บารมีในชีวิตประจำวัน ตอนที่ 10


    และเมื่อเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน แม้ขณะที่เดินก็เป็นผู้มีสติ แต่ไม่ใช่ มีความเห็นผิดว่า ตั้งใจจงกรมเพื่อให้เป็นสมาธิ ถ้ามีความเห็นอย่างนั้น ขณะนั้น จะเห็นได้ว่า มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการอบรมเจริญปัญญา

    สำหรับเรื่องของการอบรมเจริญสมาธิ หรือบางท่านที่เคยทำสมาธิมาแล้ว จะรู้ได้ว่า เป็นมิจฉาสมาธิ หรือเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิก็เป็นเรื่องกุศล แต่กุศลขั้นสมาธิหรือสมถภาวนาไม่สามารถทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ในชีวิตจึงควรเป็นการอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่เมื่อใดท่านผู้ใดรู้แจ้งอริยสัจจธรรมด้วยจิตที่สงบถึงขั้นฌาน นั่นก็เป็นการสะสม เครื่องประกอบของการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเท่านั้น แต่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมสามารถเกิดขึ้นได้โดยที่จิตไม่ต้องสงบถึงขั้นฌานจิต

    ขอเล่าถึงการสนทนากับท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ซึ่งท่านบอกว่า ครั้งหนึ่งท่านอยากทำสมถภาวนา ก็ได้เรียนถามท่านว่า ท่านจะทำสมถภาวนาโดยใช้อารมณ์อะไร ท่านก็เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกท่านคิดที่จะใช้ปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ แต่ว่ายุ่งยาก เพราะจะต้องไปหาดินสีอรุณมาเพ่ง และจะต้องมาทำเป็นกสิณ ท่านจึงดูพระอาทิตย์ เพราะว่าสะดวก แต่ในขณะที่ท่านดูพระอาทิตย์ ท่านก็เห็นแสงของพระอาทิตย์สวยดี เพราะฉะนั้น ก็ได้ทักท้วงท่านผู้นั้นทันทีว่า ขณะที่ใช้แสงพระอาทิตย์เป็นกสิณ คือวัณณกสิณและเกิดความรู้สึกว่า แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณนั้นสวยดี ขณะนั้น จิตสงบหรือเปล่า ในเมื่อใช้คำว่า สวยดี ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ขณะนั้นต้องเป็น จิตที่ยินดีพอใจในสีที่สวยนั้น

    ตอนหลังเมื่อท่านผู้นั้นเข้าใจเรื่องสมถภาวนา ท่านก็กล่าวว่า เวลาที่ท่าน ดูพระอาทิตย์ ท่านไม่สามารถรู้ได้ว่าจิตที่สงบเป็นอย่างไร ซึ่งตามความเป็นจริง เหตุที่ท่านไม่สามารถรู้ได้ว่าจิตที่สงบเป็นอย่างไร ก็เพราะว่าในขณะนั้นจิตไม่สงบ

    ผู้ที่สามารถรู้ลักษณะของจิตที่สงบ ก็ต่อเมื่อจิตที่สงบเกิดขึ้น ขณะใดที่ กุศลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นสงบ และถ้าเป็นผู้ที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เริ่มที่จะพิจารณาสภาพของจิตที่ต่างๆ กัน ก็จะรู้ได้ว่า จิตขณะที่เป็นกุศลสงบ จากขณะที่จิตเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความติด มีความชอบ มีความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้จะคิดว่าตนเองกำลังเจริญสมถภาวนา กำลังดูสีของแสงพระอาทิตย์เป็นอารมณ์ แต่ถ้าขณะนั้นกุศลจิตไม่เกิด ความสงบไม่มี ผู้นั้นก็กล่าวว่า ไม่สามารถรู้ได้ว่า จิตที่สงบเป็นอย่างไร

    และภายหลังเมื่อท่านผู้นั้นเข้าใจเรื่องการเจริญสมถภาวนาแล้ว ท่านก็ได้เล่าต่อไปว่า ตามปกติท่านขึ้นรถประจำทาง ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกล เวลาที่ท่านเห็น เด็กนักเรียนบ้าง หรือคนที่มีอายุแล้วบ้าง ท่านก็หลับตา จะได้ไม่ต้องลุกให้เด็กหรือ คนที่มีอายุแล้วนั่ง แต่ภายหลังท่านเกิดเมตตา ท่านก็ถือกระเป๋าของเด็กบ้าง หรือให้ที่นั่งแก่ผู้ที่ควรจะให้บ้าง ขณะนั้นท่านสามารถรู้ลักษณะของจิตที่ประกอบด้วยเมตตาว่า ต่างกับขณะที่ท่านไม่มีเมตตาเลย เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดมีสติสัมปชัญญะ จะพิจารณาลักษณะสภาพของจิตที่สงบเป็นกุศล ย่อมรู้ความต่างกันของขณะที่เป็นกุศลจิตซึ่งสงบกับขณะที่เป็นอกุศล

