บารมีในชีวิตประจำวัน ตอนที่ 13


    วันนี้พิจารณาว่า เราเป็นคนมีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามกหรือไม่ และต้องเป็นผู้ตรงด้วยที่จะรู้ว่า หากพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นคนมีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามกจริง ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย

    บางท่านไม่อยากพิจารณาอกุศลของตนเองเลย แต่ถ้าจะให้เป็นประโยชน์จริงๆ ที่จะให้วิริยะเจริญขึ้นในทางฝ่ายกุศล ต้องเห็นอกุศลของตนเองด้วย

    . เมื่อกี้อาจารย์บอกว่า ท่านโบราณาจารย์ให้พิจารณาวันละ ๓ ครั้ง ผมขอต่อรองว่า หลายๆ วันครั้งได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ขึ้นอยู่กับวิริยะ

    . เวลานี้ก็หลายๆ วันครั้งหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ อาทิตย์ละครั้งหรือ

    . บางทีกว่านั้น บางทีเป็นเดือนครั้งหนึ่ง ก็คิดว่าเรามาศึกษาธรรม เราได้ละคลายความโลภ ความโกรธ ความหลงลงไปบ้างหรือเปล่า จะถามตัวเอง แต่ไม่บ่อย นานๆ สักครั้งหนึ่ง แต่อาจารย์มาพูดวันนี้ ก็ควรจะมีวิริยะเพิ่มให้มากขึ้น อย่างเมื่อเช้านี้ก็ได้วิริยะมาเหมือนกัน ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตีห้า ผมก็เปิด สวพ. เอ็ฟเอ็ม ๙๑ ได้ยินเสียงจากวิทยุ ก็ระลึกถึงสิ่งที่ปรากฏทางหูว่า วันนี้มาอีกแล้วนี่คือธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อจิตเราตื่นจากภวังค์ ทำให้คิดว่า ชีวิตของเราได้เริ่มมีกุศลเกี่ยวกับสติปัฏฐานเพิ่มขึ้น แต่การเพียรระวังไม่ให้บาปอกุศลเกิด ในเรื่องสัมมัปปธาน ๔ ยังไม่ค่อยเป็นวิริยะ ยังกระท่อนกระแท่น แต่ถ้านึกถึงที่อาจารย์พูดว่า จะต้องเป็นวิริยินทรีย์ รู้สึกว่ายังไกลมากจริงๆ ก็ควรจะต้องทำเหตุทำปัจจัยโดยการฟังและศึกษาสนทนาธรรมอย่างนี้ต่อไป

    ท่านอาจารย์ ท่านโบราณาจารย์ท่านทราบว่า การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ใช่เรื่องเร็ว และไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่การที่อินทรีย์ ๕ จะเจริญได้บ่อยๆ เพราะว่า อินทรีย์ ๕ เจริญ หมายความว่าในขณะที่สติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ในขณะนั้นพร้อมทั้งศรัทธา สติ วิริยะ สมาธิ ปัญญา เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงรู้ว่า บุคคลใดมีอินทรีย์อ่อน มีอินทรีย์กล้า ถ้าเป็นผู้ที่มีอินทรีย์กล้าก็คือ เป็นผู้ที่เข้าใจข้อปฏิบัติ และได้อบรมเจริญสติปัฏฐานพร้อมที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ผู้ใดที่อินทรีย์ยังอ่อน คือ สติปัฏฐานไม่ค่อยจะเกิด เพราะฉะนั้น ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาที่จะเป็นไปพร้อมกับสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม เมื่อวันหนึ่งๆ ไม่เกิดบ่อย แต่อกุศลธรรมอื่นๆ เกิดมาก ก็ควรที่จะเป็นวาระของกุศลธรรมขั้นอื่นที่จะเกิด เช่น การพิจารณาตนเอง

    ถ้าได้พิจารณาตนเองบ่อยๆ จะคลายการพิจารณาคนอื่น เพราะว่าหลายคนถนัดคุ้นเคยต่อการพิจารณาคนอื่นมากกว่าพิจารณาตนเอง แต่ถ้ากลับมาพิจารณาตนเองจะเห็นได้ว่า ขณะที่กำลังคิดพิจารณาหรือวิจารณ์คนอื่นนั้น เป็นแต่เพียงจิตที่คิดเท่านั้นเอง และจะรู้ว่าในขณะที่จิตคิดนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังพิจารณาตนเองนั้นเองก็ยังสามารถเห็นกุศลและอกุศลของตนเองได้

