย่อมกลัวไฟ กลัวช้างตกมัน กลัวงู กลัวคนเงื้อดาบ เราจักทดลองด้วยเหตุนั้นๆ จึงได้ทดลองดังกล่าวโดยไม่ให้เป็นภัยแก่พระกุมาร

    พระโพธิสัตว์ทรงรำพึงถึงภัยในนรก จึงไม่หวั่นไหวด้วยทรงเห็นว่า นรกน่ากลัวยิ่งกว่านี้ร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า พวกแม่นมทดลองอยู่แม้อย่างนี้ ก็ไม่เห็นทางที่จะเปลี่ยนใจของพระโพธิสัตว์ได้ จึงคิดว่า ธรรมดาเด็กต้องการดูมหรสพ จึงให้สร้าง โรงมหรสพ แล้วให้ประโคมด้วยเสียงสังข์และเสียงกลองให้กึกก้อง ก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนพระหทัยพระกุมารได้ แม้จะจุดตะเกียงส่องในที่มืด หรือจุดไฟให้สว่าง

    คงหมายถึงให้สว่างจ้า

    เอาน้ำอ้อยทาทั่วตัว และให้นอนในที่มีแมลงวันชุม และไม่ให้อาบน้ำ ให้นอนบนอุจจาระและปัสสาวะเป็นต้น แม้เสียดสี เยาะเย้ย ด่าว่า พระโพธิสัตว์ซึ่งนอนจมมูตรและกรีส หรือแม้ทำกระเบื้องไฟไว้ใต้เตียงแล้วเผาให้ร้อนบ้าง แม้ทดลองด้วยอุบายหลายๆ อย่าง ก็ไม่มีช่องทางที่จะเปลี่ยนพระทัยของพระกุมารได้เลย

    พวกแม่นมทดลองอย่างนี้ถึง ๑๕ ปี ครั้นพระชนม์ได้ ๑๖ พระพรรษา พวกแม่นมคิดว่า คนง่อยเปลี้ยก็ตาม คนใบ้คนหนวกก็ตาม จะไม่พอใจในสิ่งที่ ควรพอใจ จะไม่อยากเห็นในสิ่งควรเห็น ย่อมไม่มี ฉะนั้น เราจะหานาฏศิลป์ มาทดลองพระกุมาร จึงเอาน้ำหอมอาบพระกุมาร ประดับประดาดุจเทพบุตร เชิญขึ้นบนปราสาท อันมีความบันเทิงเบิกบานอย่างเดียว ด้วยดอกไม้ของหอมและพวงมาลัยเป็นต้น เหมือนเทพวิมาน แล้วให้สตรีล้วนมีรูปร่างงดงามเปรียบด้วยเทพอัปสร คอยบำเรอให้พระกุมารทรงอภิรมย์ด้วย สตรีเหล่านั้นต่างก็พยายามให้พระกุมาร ทรงอภิรมย์ด้วย แต่เพราะพระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยพระปัญญาจึงทรงกลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะด้วยทรงหวังว่า สตรีเหล่านี้อย่าได้สัมผัสร่างกายของเราเลย

    ไม่ยอมหายใจ กลั้นลมหายใจให้ตัวแข็ง

    สตรีเหล่านั้น เมื่อไม่ได้สัมผัสร่างกายของพระกุมารจึงคิดว่า พระกุมารนี้ มีพระวรกายกระด้าง คงไม่ใช่มนุษย์แน่ คงจักเป็นยักษ์ จึงพากันกลับไป

    พระมารดาพระบิดาไม่ทรงสามารถเปลี่ยนพระทัยพระโพธิสัตว์ด้วยการ ทดลองใหญ่ ๑๖ ครั้ง และด้วยการทดลองเล็กๆ น้อยๆ อีกหลายครั้งตลอด ๑๖ ปีอย่างนี้ จึงทรงขอร้องต่างๆ กัน และหลายครั้งว่า

    เตมิยกุมารลูกรัก พ่อและแม่รู้ว่า ลูกไม่เป็นใบ้ เพราะปาก หู และเท้าอย่างนี้ไม่ใช่ของคนใบ้ คนหนวก และคนง่อยเปลี้ยเลย ลูกเป็นบุตรที่พ่อและแม่ปรารถนา จะได้มา ลูกอย่าให้พ่อแม่ต้องพินาศเสียเลย จงปลดเปลื้องข้อครหาจากราชสำนัก ในชมพูทวีปทั้งสิ้นเถิด