    ด้วยเหตุนี้สมถกัมมัฏฐานทั้งหมดที่ควรเจริญในชีวิตประจำวันจึงได้แก่ สัพพัตถกกัมมัฏฐาน คือ เมตตากัมมัฏฐาน และมรณสติ ซึ่งทุกท่านจะพิจารณา เห็นได้ว่า การที่จะให้จิตสงบโดยวิธีอื่นๆ ในชีวิตประจำวันนั้นไม่ง่าย และไม่ได้มี บ่อยทุกโอกาสเท่ากับการที่จะระลึกถึงความตาย คือ มรณสติ หรือการเป็นผู้มีปกติ มีเมตตา เพราะว่าทุกท่านต้องพบกับบุคคลอื่นๆ และในขณะที่พบกับบุคคลอื่น บางครั้งอาจจะเกิดโลภะ บางครั้งอาจจะเกิดโทสะ ในขณะนั้นถ้าสติสัมปชัญญะเกิด กุศลจิตที่เมตตาเกิด ขณะนั้นก็เป็นความสงบ ซึ่งจะสังเกตและรู้ได้ และเมื่อรู้ลักษณะของจิตที่สงบแล้ว จึงจะเจริญความสงบเพิ่มขึ้นจนกระทั่งความสงบนั้นสามารถปรากฏเป็นความสงบที่มั่นคง เป็นสมาธิขั้นต่างๆ ได้

    นี่คือการอบรมเจริญสมถภาวนาจริงๆ ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ที่อยากจะทำสมถภาวนา และพยายามหาอารมณ์ของสมถภาวนา แต่ความสงบก็ไม่เกิด

    จะเห็นได้ว่า ช่องทางที่โลภะซึ่งเป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้าจะเกิดในขณะที่ สติปัฏฐานไม่เกิดย่อมมีมาก ถ้าความคิดและการกระทำในชีวิตประจำวันของ แต่ละท่านยังไม่เป็นไปตามคลองของธรรมที่ถูกที่ควร ก็แสดงว่า ท่านยังไม่ได้สะสม สติขั้นการฟังพระธรรมและสติปัฏฐานเพียงพอที่ใกล้ต่อการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งบางคนอาจจะอยากรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจนลืมพิจารณาความคิดและการกระทำ ทางกาย ทางวาจา ของตนเองในวันหนึ่งๆ ว่า เป็นไปในคลองของธรรมที่ถูกที่ควรหรือไม่

    ถ้าทุกท่านเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาและดำรงชีวิตในทางที่ถูกที่ควรตามคลองของธรรม เพราะเมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นเหตุทำให้ชีวิตประจำวันของทุกท่านดำเนินไปในคลองของพระธรรม ถ้าแต่ละชาติๆ เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องห่วง และไม่ต้องหวังว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเมื่อไร เพราะเมื่อเหตุสมควรแก่ผล ผลก็ต้องเกิดขึ้น แต่ถ้าเหตุยังไม่สมควรแก่ผล ที่จะหวังที่จะนั่งจนกระทั่งเลือดเนื้อแห้งเพื่อจะ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเจตนาไม่ใช่มรรคมีองค์ ๘ ไม่ได้เป็นเหตุให้ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญา ความรู้ ความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทั่วทั้ง ๖ ทาง

    ขอกล่าวถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเหตุสมควรแก่ผล โดยไม่มีใคร รู้จริงๆ ว่าจะเกิดขึ้นในขณะไหน เช่น การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง

    ปรมัตถโชติกา อรรถกถา สุตตนิบาต อุรควรรค ขัคควิสาณสูตร คาถาที่ ๒ มีข้อความโดยย่อว่า

    พระปัจเจกโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญสมณธรรมในศาสนาของพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า กัสสปะ ตลอดสองหมื่นปี

    เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก และเป็นการแสดงเพียงชาติที่ท่านเกิดในสมัยของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะ แต่แม้กระนั้นท่านก็บำเพ็ญสมณธรรมตลอดสองหมื่นปี

    ท่านทั้งบรรลุฌาน และพิจารณานามธรรมและรูปธรรม แต่ไม่บรรลุมรรคผล ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เมื่อสิ้นชีวิตแล้วท่านก็เกิดในพรหมโลก เมื่อจุติจาก พรหมโลก ก็เกิดในครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสี พระองค์ไม่ทรงยินดีในสัมผัสของสตรีทั้งหลาย เพราะฉะนั้น พวกบุรุษเท่านั้นเป็นผู้เลี้ยงดู พระราชกุมารนั้น ด้วยเหตุนั้นพระญาติทั้งหลายจึงขนานพระนามพระราชกุมารว่า อนิตถิคันโธ

    เมื่อพระราชกุมารมีพระชันษาได้ ๑๖ พระชันษา พระราชบิดาก็ใคร่ให้ พระราชกุมารดำรงวงศ์ตระกูล พระราชกุมารก็ตรัสสั่งให้พวกช่างทองทำรูปสตรีให้ งามเลิศราวเนรมิต และตรัสให้แสวงหาสตรีที่งามประดุจรูปทองนั้นมาถวายพระองค์

    เพราะไม่ทรงยินดีในการสัมผัสของหญิง จึงคิดว่าหนทางเดียวที่จะไม่ทำตามพระประสงค์ของพระราชบิดา คือ ให้ช่างทองทำรูปสตรีที่งามเลิศราวเนรมิตด้วยคิดว่า คงไม่มีสตรีที่งามเลิศอย่างนี้

    พวกอำมาตย์ได้นำรูปทองคำไปตามชนบทใหญ่ๆ ๑๖ แห่ง เว้นมัททรัฐเพียง รัฐเดียว เพราะเห็นว่าเป็นเพียงรัฐเล็กๆ เมื่อหาสตรีที่งามประดุจรูปทองคำนั้น ไม่ได้ในชนบทใหญ่ๆ ๑๖ แห่ง ก็ได้สู่มัททรัฐ เพราะว่าไม่อยากกลับไปก่อนและให้พระราชาส่งกลับไปใหม่

    เมื่อพวกอำมาตย์ไปสู่สาคลนครในมัททรัฐก็ได้ทราบว่า พระธิดาของ พระเจ้ามัททวะนั้นสวยงามยิ่งกว่ารูปทองคำ จึงได้เข้าไปเฝ้าและทูลขอพระราชธิดา ซึ่งพระราชาก็พระราชทานให้ พวกอำมาตย์ได้ส่งข่าวทูลพระเจ้าพาราณสีให้ทรงทราบ และทูลถามว่า พระองค์จะเสด็จมาเอง หรือให้พวกอำมาตย์เท่านั้นรับพระธิดาไป

    พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงส่งข่าวไปว่า เมื่อพระองค์เสด็จไป จะเป็นการเบียดเบียนชนบท เพราะเหตุว่าพระองค์เป็นใหญ่กว่าชนบทนั้นๆ ฉะนั้นก็ ให้พวกอำมาตย์นำธิดาไป ซึ่งเมื่อพระราชกุมารได้สดับข่าวนั้นก็ทรงถูกราคะครอบงำ พระองค์ทรงส่งทูตคนอื่นไปอีกเพื่อให้นำพระธิดามาเร็วๆ พวกอำมาตย์ก็รีบนำพระธิดาไปสู่กรุงพาราณสี โดยพักเพียงคืนเดียวเท่านั้น

    เมื่อถึงภายนอกพระนครก็ส่งข่าวไปถวายพระราชาว่า จะทรงโปรดให้นำพระธิดาเข้าสู่พระนครในวันนี้หรือไม่ พระเจ้ากรุงพาราณสีตรัสให้นำพระธิดาไปที่ พระราชอุทยานก่อน เพื่อทำมงคลกิริยา แล้วจึงจะให้เข้ามาด้วยสักการะใหญ่สมควรแก่ตระกูลอันประเสริฐที่สุด อำมาตย์เหล่านั้นก็ได้ทำตามพระราชโองการ

    พระธิดาบอบช้ำแล้วเพราะการกระทบกระแทกแห่งยาน ทำให้มีโรคลมเกิดขึ้น เพราะความเมื่อยล้าจากการเดินทางไกลจึงได้ทำกาละ (คือ สิ้นพระชนม์) ในคืนนั้นเอง ดุจดอกไม้ที่เหี่ยวไปฉะนั้น