    จะมีใครที่พิจารณาอย่างนี้บ้างหรือเปล่า หรือฟังไปแต่ไม่ขยันที่จะพิจารณา เพราะว่าเป็นเรื่องของวิริยะที่จะพิจารณาตนเอง และต้องเป็นผู้ที่ตรง คือ ไม่เข้าข้างตนเองด้วย สำหรับผู้ใดที่พิจารณาอย่างนี้ และมีความเพียรที่จะละอกุศลเหล่านี้ เป็นผู้ที่ว่าง่าย แต่ถ้าผู้ใดมีธรรมฝ่ายตรงกันข้าม คือ เป็นจริงอย่างนี้ แต่ไม่เพียรเพื่อที่จะละ ก็มีธรรมที่ทำให้เป็นผู้ที่ว่ายาก

    เพราะฉะนั้น เรื่องที่จะไปคิดดับกิเลสหมด ไม่มีกิเลสเลย ต้องทราบว่า จะยากกว่านี้ไหม เพียงแต่การพิจารณาตนเองจริงๆ แม้ว่าสติปัฏฐานไม่เกิด แต่กุศลขั้นอื่นก็เกิดได้ และถ้าทำไม่ได้วันละ ๓ ครั้ง ๒ ครั้งได้ไหม ๑ ครั้งได้ไหม หรือว่า หลายๆ วันครั้งหนึ่ง

    นี่เป็นเรื่องของวิริยเจตสิกทั้งหมด

    ขอกล่าวถึงลักษณะของความเพียร ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางวาจาก็เป็นวิริยเจตสิกนั่นเอง

    สัทธัมมปัชโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อรรถกถา ตุวฏกสุตตนิทเทสที่ ๑๔ อธิบายวิริยินทรีย์ มีข้อความว่า

    พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งวิริยินทรีย์ ดังต่อไปนี้

    บทว่า เจตสิโก ท่านกล่าวเพื่อแสดงว่า ความเพียรเป็นไปทางจิตโดยแน่นอน เพราะความเพียรนี้ท่านกล่าวว่า เจตสิก ก็เพื่อแสดงว่า ความเพียรเป็นไปทางกาย ไม่มี มีแต่เป็นไปทางจิตเท่านั้น ดุจกายวิญญาณ แม้กล่าวว่าเป็นไปทางกาย แต่ก็เป็นนามธรรมที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางกาย

    เพราะฉะนั้น นามธรรมนั่นเองเป็นสภาพธรรมที่ทำให้เกิดความเพียรทางกายหรือทางใจ แม้แต่ความเพียรทางกายที่ทุกท่านขยันทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ให้ทราบว่า ในขณะนั้นที่กายจะเพียร ก็เพราะวิริยเจตสิกนั่นเอง

    ข้อความในพระสูตรยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่จงกรม ไม่เกียจคร้าน ไม่ง่วง ดูลักษณะอาการภายนอกก็จะเห็นได้ว่า เป็นความเพียรทางกาย แต่แท้จริงที่ความเพียรทางกายนั้นจะเกิดได้ ก็เพราะความเพียรทางใจ คือ วิริยเจตสิก

    ข้อความต่อไปกล่าวถึงความเพียรที่เจริญขึ้นจนถึงวิริยสัมโพชฌงค์ ซึ่งเป็น องค์ธรรมของการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม และได้กล่าวถึงความหมายของวิริยะ ในความหมายต่างๆ เช่น

    บทว่า วิริยารัมโภ ความว่า อารัมภะ คือ วิริยะ

    ถ้าได้ยินคำว่า วิริยารัมโภ ก็หมายความถึงวิริยเจตสิก ข้อความต่อไป อธิบายเรื่องศัพท์ คือ อารัมภะ มีความหมายหลายอย่าง เช่น หมายความถึงกรรม อาบัติ กิริยา เป็นต้น

