บารมีในชีวิตประจำวัน ตอนที่ 34


    ดังที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

    สุสาเน เสยฺยํ กปฺเปมิ ฯลฯ ทยา โกโป น วิชฺชติ

    ซึ่งมีคำแปลว่า

    เรานอนอยู่ในป่าช้า เอาซากศพอันมีแต่โครงกระดูกทำเป็นหมอนหนุน เรามี จิตเสมอกันในสิ่งที่สะอาดและไม่สะอาด เด็กชาวบ้านเหล่านั้นกระทำความ ไม่เหมาะสมความหยาบช้าหลายอย่าง ด้วยการถ่มน้ำลาย หัวเราะเยาะ และ ถ่ายปัสสาวะเป็นต้น และด้วยการแยงเส้นหญ้าเป็นต้นเข้าไปในช่องหู เพราะเล่นได้ตามความพอใจ

    เด็กชาวบ้านพวกใดนำทุกข์ในร่างกายมาให้เรา มนุษย์ที่เป็นวิญญูชนพวกใด ให้ความสุขแก่เรา นำความสุขมาให้เราด้วยเครื่องบำรุงความสุข มีดอกไม้ของหอม และอาหารเป็นต้น เราเป็นผู้มีจิตเสมอ คือ เป็นเช่นเดียวกันแก่ชนเหล่านั้น เพราะเรามีจิตเสมอโดยไม่เกิดความผิดปกติในที่ไหนๆ เพราะความเอ็นดู กล่าวคือความมีจิตเมตตาในผู้ทำอุปการะไม่มีแก่เรา แม้ความโกรธ กล่าวคือความประทุษร้ายทางใจ ในผู้ไม่ทำอุปการะก็ไม่มี ฉะนั้น เราจึงเป็นผู้มีจิตเสมอแก่ชนทั้งปวง

    คือ ไม่ว่าใครจะนำดอกไม้ของหอมหรืออาหารเครื่องบำรุงความสุขมาให้ หรือใครจะแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะไม่ควร จิตของพระโพธิสัตว์ก็ไม่หวั่นไหว คือ ไม่เอนเอียงไปในทางรักผู้ที่นำเครื่องบำรุงความสุขมาให้ และไม่มีความชังในบุคคลที่นำความเดือดร้อนหรือความทุกข์มาให้

    บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าในกาลนั้น เพื่อทรงแสดงถึงความไม่ผิดปกติ และความไม่ติดอยู่ในโลกธรรมทั้งหลาย เพราะพระองค์ทรงสะสมญาณสัมภารไว้ จึงมีพระทัยเสมอในสัตว์ทั้งหลายทั้งผู้มีอุปการะและไม่มีอุปการะ จึงตรัสคาถาสุดท้ายว่า

    เราเป็นผู้วางเฉยในสุขและทุกข์ ในยศและความเสื่อมยศ เป็นผู้มีใจเสมอใน สิ่งทั้งปวง นี้เป็นอุเบกขาบารมีของเรา

    อุเบกขาบารมี คือ

    เป็นผู้วางตนเป็นกลาง เว้นการยินดียินร้าย คือ ไม่ยินดียินร้าย ดุจตาชั่งที่ จับไว้เสมอกัน

    พระผู้มีพระภาค ครั้นแสดงความที่พระองค์เป็นกลางในสรรพสัตว์และใน โลกธรรมทั้งปวง ไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น

    ข้อความในอรรถกถาแสดงว่า

    พระโพธิสัตว์ย่อมได้บารมี ๑๐ ครบ โดยเฉพาะทานบารมีก่อน (คือ) การบริจาคสมบัติทั้งปวงและการบริจาคอัตภาพของตนโดยไม่คำนึงว่าใครๆ ถือเอาสรีระนี้ แล้วจงทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ตนปรารถนา เป็นทานบารมี