    เมื่อพระราชกุมารทรงสดับเท่านั้น ทรงโศกเศร้าอย่างยิ่ง ต่อแต่นั้นก็ ทรงดำริว่า ธรรมดาความโศกนี้ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด แต่ย่อมมีแก่ผู้เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น ความโศกมี เพราะอาศัยชาติ ก็ชาติมีเพราะอาศัยอะไรเล่า แต่นั้นทรงมนสิการโดยแยบคายด้วยอานุภาพแห่งภาวนาในกาลก่อนอย่างนี้ว่า ชาติมี เพราะอาศัยภพ (คือ กัมมภพ) ทรงเห็นปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลมและปฏิโลม ทรงพิจารณาสังขารทั้งหลาย ประทับนั่ง ณ ที่นั้นนั่นแล ก็ทรงกระทำให้แจ้งซึ่ง ปัจเจกโพธิญาณ

    เพราะฉะนั้น ทุกท่าน ทุกชาติ ไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้น

    การเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรม และเป็นผู้ที่เคยอบรมเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม และเข้าใจสภาพของนามธรรมและรูปธรรมเพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งในชาติสุดท้ายที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่มีใครสามารถทราบวิถีชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายของ ชาตินั้นว่าจะประสบกับเหตุการณ์อะไรบ้าง ซึ่งก็ดูเป็นชีวิตธรรมดาไม่ต่างกัน ชาติก่อนหรือชาตินี้ หรือชาติหน้าต่อๆ ไปอีกทุกๆ ชาติ ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ แม้จะเคยได้ฌาน ฌานเสื่อม เคยเจริญสติปัฏฐาน เคยระลึกรู้พิจารณาลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็เหมือนกับผู้ที่มีชีวิตตามปกติธรรมดา ตามกำลังของกุศลและอกุศล เพราะว่าในกาลช่วงหนึ่งก็อาจจะเป็นผู้ที่ดูเสมือนมี กิเลสน้อย แต่ความจริงแล้วถ้ายังไม่ได้ดับกิเลส จะชื่อว่าน้อยไม่ได้

    มีท่านผู้ฟัง ๒ ท่านสนทนากัน ท่านผู้หนึ่งบอกว่า ตั้งแต่ท่านศึกษาพระธรรมรู้สึกว่า กุศลของท่านเกิดมาก และชีวิตของท่านก็เปลี่ยนแปลง คือ เป็นผู้ที่ดีขึ้นมาก ท่านพิจารณาสังเกตจากเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นในครั้งก่อนที่ยังไม่ได้ เข้าใจพระธรรม ท่านจะมีความประพฤติในทางอกุศล แต่เมื่อได้ศึกษาพระธรรม เข้าใจแล้ว แทนที่จะเป็นอกุศล ท่านก็เป็นกุศลเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ท่านก็กล่าวว่า ท่านรู้สึกว่าชีวิตของท่านเปลี่ยนแปลง

    อีกท่านหนึ่งก็ศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรมเหมือนกัน ท่านบอกว่า สำหรับตัวท่าน ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็เป็นไปได้ เพราะว่าท่านหนึ่ง เป็นผู้ที่พิจารณาเหตุการณ์ใหญ่ๆ บางเหตุการณ์ แต่อีกท่านหนึ่งเป็นผู้ที่พิจารณา ความละเอียดของจิต

    เพราะฉะนั้น ทั้ง ๒ ท่านก็ถกเถียงกันและมาเล่าให้ฟัง ซึ่งดิฉันก็ได้เรียนให้ ทั้งสองท่านทราบว่า สำหรับท่านที่พิจารณาเห็นว่าชีวิตของท่านเปลี่ยน ก็เป็น ความจริง จากประสบการณ์ในชีวิตของท่าน ซึ่งท่านสามารถเปลี่ยนอกุศล ในเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเคยเป็นอกุศล ให้เป็นกุศลแทนที่จะเป็นอกุศล เช่น แต่ก่อน ท่านอาจจะเคยฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย และภายหลังท่านก็เลิก ไม่ฆ่า เพราะฉะนั้น ท่านก็บอกว่า ท่านเห็นว่าชีวิตของท่านเปลี่ยนเมื่อได้เข้าใจพระธรรมแล้ว