    อารัมภะ มาในความว่า วิริยะ ในบทนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงพยายาม จงออกไป จงขวนขวายในพระพุทธศาสนาเถอะ

    ลักษณะของความเพียรซึ่งควรจะเจริญ มีข้อความว่า

    จริงอยู่ ความเพียร ท่านเรียกว่า อารัมภะ ด้วยสามารถแห่งความพยายาม บทว่า วิริยารัมโภ นี้ เป็นบทแสดงถึงสภาวะของความเพียรนั้น

    ความเพียรนั้นคือความเพียรอะไร

    คือ การก้าวออกด้วยการออกไปจากความเกียจคร้าน การก้าวหน้าด้วยการก้าวไปสู่ฐานะอื่นๆ ความขวนขวายด้วยการย่างขึ้นไป ความพยายามด้วยการไป ไม่หยุด ความอุตสาหะด้วยความขะมักเขม้น ความขยันด้วยความขะมักเขม้นอย่างสูง ความมั่นคงด้วยตั้งอยู่ในความหนักแน่น ความทรงไว้เพราะทรงไว้ด้วยสามารถการ ทรงจิตและเจตสิกไว้ได้ หรือทรงความสืบต่อแห่งกุศลไว้ด้วยสามารถความเป็นไป โดยไม่ขาดตอน

    นี่คืออาการของวิริยะทั้งหมด ทั้งก้าวออกไปจากความเกียจคร้าน ก้าวไปสู่ฐานะอื่น ขวนขวายต่อไปอีก พยายามโดยไม่หยุด มีความอุตสาหะขะมักเขม้น มีความมั่นคงหนักแน่นที่จะก้าวต่อไป

    อีกนัยหนึ่ง ความก้าวออกนี้เพื่อบรรเทากามทั้งหลาย ความก้าวหน้านี้เพื่อ ตัดความผูกพัน ความขวนขวายนี้เพื่อถอนโอฆะ ความพยายามนี้เพื่อไปถึงฝั่ง ความอุตสาหะนี้เพื่อไปข้างหน้า ความขยันนี้เพื่อความยิ่งขึ้นไป ความมั่นคงนี้ เพื่อถอนกิเลสเพียงดังกลอนเหล็ก ความทรงไว้นี้เพื่อไม่หยุดยั้ง ความก้าวหน้ามิได้ ย่อหย่อนด้วยสามารถการก้าวไปไม่หยุดในกาลอันเป็นไปอย่างนี้ว่า หนัง เอ็น และกระดูกจงเหลืออยู่ก็ตาม อธิบายว่า ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

    อนึ่ง เพราะความเพียรนี้ไม่ปลงฉันทะ ไม่ทอดธุระ ไม่ข้ามไป ไม่สละ นำมาซึ่งความเป็นผู้ไม่ท้อถอยในที่ที่ทำกุศลกรรม ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ความไม่ปลงฉันทะ ความไม่ทอดธุระ ดังนี้ เหมือนอย่างว่า ชนทั้งหลายกล่าวว่า พวกท่าน จงคอยจับโคนำสินค้าไปในที่ที่เจิ่งไปด้วยน้ำใกล้ฝั่งคงคา โคนั้นแม้คุกเข่าลงที่พื้น ก็ยังนำสินค้าไปได้ ไม่ให้สินค้าตกลงที่พื้น ฉันใด ภิกษุไม่ทอดธุระ ประคองความเพียรไว้ในที่ที่ทำกุศลกรรมก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ประคองธุระไว้

    นี่เป็นลักษณะของความเพียร ซึ่งแต่ละท่านจะทราบได้ว่า ความเพียรของท่านมากน้อยแค่ไหน และจะต้องเพียรต่อไป

    และยังมีข้อความในอรรถกถาที่ท่านพระโบราณาจารย์ได้ให้พิจารณาตนเอง วันละ ๓ ครั้ง สำหรับท่านที่ไม่สามารถพิจารณา ๓ ครั้ง ก็ควรพิจารณา ๒ ครั้ง เมื่อไม่สามารถพิจารณา ๒ ครั้ง ก็ควรพิจารณาวันละครั้ง แต่ถ้าจะไม่พิจารณาเลย ไม่สมควร