    การไม่ทำสิ่งไม่ควรทำทั้งปวง มีความเลวเป็นต้น เป็นศีลบารมี

    การเพิ่มพูนอสุภสัญญาในกายของพระโพธิสัตว์ผู้หันหลังให้ความยินดีในกาม ออกจากเรือน เป็นเนกขัมมบารมี

    ความเป็นผู้ฉลาดในการกำหนดธรรมเป็นอุปการะแก่สัมโพธิสมภาร และในการละธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่ออุปการะธรรมนั้น และการคิดถึงสภาวธรรมจากธรรม อันไม่วิปริต เป็นปัญญาบารมี

    การบรรเทากามวิตกเป็นต้น และการพยายามอดกลั้นความทุกข์ เป็น วิริยบารมี

    ความอดทนด้วยความอดกลั้น เป็นขันติบารมี

    จริงวาจา และจริงด้วยการเว้นโดยไม่ผิดสมาทาน เป็นสัจจบารมี

    การตั้งใจสมาทานไม่หวั่นไหวในธรรมอันไม่มีโทษ เป็นอธิษฐานบารมี

    ความเป็นผู้มีเมตตาและความเอ็นดูในสรรพสัตว์โดยไม่เจาะจง เป็น เมตตาบารมี

    ส่วนอุเบกขาบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น พึงทราบตามที่กล่าวแล้วนั่นแล

    อนึ่ง ในจริยานี้ ท่านทำอุเบกขาบารมีให้เป็นบารมียอดเยี่ยมอย่างยิ่ง จึงยกอุเบกขาบารมีนั้นขึ้นสู่เทศนา

    อนึ่ง ในจริยานี้ พึงประกาศคุณานุภาพของพระโพธิสัตว์ มีอาทิอย่างนี้ คือการละกองโภคสมบัติใหญ่และวงศ์ญาติใหญ่ แล้วออกจากเรือนเช่นกับการออกบวช

    แสดงว่า แม้ไม่ต้องบวช ก็มีความเป็นอยู่อย่างผู้บวชได้

    การไม่ถือเพศบรรพชิตของพระมหาสัตว์ผู้ออกไปอย่างนั้น แล้วรังเกียจลาภ และสักการะประสงค์จะรักษาความนับถือของผู้อื่น แล้วอธิษฐานคุณของบรรพชา ไม่ให้มีเหลือด้วยจิตเท่านั้น แล้วอยู่เป็นสุขอย่างยิ่ง

    นี่คือการบวชใจ คือ แม้ไม่อุปสมบท เพราะรังเกียจลาภและสักการะ เห็นว่าเพศบรรพชิตนั้นย่อมนำมาซึ่งลาภสักการะ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่ประสงค์ลาภ และสักการะจึงไม่บวช แต่บวชใจโดยทำความดีให้คนอื่นนับถือได้จริงๆ แม้ไม่ใช่ เพศบรรพชิต

    ความเป็นผู้มักน้อยอย่างยิ่ง ความยินดีในความสงัด การไม่คำนึงถึงกาย และชีวิตของตนด้วยประสงค์จะวางเฉย การประพฤติขัดเกลากิเลสถึงขั้นอุกฤษฏ์ อดกลั้นความน่าเกลียดที่ผู้อื่นทำแก่ตน การยังตนให้ตั้งมั่นด้วยความที่กิเลสอันเป็นปฏิปักษ์ต่อโพธิสมภารมีน้อย ด้วยความเป็นกลางในที่ทั้งปวง อันเป็นเหตุแห่งความ ไม่ผิดปกติในผู้มีอุปการะและไม่มีอุปการะของคนอื่น ดุจพระขีณาสพฉะนั้น แล้วไม่ติดด้วยโลกธรรมทั้งหลาย การถึงยอดแห่งอุเบกขาบารมี อันเป็นพุทธบารมี ของบารมีทั้งปวง

    เป็นสิ่งที่ไม่ง่าย ซึ่งต้องเป็นอุเบกขาบารมี เพราะว่าสามารถมีความเป็นกลาง ในสรรพสัตว์ทั้งปวงได้