    แต่อีกท่านหนึ่งก็เล่าให้ฟังว่า ท่านเป็นชาวต่างประเทศ ครั้งหนึ่งท่านอยู่ บ้านเช่าที่ฝั่งธนเดือนละ ๕๐๐ บาท ไม่มีอะไรเลย ด้วยความสงบ ด้วยความพอใจ ด้วยความสันโดษ แต่เวลาก็ล่วงไปจนกระทั่งในขณะนี้ท่านมีบุตร มีภรรยา มีบ้าน มีรถยนต์ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่จะอำนวยความสะดวก ซึ่งเป็นภาระที่หนักมาก เพราะฉะนั้น ท่านพิจารณาแล้วไม่เห็นว่าชีวิตของท่านได้เปลี่ยนไปมากเท่าไร เพราะว่าในครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ที่เหมือนกับมีความพอใจ มีความสันโดษในชีวิตที่สงบ แต่แล้ว ในเวลาไม่นาน ท่านก็เป็นผู้ที่มีภาระ ต้องมีธุรกิจการงานต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้น สำหรับท่านก็เห็นลึกลงไปถึงกิเลสซึ่งยังไม่ได้ดับว่า ตราบใดกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ ยังมีอยู่ ตราบนั้นกิเลสนั้นจะเป็นปัจจัยให้เหตุการณ์ในชีวิตของท่านซึ่งบางคนเข้าใจว่าได้เปลี่ยนไปบ้าง แต่สำหรับตัวท่านเองเมื่อพิจารณาถึงกิเลสที่ละเอียดท่านก็รู้ว่า ยังไม่ได้ดับ

    เพราะฉะนั้น ทั้ง ๒ ท่านก็ถูก คือ ท่านหนึ่งเป็นผู้ที่พิจารณาเหตุการณ์ใหญ่ ในชีวิต ซึ่งท่านเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่อีกท่านหนึ่ง ท่านพิจารณาความละเอียดของกิเลส ซึ่งตราบใดที่ยังไม่ได้ดับ ชีวิตของท่านที่เคยสงบ เคยมีความสันโดษ ก็เปลี่ยนไปตามกำลังของกิเลส ซึ่งจะเกิดขึ้นมากน้อยเมื่อไรก็ไม่มีใครสามารถทราบได้

    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละชาติ ก็เป็นเครื่องที่จะสอบปัญญาได้ว่า อบรมมาในขั้นใด ถ้ายังไม่ถึงขั้นที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ต้องมีชีวิตดำเนินไป ทั้งทางโลกและทางธรรมตามความเป็นจริง จนกว่าจะถึงชาติที่สามารถรู้แจ้ง อริยสัจจธรรมได้ เพราะว่าสัจจธรรมเป็นจริงทุกขณะ คือ สภาพธรรมเกิดขึ้นเพราะ เหตุปัจจัยและดับไป แต่ยังไม่เป็นอริยสัจจธรรมตราบใดที่ปัญญายังไม่ได้อบรมจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมนั้นๆ แต่การอบรมปัญญาในทุกชาติไม่สูญ ไม่หายไป พร้อมที่จะถึงกาลที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แต่ไม่มีใครสามารถรู้ว่าเมื่อไร บางคนก็เมื่อสูญเสียบุตร จึงได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    อีกเรื่องหนึ่ง

    ปรมัตถโชติกา อรรถกถา สุตตนิบาต อุรควรรค ขัคควิสาณสูตร คาถาที่ ๗ มีข้อความว่า

    ในกรุงพาราณสี มีพระราชาทรงพระนามว่า เอกปุตติกพรหมทัต พระราชโอรสพระองค์เดียวนั้น เป็นที่รักที่พอพระทัยเสมอด้วยชีวิตของพระองค์ พระองค์ทรงพาพระราชโอรสไปในพระอิริยาบถทั้งปวง

    คือ ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดินที่ไหน ก็ทรงนำพระราชโอรสไปด้วย

    วันหนึ่งเมื่อพระองค์เสด็จไปสู่พระราชอุทยาน ไม่ทรงพาพระราชโอรสนั้น เสด็จไป วันนั้นพระราชโอรสทรงประชวรและสิ้นพระชนม์ในวันนั้นเอง อำมาตย์ทั้งหลายได้ถวายพระเพลิงพระราชโอรสนั้น โดยมิได้ทูลให้พระราชาทรงทราบ เพราะคิดว่า เมื่อทรงทราบ แม้พระหทัยของพระราชาก็พึงแตกสลาย