    ถ้าพิจารณาทั้งข้อความในพระสูตรและข้อความในอรรถกถา ก็แสดงให้เห็นถึงปัญญาของบุคคลที่ต่างกัน เช่น สำหรับผู้ที่มีกิเลสหนามาก เป็นผู้ที่ว่ายาก และ ไม่เคยเห็นกิเลสของตนเองเลย เห็นแต่กิเลสของคนอื่นหมด แต่กิเลสของตนเอง มีอะไรบ้างไม่เคยนึกถึง ไม่เคยบอกคนอื่น หรือกล่าวกับคนอื่น ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องตั้งต้นตั้งแต่การฟังพระธรรม พิจารณาให้เห็นโทษของอกุศล และมีความเพียรเกิดขึ้นที่จะระลึกทบทวนอกุศลของตนเองก่อนนอน นี่สำหรับผู้ที่ปกติเป็นผู้ว่ายากและมีกิเลสมาก

    แต่สำหรับท่านที่เป็นผู้ที่เข้าใจหนทางข้อประพฤติปฏิบัติแล้ว จะสังเกตได้ว่า ไม่ต้องรออย่างนั้น ขณะใดที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ ไม่ว่าอกุศลประเภทใดจะเกิด สติก็สามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้นได้ทันที นั่นก็เป็นปัญญา อีกระดับหนึ่งซึ่งเข้าใจหนทางที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม และศึกษาลักษณะของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น แต่ละท่านก็พิจารณาตนเอง หลังจากได้ฟังพระสูตรนั้นแล้ว ใช่ไหม ท่านพิจารณาบ้างหรือเปล่า วันละ ๓ ครั้ง หรือเพียงวันละ ๒ ครั้ง หรือ หลายวันครั้งหนึ่ง แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่ต้องห่วง เพราะท่านเข้าใจแล้วว่า ทันทีที่อกุศลจิตเกิด ไม่ต้องรอจนกระทั่งถึงเวลาที่จะพิจารณา แต่เมื่ออกุศลจิตเกิด สติสัมปชัญญะสามารถระลึกได้ทันทีในขณะนั้น นั่นก็เป็นการเริ่มต้น เป็นการอบรมสติปัฏฐาน แม้ว่าขณะนั้นจะไม่รู้ว่าเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ที่ไม่ใช่ตัวตน เพียงรู้ลักษณะสภาพอกุศลด้วยสติสัมปชัญญะในขณะนั้นตามความ เป็นจริง ก็เป็นสติสัมปชัญญะขั้นหนึ่ง ตามข้อความในพระสูตรที่ว่า

    หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีอกุศลนั้นๆ จริง ก็ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย หากพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า เราไม่เป็นผู้มีอกุศลนั้นๆ ภิกษุนั้นพึงอยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นทีเดียว หมั่นศึกษาทั้งกลางวันกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลาย

    คือ ศึกษาลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายที่กำลังปรากฏตามปกตินั่นเอง ซึ่งก็แล้วแต่ว่าในวันหนึ่งๆ สติสัมปชัญญะขั้นใดจะเกิด ขั้นที่เพียรระลึกว่า วันนั้น มีอกุศลอย่างนั้นๆ ที่ได้กระทำไปแล้วระลึกได้ หรือในขณะนั้นไม่ว่าจะเป็น สภาพธรรมใด สติก็ระลึกได้ทันที

    ความละเอียดของการพิจารณาสภาพธรรม สำหรับผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน จะต้องมีความละเอียดที่จะพิจารณารู้ว่า ต้องการผลของการอบรมเจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า เพราะมีบางท่านซึ่งพยายามอย่างมาก เพียรอย่างมาก เพราะคิดว่า จะเป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้นเร็ว แต่ผลปรากฏว่า พยายามจนเหนื่อยก็ต้องเลิก เพราะ ไม่สามารถเร่งรัดผลของการเจริญสติปัฏฐานได้ เนื่องจากเป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติจริงๆ

    การที่จะรู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาก็คือ รู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติในชีวิตประจำวัน ถ้าเกิดมีความหวัง มีความเพียร หรือมีการต้องการผล โดยรวดเร็ว จะทำให้ไปกระทำอย่างอื่นด้วยความหวังผลนั้น