    และสำหรับปัญญาบารมี คือ ขณะที่พิจารณารู้ธรรมอันเป็นอุปการะแก่การ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม และคิดถึงสภาวธรรมอันไม่วิปริตตามความเป็นจริง ซึ่งก็เป็นชีวิตประจำวันที่ทุกคนจะพิจารณาเห็นได้ว่า ขณะใดที่สามารถเข้าใจพิจารณารู้ว่า การประพฤติอย่างใดจะเป็นการอุปการะแก่การสะสมปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ขณะนั้นก็เป็นปัญญาบารมี ซึ่งข้อความใน ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก สโมธานกถา ข้อ ๓๖ ได้แสดงว่า พระชาติใดเป็นบารมี ๓๐ คือ เป็นบารมี ๑๐ เป็นอุปบารมี ๑๐ และเป็นปรมัตถบารมี ๑๐

    ยาก แต่ค่อยๆ ทำได้ เพราะว่าคำพูดหรือการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของคนอื่น ซึ่งท่านมีความอดทน มีความไม่หวั่นไหว นั่นก็เป็นอุเบกขาบารมี

    ผู้ฟัง อนัตตาไม่น่าจะแปลว่า ไม่มีตัวตน น่าจะแปลว่า ไม่มีความเก็บกด โดยสมมติขึ้นเป็นตัวตน ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ มีตัวตนหรือไม่มีตัวตน รูปเป็นรูป จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    ผู้ฟัง เมื่อเราเก็บกดนานๆ เราจะสมมติขึ้นเป็นตัวตนขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ เพียงสมมติเท่านั้นเอง แต่ตามความเป็นจริงแล้วเป็นสภาพธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไป

    ในบารมีทั้ง ๑๐ ท่านผู้ฟังที่จะสะสมบารมีต่อไปอีก ซึ่งไม่ทราบว่าจะนานเท่าไร แต่ในชาติที่สามารถสะสมได้ ก็ควรสะสมแต่ละบารมีไปตามกำลังความสามารถ

    สำหรับบารมีทั้ง ๑๐ มีโลภะเป็นปฏิปักษ์ เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมว่า การที่ท่านจะเจริญบารมีนั้น ไม่ใช่เพราะต้องการผลของกุศล แต่ต้องเป็นเพราะ เห็นโทษของอกุศลแต่ละประเภท ไม่ใช่ว่าท่านต้องการเจริญบารมีเพื่อผลคือสังสารวัฏฏ์ แต่บำเพ็ญบารมีเพื่อขัดเกลากิเลสจนกว่าจะดับสังสารวัฏฏ์ได้ เพราะการดับสังสารวัฏฏ์หมายความถึงการดับกิเลสทั้งหมด เมื่อไม่มีกิเลส สังสารวัฏฏ์จึงจบได้ แต่ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ไม่ใช่หนทางที่จะสิ้นสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทำกุศลเพื่อหวังกุศลในสังสารวัฏฏ์

    ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นโทษของความตระหนี่ จึงให้ทาน บำเพ็ญทานบารมี

    ผู้ที่เห็นโทษในความเป็นผู้ทุศีล จึงรักษาศีล เห็นว่าการไม่สำรวมกายวาจา คือ การที่กายวาจาประพฤติในทางทุจริตย่อมนำโทษมาให้ แม้เพียงคำพูดซึ่งถ้า ไม่สำรวมก็อาจจะไม่รู้เลยว่านำโทษมาให้แล้วกับผู้พูดและกับบุคคลอื่นด้วย เพราะฉะนั้น ในเรื่องของกายและวาจา ถ้าเป็นผู้ที่เห็นโทษของความเป็นผู้ทุศีล จึงรักษาศีล หรือสำรวมกายและวาจาขึ้น