    ภายหลังเมื่อพระราชาทรงทราบ และภายหลังที่ทรงถูกความโศกครอบงำแล้ว ได้ทรงกระทำในพระทัยโดยแยบคายว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้ก็เกิด ดังนี้ พระองค์ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาททั้งปฏิโลมและอนุโลมโดยลำดับอย่างนี้ ทรงกระทำให้แจ้งซึ่งปัจเจกสัมโพธิญาณ

    ดูเหมือนไม่ยาก เมื่อถึงเวลาที่จะพิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ถ้าปัญญายังไม่ได้อบรมพอ ก็ไม่สามารถที่จะพิจารณาได้อย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ทั้งๆ ที่ชีวิตเป็นธรรมดาอย่างนี้ และได้ยินได้ฟังอย่างนี้ แม้ในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท เริ่มตั้งแต่อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร สังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป นามรูปเป็นปัจจัยแก่สฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัยแก่ผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยแก่เวทนา เวทนาเป็นปัจจัยแก่ตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยแก่อุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยแก่ภพ ภพเป็นปัจจัยแก่ชาติ ชาติเป็นปัจจัยแก่ชรา และมรณะ โสกะ ปริเทวะ

    ก็ได้ยินอย่างนี้ทุกชาติๆ และได้ศึกษา ได้ฟังพระธรรมโดยละเอียดยิ่งกว่านี้ แต่เมื่อยังไม่ถึงกาลที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ต้องเป็นอย่างนี้ไป และการที่จะ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ใช่โดยความหวัง แต่โดยการอบรมเจริญเหตุจนสมควรแก่ผล ผลจึงจะเกิดขึ้นได้

    ขณะนี้อาจจะมีผู้หนึ่งผู้ใดที่สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ถ้าเหตุสมควรแก่ผล

    ถ้าเป็นในครั้งที่เป็นกาลสมบัติ ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม และมีผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญามามาก เพียงได้ฟังพระธรรมเพียงสั้นๆ บางท่านก็สามารถเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ได้ แต่สำหรับแต่ละท่านที่ยังไม่ถึงขณะนั้น ก็ต้องอบรมเจริญต่อไป

    แสดงให้เห็นว่า กว่าปัญญาจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมจนถึงขั้นที่ แม้ไม่หลับก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็จะต้องเป็นผู้ที่สะสมอบรมความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม และเป็นผู้ที่มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมบ่อยๆ จนกระทั่งมีปัจจัยที่จะระลึกได้

    สำหรับผู้ที่ใคร่จะทราบว่า ปัญญาที่เป็นไปในทานบารมีคืออย่างไร

    สัมโมหวิโนทนี อรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก วิภังคปกรณ์ อรรถกถาติกนิทเทส อธิบายญาณวัตถุ หมวด ๓ มีข้อความว่า

    ปัญญาใดอันสัมปยุตต์ด้วยเจตนาในทาน

    เวลาที่อ่าน ต้องพิจารณาตามด้วยความละเอียด ปัญญาใดอันสัมปยุตต์ด้วยเจตนาในทาน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ในอกุศล ไม่ใช่ในการหวังผล

    ปัญญาใดอันสัมปยุตต์ด้วยเจตนาในทาน ย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้ ปัญญานี้ชื่อว่าทานมยปัญญา ก็เมื่อบุคคลคิดว่า เราจักให้ทานดังนี้ ก็ให้ทานอยู่ ครั้นให้ทานแล้ว ก็พิจารณาอยู่ซึ่งทานนั้น ทานมยปัญญานั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ ปุพพเจตนา มุญจนเจตนา อปรเจตนา

    นี่เป็นความละเอียดที่จะรู้ว่า ขณะไหนมีปัญญาเกิดร่วมด้วยในขณะที่ให้ทาน เพราะบางท่านก็รู้ว่า กุศลที่สูงคือมหากุศลญาณสัมปยุตต์ มีปัญญาเจตสิกเกิด ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นไปในทาน หรือในศีล หรือในสมถภาวนา หรือในสติปัฏฐาน ที่เป็นวิปัสสนาภาวนา ซึ่งไม่ใช่เพื่อให้หวังผลใดๆ แต่เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดเป็นไปในทานมัยได้

    อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก อรรถกถายุธัญชยจริยาที่ ๑ มีข้อความว่า