    สำหรับวิริยะ คือ ความเพียร หรือวีระ ก่อนที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม จะเห็นได้ว่า เป็นปกติในชีวิตประจำวันนั่นเอง ที่ใช้คำว่า วีระ ก็หมายความว่า เป็นผู้กล้าหาญ เป็นผู้ไม่ท้อถอย เป็นผู้ที่มีความเพียร

    ท่านผู้ฟังสูงอายุท่านหนึ่ง อายุคงจะ ๘๐ ท่านได้ฟังรายการธรรมหลายแห่ง และพิจารณาไตร่ตรองเรื่องการอบรมเจริญสติปัฏฐาน แม้ว่าท่านเป็นผู้ที่สูงอายุแล้ว ท่านก็ไม่หมดความเพียรที่จะฟัง ที่จะไตร่ตรองธรรม เมื่อท่านได้ฟังรายการแนวทางเจริญวิปัสสนา ท่านก็จดตำบลที่อยู่ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งท่านมีความเพียรที่จะไปที่มูลนิธิเพื่อบริจาคเงินร่วมการกุศลของมูลนิธิ ท่านออกจากบ้านตั้งแต่ ๙ โมงเช้า ไปถึงมูลนิธิบ่ายสองโมง ตลอดเวลานั้นจะเห็นวิริยะของ ผู้สูงอายุท่านนี้ที่ท่านออกจากบ้านตั้งแต่เก้าโมงเช้า กว่าจะไปถึงมูลนิธิก็บ่ายสองโมง เพราะว่าการจราจรที่กรุงเทพมหานครทำให้ต้องใช้เวลานานมาก คิดถึงวิริยะเรื่องของอาหารกลางวันและอะไรอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่า การที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม หรือ การที่วิริยะจะเจริญขึ้น ก็เป็นชีวิตประจำวันทั้งนั้นนั่นเอง ไม่ใช่ว่าต้องไปทำวิริยะอื่นต่างหากจากชีวิตประจำวัน

    ขณะที่กำลังเจริญเหตุ ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ในเรื่องของการเจริญกุศลแล้วขาดวิริยะไม่ได้เลย เพราะจะต้องฝืนกระแสของอกุศล ฝืนความพอใจ ความสะดวกสบายทุกประการเพื่อที่จะให้กุศลนั้นๆ สำเร็จ แต่ผู้ที่อบรมเจริญ สติปัฏฐานในชีวิตประจำวัน และปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมเพิ่มขึ้น ผลคือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นเรื่องไม่ยาก แต่เรื่องของเหตุที่จะต้องค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ ศึกษารู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งท่านผู้ฟังจะสังเกตได้ว่า ค่อยๆ เกิดขึ้น ไม่มากเลยในแต่ละครั้ง แต่เพราะความเพียรที่ระลึกแล้วระลึกอีก ระลึกเรื่อยๆ ระลึกบ่อยๆ เพราะรู้ว่า เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่ปัญญาสามารถประจักษ์ลักษณะที่เกิดดับของนามธรรมและรูปธรรมได้ ในขณะนี้เองสภาพธรรมก็กำลังเกิดดับอยู่ ถ้าสติไม่ระลึก ไม่ศึกษา ไม่เริ่มเข้าใจลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ย่อมไม่ถึงวันเวลาที่จะประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้น เหตุเป็นไปโดยยาก เพราะจะต้องกระทำตลอดไปทุกชาติ แต่เวลาที่ผลเกิด ไม่ยากเลย

    ขุททกนิกาย ชาดก อรรถกถาสังวรมหาราชชาดก มีข้อความว่า

    ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ ผู้ทอดทิ้งความเพียรเสียแล้วรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้

    ภิกษุรูปหนึ่งเป็นกุลบุตรชาวพระนครสาวัตถี ได้ฟังพระธรรมเทศนาของ พระผู้มีพระภาคก็มีศรัทธาบรรพชาและอุปสมบท และได้บำเพ็ญอาจาริยวัตร และอุปัชฌายวัตร ท่องพระปาติโมกข์ทั้งสองจนคล่อง มีพรรษาครบ ๕ เรียนกรรมฐาน ลาอาจารย์และอุปัชฌาย์ไปอยู่ป่า เมื่อไปถึงชายแดนตำบลหนึ่ง พวกผู้คนต่างก็เลื่อมใสในอิริยาบถ พากันสร้างบรรณศาลาให้พักและบำรุงอยู่ในตำบลบ้านนั้น