    เพราะเห็นโทษในกามและในการครองเรือน จึงมีอัธยาศัยในเนกขัมมะ

    เพราะเห็นโทษในความไม่รู้และความสงสัย จึงมีอัธยาศัยในการรู้ตามความ เป็นจริง คือ อบรมเจริญปัญญา

    เพราะเห็นโทษในความเกียจคร้าน จึงมีความเพียร

    เพราะเห็นโทษในความไม่อดทน จึงมีความอดทน

    เพราะเห็นโทษในการพูดผิด จึงมีอัธยาศัยในสัจจะ

    เพราะเห็นโทษในความไม่ตั้งใจมั่น จึงมีอัธยาศัยในความตั้งใจมั่น

    เพราะเห็นโทษในพยาบาท จึงมีอัธยาศัยในเมตตา

    เพราะเห็นโทษในโลกธรรม จึงมีอัธยาศัยในการวางเฉย

    นี่ก็เป็นบารมีทั้ง ๑๐ ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมอบรมไป

    สำหรับท่านที่สนใจในเรื่องของบารมี จะศึกษาด้วยตนเองได้ใน ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก ซึ่งมีเรื่องของบารมีมาก ทั้งบารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี

    ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก แสดงทั้งลักษณะ ทั้งกิจ ทั้งอาการปรากฏ และเหตุใกล้ให้เกิด ของบารมี ๑๐ ทุกบารมี ว่า

    ทานบารมี

    มีการบริจาคเป็นลักษณะ

    มีการกำจัดโลภะในไทยธรรมเป็นรส

    มีความสามารถ (คือ การสละได้) เป็นปัจจุปัฏฐาน หรือมีภวสมบัติและ วิภวสมบัติเป็นปัจจุปัฏฐาน

    มีวัตถุอันควรบริจาคเป็นปทัฏฐาน

    ศีลบารมี

    มีการละเว้นเป็นลักษณะ

    มีการกำจัดความเป็นผู้ทุศีลเป็นรส หรือมีความไม่มีโทษเป็นรส

    มีความสะอาดเป็นปัจจุปัฏฐาน

    มีหิริโอตตัปปะเป็นปทัฏฐาน

    เนกขัมมบารมี

    มีการออกจากกามและการออกจากภพเป็นลักษณะ

    มีการประกาศโทษของกามนั้นเป็นรส

    มีการหันหลังจากโทษนั้นเป็นปัจจุปัฏฐาน

    มีความสังเวชเป็นปทัฏฐาน

    ปัญญาบารมี

    มีการรู้แจ้งแทงตลอดตามสภาวธรรมเป็นลักษณะ หรือการรู้แจ้งแทงตลอด ไม่พลาดเป็นลักษณะ ดุจการซัดธนูและยิงด้วยลูกศรของคนฉลาด