    พระกุมารนั้น แม้พระมารดาพระบิดาทรงขอร้องอยู่อย่างนี้ ก็บรรทมทำเป็นไม่ได้ยิน

    ลำดับนั้นพระราชารับสั่งให้บุรุษผู้ฉลาดตรวจดูพระบาททั้งสอง ช่องพระกรรณทั้งสอง พระชิวหา และพระหัตถ์ทั้งสองแล้ว ทรงสดับคำที่อำมาตย์กราบทูลว่า

    บัดนี้ผู้ชำนาญการทายลักษณะกล่าวว่า ผิว่าพระบาทเป็นต้นของพระกุมารนี้ เหมือนของคนไม่ง่อยเปลี้ยเป็นต้น พระกุมารนี้ก็จะไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย ใบ้ และหนวกจริง เห็นจะเป็นกาลกรรณี เมื่อคนกาลกรรณีเช่นนี้อยู่ในพระราชวัง จะปรากฏอันตราย ๓ อย่าง คือ อันตรายของชีวิต ๑ อันตรายของเศวตฉัตร ๑ อันตรายของพระมเหสี ๑ แต่ในวันประสูติเพื่อมิให้พระองค์ทรงเสียพระทัยจึงทำนายว่า กุมารนี้มีบุญลักษณะครบถ้วน

    พระราชาทรงกลัวภัยจึงมีพระบัญชาว่า พวกท่านจงไป ให้กุมารนั้นบรรทม ในรถอวมงคล นำออกทางประตูหลัง แล้วฝังเสียในป่าช้าผีดิบ

    พระโพธิสัตว์ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งว่า ความปรารถนาของเราเป็นเวลาช้านานจักถึงความสำเร็จ

    เมื่อพระนางจันทาเทวีทรงทราบว่า พระราชามีพระบัญชาให้นำพระกุมารไปฝัง จึงเข้าไปเฝ้าพระราชา ทูลขอพรให้ทรงประทานราชสมบัติแก่โอรส พระราชาตรัสว่า โอรสของพระนางเป็นกาลกรรณี ให้ราชสมบัติไม่ได้

    พระนางทูลว่า ข้าแต่พระองค์ เมื่อพระองค์ไม่ทรงให้ตลอดชีวิต ก็ขอทรง โปรดให้ ๗ ปีเถิด พระราชาตรัสว่า ให้ไม่ได้

    พระนางทูลว่า ขอได้ทรงโปรดให้ ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ๗ เดือน ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน ๓ เดือน ๒ เดือน ๑ เดือน ครึ่งเดือน จนถึง เพียง ๗ วันเถิด

    พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นก็ให้ได้

    พระเทวีตกแต่งพระโอรส ทรงให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนครว่า นี้เป็น ราชสมบัติของเตมิยกุมาร แล้วให้พระโอรสขึ้นคอช้าง ยกเศวตฉัตรให้พระโอรส ซึ่งทำประทักษิณพระนครเสด็จกลับมา แล้วบรรทม ณ สิริไสยาสน์ที่ตกแต่งแล้ว พระนางจันทาเทวีทรงขอร้องอยู่ตลอดคืนว่า พ่อเตมิยะ แม่นอนไม่หลับมา ๑๖ ปีแล้ว ร้องไห้เพราะลูกจนนัยน์ตาบวม หัวใจของแม่เพียงจะแตกด้วยความเศร้าโศก แม่รู้ว่าลูกไม่ง่อยเปลี้ยเป็นต้น ลูกอย่าทำให้แม่หมดที่พึ่งเลย

    พระเทวีทรงขอร้องโดยทำนองนี้ล่วงไป ๖ วัน

    ในวันที่ ๖ พระราชาตรัสเรียกสุนันทสารถีมาแล้วตรัสว่า พรุ่งนี้จงนำพระกุมารโดยรถอวมงคลออกไปแต่เช้าตรู่ ฝังลงในแผ่นดินที่ป่าช้าผีดิบ กลบดินให้เรียบ แล้วจงกลับ