    ครั้นเข้าพรรษาท่านก็เจริญกรรมฐานตลอดไตรมาสด้วยความเพียร แต่ก็ ไม่บรรลุธรรม ท่านดำริว่า ในบรรดาบุคคล ๔ เหล่าที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ท่านคงเป็นประเภทปทปรมะเสียแน่แล้ว จึงออกจากป่าไปสู่พระวิหารเชตวันเพื่อคอยดูพระรูปโฉมของพระผู้มีพระภาคเมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาอันไพเราะ

    เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบเรื่องนั้นจึงตรัสแก่ภิกษุนั้นว่า ผลอันเลิศ ในพระพุทธศาสนานี้คืออรหัตตผล ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เกียจคร้าน ก็แลในปางก่อน เธอเป็นคนมีความเพียร ทนต่อโอวาท แม้เป็นน้องคนสุดท้องแห่งโอรส ๑๐๐ ของ พระเจ้าพาราณสี ตั้งอยู่ในโอวาทของบัณฑิตทั้งหลายก็ถึงเศวตฉัตรเป็นพระราชาได้ และพระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรื่องในอดีตซึ่งในสมัยนั้นภิกษุรูปนี้เป็นพระเจ้า สังวรมหาราช

    พระเจ้าสังวรมหาราชได้ตรัสคุณธรรมของพระองค์ ซึ่งทำให้หมู่พระญาติและชาวเมืองต่างยอมรับนับถือพระองค์เป็นพระราชา แม้ว่าพระองค์จะเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาโอรส ๑๐๐ ของพระเจ้าพาราณสี

    พระเจ้าสังวรมหาราชได้ตรัสกับพระอุโบสถกุมาร ซึ่งเป็นเจ้าพี่องค์ใหญ่ของพระองค์ ซึ่งในชาติสุดท้ายเป็นท่านพระสารีบุตรว่า

    ข้าแต่พระราชบุตร หม่อมฉันมิได้ริษยาสมณะทั้งหลายผู้แสวงหาคุณอัน ใหญ่หลวง หม่อมฉันนอบน้อมท่านเหล่านั้นโดยเคารพ ไหว้เท้าของท่านผู้คงที่

    มีวิริยะหรือเปล่า ทุกอย่างจะพ้นวิริยะไม่ได้เลย แม้แต่การที่จะไม่ริษยาสมณะซึ่งมีความรู้ บางคนก็แปลก ไม่ริษยาคนอื่น แต่ริษยาคนมีความรู้ นี่เป็นเรื่อง นานาจิตตัง แล้วแต่ว่าจะสะสมความริษยาในรูปใด ซึ่งถ้าผู้ใดมีความรู้แล้ว ควรที่ คนอื่นจะนับถือในความรู้นั้น แต่บุคคลนั้นก็กลับริษยา เพราะฉะนั้น ที่จะไม่ริษยาได้ ก็ต้องมีวิริยะ มีความเพียร เห็นโทษของความริษยา จึงจะละความริษยานั้นได้ แม้แต่การนอบน้อมโดยเคารพ ไหว้เท้าของท่านผู้คงที่ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีวิริยะที่จะขัดเกลากิเลส มานะ ความสำคัญตนที่เป็นโอรสของพระเจ้าพาราณสี

    พระองค์ตรัสต่อไปว่า

    สมณะเหล่านั้นยินดีแล้วในธรรมของผู้แสวงหาคุณ ย่อมพร่ำสอนหม่อมฉัน ผู้ประกอบในคุณธรรม ผู้พอใจฟัง ไม่มีความริษยา หม่อมฉันได้ฟังคำของสมณะ ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวงเหล่านั้นแล้ว มิได้ดูหมิ่นสักน้อยหนึ่งเลย ใจของหม่อมฉันยินดีแล้วในธรรม

    กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และกองพลเดินเท้า หม่อมฉันไม่ตัด เบี้ยเลี้ยงและบำเหน็จบำนาญของจตุรงคเสนาเหล่านั้นให้ลดน้อยลง อำมาตย์ผู้ใหญ่และข้าราชการผู้มีปรีชาของหม่อมฉันมีอยู่ ช่วยกันบำรุงพระนครพาราณสีให้มีข้าวปลาอาหารมาก มีน้ำดี

    อนึ่ง พวกพ่อค้าผู้มั่งคั่งมาแล้วจากรัฐต่างๆ หม่อมฉันช่วยจัดอารักขาให้ พ่อค้าเหล่านั้น ขอได้โปรดทราบอย่างนี้เถิดเจ้าพี่อุโบสถ

    นี่เป็นเหตุทำให้ผู้คนทั้งปวงเห็นว่า พระองค์ประกอบด้วยคุณธรรมอย่างนี้ สมควรที่จะเป็นพระราชาของพระนครพาราณสี

    พระผู้มีพระภาคทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสย้ำว่า

    ดูกร ภิกษุ เธอทนต่อโอวาทเช่นนี้ บัดนี้เหตุไรไม่กระทำความเพียร

    ทรงประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้นดำรงอยู่ในโสตาปัตติผล ทรงประชุมชาดกว่า สังวรกุมารผู้เป็นพระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุนี้ อุโบสถกุมารในครั้งนั้นได้มาเป็นสารีบุตร พระราชกุมารผู้เป็นพี่ทั้งหลายได้มาเป็น พระเถรานุเถระ และบริษัทได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนอำมาตย์ผู้ถวายโอวาทได้มาเป็นเราตถาคตแล

    พุทธบริษัทในครั้งโน้น ก็ได้มาเป็นพุทธบริษัทในสมัยพระผู้มีพระภาค ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผลไม่ยาก แต่เหตุยาก เวลาที่จะบรรลุ ผลเกิดตามที่สมควรแก่เหตุ เมื่อเหตุสมควรแก่ผลเมื่อไร ผลก็เกิด เพราะฉะนั้น ถ้าในขณะนี้เหตุยังไม่สมควร จะเร่งรัดสักเท่าไรผลก็ยังเกิดไม่ได้ ก็ต้องเพียรต่อไป โดยการเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้จริงๆ หรือยัง

    ไม่ใช่รู้โดยฟัง แต่สติปัฏฐาน สัมปชัญญะเกิดพร้อมสติ สามารถเข้าใจ รู้ความจริง รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้เอง และปัญญาจะอบรมเจริญไปเรื่อยๆ จนถึงกาลสมัยที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งไม่ยาก ผลไม่ยาก แต่เหตุยาก ที่จะต้องอดทนและเพียรต่อไป เรื่องผล ทุกคนต้องการ แต่ต้องคิดถึงเหตุด้วย

    สำหรับบารมี ๑๐ ที่ได้ทบทวนไปแล้ว คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี และวิริยบารมี บารมีต่อไปที่จะขอทบทวน คือ ขันติบารมี ซึ่งความจริงตลอดเวลาแม้แต่กำลังฟังธรรมอยู่ก็ตามจะเห็นได้ว่า ขาดขันติบารมีไม่ได้เลย บางทีอาจจะมีเหตุการณ์บางอย่าง เช่น เสียงดัง บางท่านก็รู้สึกหงุดหงิด ขณะนั้น จะเห็นได้ว่า ขันติบารมีจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา ถ้าเข้าใจ เรื่องของการเจริญขันติบารมี

    ขันติ คือ ความอดทน ความอดกลั้น ต่อการที่อกุศลจิตจะเกิด เพราะฉะนั้น ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด ขันติบารมีจะละเอียดขึ้น เพราะรู้ตัวว่า ในวันหนึ่งๆ มีอกุศลอะไรบ้าง เช่น ความอดทนที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นอธิวาสนขันติ

    อธิวาสนขันติ คือ ความอดทน ความอดกลั้น การยอมรับต่อภาวะแวดล้อม ในที่อยู่อาศัยของสภาพธรรมทุกๆ ขณะ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 2
    29 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