    มีแสงสว่างตามวิสัยเป็นรส ดุจประทีป

    มีความไม่หลงเป็นปัจจุปัฏฐาน ดุจคนนำทางไปในป่า

    มีสมาธิเป็นปทัฏฐาน หรือมีอริยสัจจ์ ๔ เป็นปทัฏฐาน

    วิริยะบารมี

    มีอุตสาหะเป็นลักษณะ

    มีการอุปถัมภ์เป็นรส

    มีการไม่จมเป็นปัจจุปัฏฐาน

    มีวัตถุปรารภความเพียรเป็นปทัฏฐาน หรือมีความสังเวชเป็นปทัฏฐาน

    ขันติบารมี

    มีความอดทนเป็นลักษณะ

    มีความอดกลั้นสิ่งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาเป็นรส

    มีความอดกลั้นเป็นปัจจุปัฏฐาน หรือมีความไม่โกรธเป็นปัจจุปัฏฐาน

    มีเห็นตามความจริงเป็นปทัฏฐาน

    สัจจบารมี

    มีการไม่พูดผิดเป็นลักษณะ

    มีการประกาศตามความเป็นจริงเป็นรส

    มีความชื่นใจเป็นปัจจุปัฏฐาน

    มีความสงบเสงี่ยมเป็นปทัฏฐาน

    อธิษฐานบารมี

    มีความตั้งใจในโพธิสมภารเป็นลักษณะ

    มีการครอบงำสิ่งเป็นปฏิปักษ์ของโพธิสมภารเหล่านั้นเป็นรส

    มีความไม่หวั่นไหวในการครอบงำสิ่งเป็นปฏิปักษ์เป็นปัจจุปัฏฐาน

    มีโพธิสมภารเป็นปทัฏฐาน

    เมตตาบารมี

    มีความเป็นไปแห่งอาการเป็นประโยชน์เป็นลักษณะ

    มีการนำประโยชน์เข้าไปเป็นรส หรือมีอาการกำจัดความอาฆาตเป็นรส

    มีความอ่อนโยนเป็นปัจจุปัฏฐาน

    มีการเห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นที่น่าพอใจเป็นปทัฏฐาน

    อุเบกขาบารมี

    มีความเป็นไปโดยอาการที่เป็นกลางเป็นลักษณะ

    มีเห็นความเสมอกันเป็นรส

    มีการสงบความเคียดแค้นและความเสื่อมเป็นปัจจุปัฏฐาน

    มีการพิจารณาความที่สัตว์มีกรรมเป็นของของตนเป็นปทัฏฐาน

    นอกจากนั้นยังมีข้อความโดยละเอียดอีกหลายประการใน ขุททกนิกาย จริยาปิฎก ซึ่งเป็นเรื่องของบารมี และในแต่ละชาติเมื่อได้ทราบบารมี ๑๐ แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคล การเห็นประโยชน์ และการพิจารณา สภาพธรรมซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะว่าทุกคนก็อยากมีบารมีครบพร้อม ทั้ง ๑๐ อย่างมาก แต่กว่าจะถึงได้ ก็จะต้องค่อยๆ สะสมอบรมไปทีละเล็กทีละน้อย

    มีท่านผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่ศึกษาธรรม ก่อนที่ท่านจะสิ้นชีวิต ท่านปรารภกับเพื่อนของท่านว่า ท่านอยากให้มานะของท่านลดลง อยากให้ความเจ้าอารมณ์ของ ท่านลดลงในชาตินี้ ซึ่งท่านก็รู้ว่าแสนยาก เพราะท่านเองท่านก็ไม่ทราบว่าท่าน จะสิ้นชีวิตลงในวัยที่ไม่สมควร แต่แม้กระนั้นก็ยังดีที่ท่านยังเห็นโทษของตนเองที่สะสมในสิ่งที่ไม่อยากจะให้มีเลย เช่น ความมานะ หรือความเจ้าอารมณ์ต่างๆ แต่ก็จะ เห็นได้ว่า ความคิดกับการทำ อย่างไหนยากกว่ากัน เพราะบางคนถ้าสะสม เพียงความคิดที่จะละอกุศล แต่ยังไม่ละ หรือยังไม่ทำ การละนั้นก็ยังต้องยากอยู่ แต่ถ้าสามารถกระทำได้ทันที และเห็นผลทันที ผู้นั้นจะมีกำลังใจขึ้นและรู้ว่าเป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ยาก โดยการที่เมื่อเห็นอกุศลใดๆ ของตนเองที่คิดจะละ ก็ละในขณะนั้น เพราะถ้าไม่ละชาตินี้ จะคอยไปถึงชาติหน้า อกุศลนั้นก็เพิ่มขึ้น และจะติดตามไป ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว จะติดตามไปอีก อาจจะเป็นแสนโกฏิกัปป์ก็ได้ เพราะคงไม่ลืมว่า อดีตแสนโกฏิกัปป์ผ่านมาจนถึงเดี๋ยวนี้ได้ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ที่กำลังผ่านไปทีละขณะ ก็จะถึงแสนโกฏิกัปป์ข้างหน้าได้ อีกไม่นาน ค่อยๆ ไป ทีละขณะ