    พระเทวีได้ฟังดังนั้นตรัสว่า ลูกเอ๋ย พระเจ้ากาสีมีพระบัญชาให้ฝังลูกที่ป่าช้า ผีดิบในวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ลูกก็จักถึงความตาย

    พระโพธิสัตว์ทรงสดับดังนั้น จึงร่าเริงยินดีอย่างยิ่งที่การทรงกระทำความเพียรถึง ๑๖ ปีนั้น ใกล้จะถึงที่สุดแล้ว แต่พระหทัยของพระมารดาของพระโพธิสัตว์ ได้เป็นดุจมีอาการแตกสลายไป

    เมื่อราตรีนั้นผ่านไป สารถีนำรถมาแต่เช้าตรู่ จอดไว้ที่ประตู เข้าไปทูล พระนางจันทาเทวีว่า ข้าแต่พระเทวี พระองค์อย่าทรงพิโรธหม่อมฉันเลย หม่อมฉัน ทำตามพระราชบัญชา แล้วอุ้มพระกุมารลงจากปราสาท

    พระเทวีทรงพระกันแสงด้วยพระสุรเสียงดัง แล้วทรงล้มลง

    ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงมองดูพระมารดา ทรงดำริว่า เมื่อเราไม่พูด พระมารดาจักเศร้าโศกสุดกำลัง แม้อยากจะพูดแต่ก็อดกลั้นไว้ด้วยพระดำริว่า หากเราจักพูด ความพยายามที่เราทำมาตลอด ๑๖ ปีก็จะไร้ผล แต่เมื่อเราไม่พูด จักเป็นปัจจัยแก่ตัวเรา แก่พระมารดา และพระบิดา

    สารถีนำพระโพธิสัตว์ขึ้นรถ แล่นไปยังที่ประมาณ ๓ โยชน์ แนวป่า ณ ที่นั้น ได้ปรากฏแก่สารถีดุจป่าช้าผีดิบ สารถีคิดว่า ที่นี้ดีแล้ว จึงหยุดรถจอดไว้ข้างทาง แล้วลงจากรถ เปลื้องเครื่องประดับของพระโพธิสัตว์ออกห่อ วางไว้ ถือเอาจอบ เริ่มขุดหลุมไม่ไกลนัก

    ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ เมื่อสุนันทสารถีกำลังขุดหลุม คิดว่า นี้เป็นความพยายามของเรา จึงลุกขึ้น แล้วบีบพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ ทรงทราบว่าเรามีกำลังอยู่ จึงทรงดำริจะเสด็จลงจากรถ

    พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากรถ ทรงดำเนินไปๆ มาๆ เล็กน้อย ทรงทราบว่า มีกำลังพอที่จะไปได้แม้ตั้ง ๑๐๐ โยชน์ จึงทรงจับรถข้างท้ายแล้วยกขึ้นดุจยานน้อยสำหรับเด็กเล่น ทรงสังเกตว่า หากสารถีจะพึงทำร้ายพระองค์ พระองค์ก็มีกำลังพอที่จะป้องกันการทำร้ายได้

    ซึ่งข้อความละเอียดตอนนี้ ท่านผู้ฟังจะอ่านได้จาก อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก

    พระโพธิสัตว์ทรงแสดงธรรมแก่นายสารถีว่า

    ท่านอาศัยเราผู้เป็นโอรสของพระราชาพระองค์นั้นเป็นอยู่ ดูกร สารถี หากท่านฝังเราในป่า ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม บุคคลพึงนั่งหรือพึงนอนใต้ร่มไม้ใด ไม่พึงหักกิ่งไม้นั้น เพราะผู้ทำลายมิตรเป็นคนลามก พระราชาเหมือนต้นไม้ เราเหมือนกิ่งไม้ ดูกร สารถี ท่านเหมือนบุรุษที่เข้าไปอาศัยร่มเงา หากท่านฝังเรา ในป่า ท่านพึงทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม

    สารถีได้ฟังก็ทูลอ้อนวอนให้พระโพธิสัตว์เสด็จกลับ

    เพราะรู้แล้วว่า ไม่ได้เป็นใบ้เลย

    พระองค์จึงตรัสถึงเหตุที่ไม่เสด็จกลับ และความพอใจในบรรพชา ตลอดถึงเรื่องราวของพระองค์ในภพที่ล่วงไปแล้ว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 2
    3 พ.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