    ปัญญาเริ่มต้นด้วยมนสิการโดยความเป็นของไม่เที่ยง รู้ธรรมเป็นอุปการะ และไม่เป็นอุปการะแห่งทานเป็นต้น เป็นปัญญาบารมี

    ทาน คือ การสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่น ในขณะที่สละขณะนั้น ไม่เห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้น ปัญญาเริ่มต้นด้วยมนสิการโดยความเป็นของไม่เที่ยง เคยคิดบ้างไหมเวลาที่จะให้วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะรู้ว่า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเที่ยง แม้แต่ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในวันนี้ซึ่งยังไม่ได้ให้ ก็อาจจะสูญหายไปก่อนที่จะให้ก็ได้ เพราะว่าทรัพย์สมบัติก็ไม่เที่ยง หรือแม้แต่ตัวเราเองซึ่งยังไม่ได้ให้ทานก็ไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น ก็อาจจะสิ้นชีวิตไปก่อนที่จะให้ทานก็ได้

    เมื่อพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของแม้ผู้ให้และผู้รับและทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดกุศลที่จะช่วยสงเคราะห์บุคคลอื่นโดยสละสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลนั้น ด้วยความรู้ ด้วยความเข้าใจ ในขณะนั้นก็เป็นปัญญาบารมีได้ แต่วันหนึ่งๆ จะคิดอย่างนี้หรือเปล่าในขณะที่ให้ ซึ่งแต่ละคนทราบเองได้

    บางคนเห็นคนที่ยากไร้และรู้ว่าทุกอย่างไม่เที่ยงเลย ก็อาจเกิดความคิดอย่างนี้ขึ้นมาในขณะนั้นก่อนที่จะให้ ก็เป็นบุพพเจตนา และแม้ขณะที่กำลังให้ก็ยัง คิดอย่างนั้น คือ รู้ในความไม่เที่ยง และหลังจากที่ให้ไปแล้วก็ยังระลึกถึงความ ไม่เที่ยงในขณะนั้นได้ โดยที่บางท่านอาจจะรู้สึกถึงความปีติโสมนัสในทานบางอย่าง ซึ่งไม่ใช่ทุกอย่าง

    แต่ว่าแม้มีเจตนาที่เป็นกุศลก่อนจะให้ ขณะที่กำลังให้ บางครั้งก็ไม่เกิดระลึก ที่จะเป็นกุศลหลังจากที่ให้แล้วก็ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดระลึกถึงทานที่ได้ให้แล้ว ก็ควรจะได้พิจารณาว่า เป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิต ถ้าระลึกถึงทานที่ให้แล้วเกิดปีติว่า ได้กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ได้ช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ซึ่งเขากำลังลำบากอย่างมาก โดยที่บุคคลนั้นอาจจะไม่ใช่เป็นผู้ที่บุคคลอื่นจะสงเคราะห์ช่วยเหลือเพราะไม่อยู่ ในสภาพที่คนอื่นจะรู้ว่าเขากำลังมีความทุกข์ และเมื่อได้ช่วยไปแล้วก็ระลึกถึงกุศลที่ได้ทำไป เกิดปีติโสมนัส ซึ่งขณะนั้นก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่ว่าจะมีใครไปบังคับให้โสมนัสหรือ ไม่โสมนัสได้ แต่โสมนัสเกิดเพราะได้มีโอกาสช่วยบุคคลที่ทุกข์ยากที่ควรจะช่วย ไม่ใช่ว่าอยากจะระลึกเพื่อที่เราจะได้อานิสงส์ นี่ก็แสดงให้เห็นความต่างกันซึ่งเป็น ความละเอียดของทานที่จะเป็นบารมี และไม่ใช่บารมี

    ขอกล่าวถึงการสะสมปัญญาซึ่งปรากฏในชีวิตประจำวัน ที่เป็นความแยบคายในการคิดนึก

    อรรถกถา ขุททกนิกาย ชาดก ทูตชาดก มีข้อความว่า

    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระปรารภ การสรรเสริญปัญญาของพระองค์

    ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันถึงถ้อยคำปรารภพระคุณของพระศาสดา ในโรงธรรมสภาว่า

    อาวุโสทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดูความเป็นผู้ฉลาดในอุบายของพระทศพลเถิด พระองค์ทรงแสดงนางอัปสรทั้งหลายแก่นันทกุลบุตร แล้วประทานพระอรหัต

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 2
    26 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