    บางท่านก็กล่าวว่า ช่วยท่านหน่อย เพราะท่านเป็นคนที่เบื่อเหลือเกินกับการที่ไม่ว่าจะทำอะไรคนก็ชมว่าดี ว่าถูก ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกตัวว่ามีมานะมากเหลือเกิน และไม่มีใครที่จะเอามานะของท่านออกไปหรือช่วยทำให้ท่านละคลายมานะนี้ได้ ท่านก็ขอว่า อย่าทิ้งท่าน ให้ช่วยท่านละคลายการที่มีคนชื่นชมในตัวท่านอย่างมากๆ ซึ่งดิฉันก็ได้เรียนให้ทราบว่า พระธรรมเท่านั้นที่เจาะลึก คนอื่นไม่สามารถทำอะไร ได้เลย ต้องเป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาแสดงโดยละเอียดทุกประการเพื่อให้ผู้ฟังพิจารณา และสามารถคลายความยึดมั่นในตัวตนและในมานะลงได้

    เพราะฉะนั้น แต่ละท่านจะต้องฟัง พิจารณา หนักแน่นไม่หวั่นไหว ในพระธรรมที่ได้ฟัง ที่ได้พิจารณาในลักษณะของสภาพธรรม ในอริยสัจจธรรมว่า ข้อปฏิบัติใดเป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้นได้จริงๆ เพราะสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในชีวิตประจำวัน และการที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ก็ละคลายจากกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ กำลังคิดนึกเดี๋ยวนี้ กำลังเป็นสุขเป็นทุกข์เดี๋ยวนี้

    ลักษณะของสภาพธรรมเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย สภาพธรรมใดมีลักษณะอย่างใด ก็เป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ซึ่งอวิชชาไม่สามารถรู้ในลักษณะของสภาพธรรมถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นได้ แต่ปัญญาที่ค่อยๆ เกิดเพราะสติระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จะทำให้ค่อยๆ รู้ในลักษณะของเห็นที่กำลังเห็น เมื่อรู้แล้วก็ค่อยๆ คลายการยึดถือ สิ่งที่ปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล และค่อยๆ ละการยึดถือเห็นว่า เป็นเราเห็น

    เพราะฉะนั้น การพิสูจน์การเจริญปัญญา ไม่ยากเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขณะใด สติเกิดจะรู้ได้เลยว่าปัญญารู้อย่างนี้ไหม เมื่อรู้แล้วก็ค่อยๆ คลายตามปกติ ตามธรรมดาในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ไปสู่สถานที่หนึ่งสถานที่ใดและเข้าใจว่าปัญญาเกิด แต่ปกติที่กำลังเห็นไม่มีการรู้เลยว่าเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีการละคลายการยึดถือเห็นที่กำลังเป็นปกติในขณะนี้ว่าเป็นตัวตน ไม่มีการละคลายที่จะเข้าใจว่า สภาพของปรมัตถธรรมที่ปรากฏทางตาเป็นแต่เพียงสีสันวัณณะต่างๆ ที่ปรากฏทางตาเท่านั้น

    ถ้าเข้าใจว่าชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรมเต็มไปด้วยอวิชชาและความยึดมั่น แต่เมื่อได้ฟังและมีความเข้าใจเกิดขึ้นเป็นขั้นๆ สติก็เริ่ม ระลึกรู้ การละคลายก็จะค่อยๆ เป็นไปตามลำดับ แต่ต้องเป็นปกติในชีวิตประจำวัน

    มโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี แสดงประวัติของท่านสูรอัมพัฏฐเศรษฐีอุบาสก ซึ่งท่านเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสกสาวก ผู้เลื่อมใสโดยไม่หวั่นไหว

    ข้อความมีว่า

    ท่านปุรพันธเศรษฐีอุบาสก (บาลีว่า สูรอัมพัฏฐะ) ในสมัยของพระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ ท่านเกิดในสกุลเศรษฐี เป็นอุปัฏฐากของเหล่าอัญญเดียรถีย์

    ไม่ได้กล่าวถึงการสะสมปัญญาและบารมีในอดีตชาติที่จะทำให้ท่านได้เป็น พระโสดาบัน ซึ่งท่านก็ต้องได้เคยฟังพระธรรม ได้อบรมเจริญสติปัฏฐานมาแล้ว

    ในชาติที่ท่านจะได้เป็นพระโสดาบันนั้น ท่านเกิดในตระกูลเศรษฐีมีนามว่า สูรอัมพัฏฐะ (แต่ข้อความในอรรถกถาแสดงว่า ท่านชื่อว่า ปุรพันธเศรษฐี)

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูโลกเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุปนิสัยแห่ง โสดาปัตติมรรคของท่าน จึงได้เสด็จไปถึงประตูบ้านของท่านในเวลาที่เสด็จบิณฑบาต เมื่อท่านเห็นพระผู้มีพระภาคท่านก็คิดว่า พระสมณโคดมทรงอุบัติในสกุลใหญ่ และเป็นผู้อันมหาชนรู้จักกันอย่างดีในโลก ด้วยเหตุนี้การไม่ไปเฝ้าพระองค์นั้น ไม่สมควร

    ดังนั้น ท่านจึงเข้าไปเฝ้าและกราบที่พระยุคลบาท รับบาตรและอาราธนาให้เสด็จเข้าไปในเรือน ให้ประทับนั่งบนบัลลังก์มีค่ามากแล้วได้ถวายภัตตาหาร เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงเสร็จภัตกิจแล้ว ท่านก็นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมตามควรแก่อุปนิสัยของท่าน เมื่อจบเทศนา ท่านดำรงอยู่ในโสตาปัตติผล และพระผู้มีพระภาคได้เสด็จกลับไปยังพระวิหารเชตวัน

    ทุกท่านอยากจะเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม ง่ายดี แต่ก่อนที่จะเป็นอย่างนี้นั้น ไม่ง่ายเลย จะต้องอาศัยการฟังจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ และอบรมเจริญปัญญา จนพร้อมที่เมื่อได้ฟังพระธรรมถึงกาลที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    ลำดับนั้น มารคิดว่า ชื่อว่าปุรพันธะนี้เป็นสมบัติของเรา (เพราะกาลครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นอุปัฏฐากของพวกเดียรถีย์) มารคิดว่า แต่ว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จไปเรือนของเขาวันนี้ เขาจะได้บรรลุมรรคผลเพราะได้ฟังพระธรรมของพระผู้มีพระภาคหรือไม่หนอ

    เพื่อที่จะได้รู้ว่าปุรพันธเศรษฐีบรรลุมรรคผลหรือไม่ มารก็เนรมิตรูปเป็น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับยืนใกล้ประตูเรือนของปุรพันธอุบาสก

    อยากรู้มาก มีวิธีที่จะรู้ได้ คือ ได้แปลงกายเป็นพระผู้มีพระภาค

    แม้ปุรพันธอุบาสกได้ฟังว่าพระผู้มีพระภาคเสด็จมาอีกแล้ว ก็คิดว่า ธรรมดาการเสด็จไปชนิดไม่แน่นอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีเลย เหตุไรหนอจึงเสด็จมา ดังนี้

    การที่พระผู้มีพระภาคเสด็จไปและเสด็จกลับมาอีก ย่อมไม่มีเลย เพราะฉะนั้น ท่านก็มีความสงสัย

    ท่านจึงได้รีบไปที่ที่มารแปลงเป็นพระพุทธเจ้ายืนอยู่ เมื่อกราบแล้วได้ยืน ที่สมควรข้างหนึ่ง และกราบทูลว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคทรงกระทำภัตกิจเสร็จในเรือนของ ข้าพระองค์ ทรงอาศัยเหตุอะไรจึงเสด็จมาอีก

    มารกล่าวว่า

    ดูก่อน ปุรพันธะ เราเมื่อกล่าวธรรม ไม่ทันพิจารณาแล้วกล่าวคำไปข้อหนึ่ง มีอยู่ แท้จริงเรากล่าวไปว่า ปัญจขันธ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาหมดทุกอย่าง แต่ความจริงไม่ใช่ทั้งหมดเห็นปานนั้น ด้วยว่าขันธ์บางจำพวกที่เที่ยง มั่นคง ยืนยง มีอยู่

    ทีนั้นปุรพันธอุบาสกคิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องหนักอย่างยิ่ง

    คือ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเลยที่จะกล่าวอย่างนี้

    ด้วยธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสเป็นคำสองไม่มี จึงคิดใคร่ครวญว่า ขึ้นชื่อว่ามารเป็นข้าศึกของพระทศพล ผู้นี้ต้องเป็นมารแน่ จึงกล่าวว่า

    ท่านเป็นมารหรือ

    มารยอมรับว่าใช่ ปุรพันธอุบาสกจึงชี้นิ้วกล่าวว่า

    มารตั้ง ๑๐๐ ตั้ง ๑,๐๐๐ ก็มาทำศรัทธาของเราให้หวั่นไหวไม่ได้หรอก พระผู้มีพระภาคเมื่อทรงแสดงธรรมแก่เรา ก็ทรงแสดงธรรมปลุกให้ตื่นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ท่านอย่ายืนใกล้ประตูเรือนของเรานะ

    มารก็ได้อันตรธานไปในที่นั้นนั่นเอง

    และในตอนเย็นปุรพันธอุบาสกก็ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลให้ทรงทราบ

    ท่านผู้ฟังพิจารณาธรรมหนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหวที่จะรู้ว่า สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง ไม่ว่าใครจะกล่าวว่าอย่างไรก็หนักแน่นมั่นใจมั่นคงว่า สิ่งใดที่เกิด เพราะเหตุปัจจัยสิ่งนั้นก็ดับ ที่จะยั่งยืนมั่นคงนั้นไม่มีเลย หรือขันธ์บางขันธ์อาจจะยั่งยืนมั่นคง ถ้าคิดอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ ก็เป็นความเห็นผิด และเป็นการไม่มั่นคง ในเหตุในผล ซึ่งการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ต้องเป็นผู้มีความมั่นคงในเหตุในผล จริงๆ ไม่คลอนแคลน ไม่ว่าในการพิจารณากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็ต้องพิจารณาในเหตุผลที่จะทำให้สติปัฏฐานเจริญขึ้นโดยถูกต้อง

    ผู้ฟัง มารนี่มาได้แนบเนียนมาก ถ้าปุรพันธะไม่ได้โสดาบันก็เสร็จแน่

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผู้ที่หนักแน่นมั่นคง ฟังพระธรรมเข้าใจ แม้ในขั้นของการฟัง ก็ต้องประกอบด้วยเหตุผลที่จะต้องรู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไม่มีสอง เพราะว่า ทรงแสดงตามที่ทรงตรัสรู้ ฉะนั้น ที่จะกลับไปกลับมาเป็นไปไม่ได้ และโดยเหตุผล จริงๆ ก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้

    ผู้ฟัง ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราฟังอาจารย์แล้วเราก็ต้องมั่นคงว่า รูปนั่งกับปรมัตถธรรมต้องต่างกันแน่

    ท่านอาจารย์ ต้องพิจารณาและเป็นความเข้าใจจริงๆ ในเรื่องของปรมัตถธรรม ในเรื่องลักษณะของสภาพธรรมที่พิสูจน์ได้ ไม่ใช่เพียงแต่ให้เชื่อหรืออ้างตำราโดย บอกว่า เมื่ออิริยาปถบรรพมี


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 2
    3 พ.ย. 2566

    ซีดีแนะนำ