รวมสติปัฎฐาน ตอนที่ 067


    ตอนที่ ๖๗

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้วหรือหนอ

    เพราะเหตุว่าเป็นหนทางเดียวจริงๆ ที่จะทำให้รู้ขันธ์ ๕ ได้ ถ้าไม่เจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ขันธ์ ๕ ได้

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญสัมมัปธาน ๔ แล้วหรือหนอ

    สัมมัปธาน ได้แก่ วิริยะ ซึ่งเกิดร่วมกับสติ ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป เป็นความเพียรชอบ

    ไม่ใช่เพียรอย่างอื่น แต่เพียรระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นผู้ที่เจริญสัมมัปธาน เจริญความเพียร เจริญวิริยะ ไม่ใช่วิริยะนเรื่องอื่น แต่วิริยะที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญอิทธิบาท ๔ แล้วหรือหนอ

    อิทธิบาท ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสะ ซึ่งจะต้องมีในการเจริญสติปัฏฐาน ถ้าไม่มีฉันทะ ก็ไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญอินทรีย์ ๕ แล้วหรือหนอ

    ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญพละ ๕ แล้วหรือหนอ

    เป็นการตรวจสอบตัวเองตามความเป็นจริงตลอดเวลา ตามความเป็นจริง

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญโพชฌงค์ ๗ แล้วหรือหนอ

    ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐแล้วหรือหนอ

    ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราเจริญสมถะและวิปัสสนาแล้วหรือหนอ

    ไม่ใช่หมายความว่า ให้ไปเจริญฌาน แต่หมายความว่าในมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง มีทั้งสมถะและวิปัสสนา ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของนาม ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของรูป สงบจากอกุศล เพราะเหตุว่าสติกำลังระลึกรู้ลักษณะของนามว่าเป็นนาม ระลึกรู้ลักษณะของรูปว่าเป็นรูป เมื่อเพิ่มมากขึ้น ก็สงบจากกิเลส คือ การไม่รู้ลักษณะของนามของรูปนั้นมากขึ้น

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ภิกษุพึงพิจารณาดังนี้ว่า เราทำวิชชาและวิมุตติให้แจ้งแล้วหรือหนอ

    ไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่เป็นการพิจารณาตามความเป็นจริงว่า ได้ถึงมรรคจิต ผลจิต รู้แจ้งอริยสัจจธรรมแล้วหรือยัง

    พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

    ดูกร สารีบุตร ก็สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้ทำบิณฑบาต ให้บริสุทธิ์แล้วในอดีตกาลทั้งหมดนั้น พิจารณาแล้ว พิจารณาแล้วอย่างนี้เทียว จึงทำให้บิณฑบาตให้บริสุทธิ์ได้ สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้จักทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ในอนาคตทั้งหมดนั้น ต้องพิจารณาแล้ว พิจารณาแล้วอย่างนี้เทียว จึงจักทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ได้

    ทรงตรัสไว้ก่อนที่จะปรินิพพาน ให้เห็นว่า บุคคลในอดีตได้เจริญอย่างไร แม้ในอนาคตก็จะต้องเจริญเหมือนกันอย่างนั้น

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    สมณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้กำลังทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์อยู่ ในบัดนี้ทั้งหมดนั้น ย่อมพิจารณาแล้ว พิจารณาแล้วอย่างนี้เทียว จึงทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์ได้ เพราะฉะนั้นแล พวกเธอพึงสำเหนียกว่า จักพิจารณาแล้ว จักพิจารณาแล้ว ทำบิณฑบาตให้บริสุทธิ์

    ดูกร สารีบุตร พวกเธอพึงสำเหนียกไว้อย่างนี้แล

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล

    เหมือนกันทุกสมัย ไม่ใช่ว่าสมัยนี้จะไม่เหมือนกับสมัยก่อน ผู้ที่จะรู้แจ้ง อริยสัจธรรมจะต้องพิจารณาเหมือนอย่างบุคคลในครั้งอดีตที่ได้พิจารณาแล้ว

    เรื่องของจิตมีราคะซึ่งเป็นปกติเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ระลึกได้ ไม่ต้องกั้น แต่เป็นผู้ที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามของรูปมากขึ้น เพิ่มขึ้น ไม่วาจะเป็นนามชนิดใด รูปชนิดใด ที่ปรากฏทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ผู้ฟัง บุคคลเป็นจำนวนมาก เขาซื้อลอตเตอรี่กันทุกเดือน เมื่อถูกลอตเตอรี่เขาก็ย่อมเกิดโสมนัสยินดี มีความพอใจ และอยากจะซื้ออีก เขาบอกว่า ไม่จำเป็นจะต้องไปเจริญสติปัฏฐาน ลอตเตอรี่ถูก เราก็ยินดี พอใจแล้ว รู้แล้วว่าเรายินดี เราพอใจ เช่นนี้จะต้องไปเจริญสติปัฏฐานอะไรกันอีก

    ท่านอาจารย์ ต้องการตายแล้วเกิดอีกต่อไปเรื่อยๆ จึงจะไม่ต้องเจริญสติปัฏฐานอะไร ก็เป็นเรื่องของบุคคลที่ไม่เห็นภัยในวัฏฏะ

    ผู้ฟัง รู้ว่าอยากได้

    ท่านอาจารย์ รู้ว่าอยากได้ แต่เป็นตัวตนที่อยากได้ ไม่ใช่รู้ว่าสภาพความยินดีพอใจที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป เพราะเหตุว่ามีนามธรรมอื่นประเภทอื่นต่อไป เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ไม่ใช่มีแต่อกุศลจิตที่จะระลึกรู้ มีจิตอื่นด้วย คือ กุศลจิตก็มี

    ผู้ฟัง แต่เขาพอใจ

    ท่านอาจารย์ เขาพอใจ เขาก็เกิดอีก เขาก็ตายอีก ก็เรื่องของเขาที่จะเวียนเกิดเวียนตาย เพราะเขายังเต็มไปด้วยอวิชชา

    ผู้ที่เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไม่ใช่เพียงรู้ว่ากำลังพอใจ แต่รู้ว่าสภาพที่พอใจนั้นเป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่งต่างกับนามธรรมอื่นๆ เพราะเหตุว่าพอสติระลึกรู้ลักษณะของโลภมูลจิต โลภมูลจิตก็ดับ แล้วสติก็ระลึกรู้ลักษณะของจิตประเภทอื่นต่อไป มีนามมีรูปมากมายทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่จะต้องระลึกเพื่อรู้ชัดเพิ่มขึ้น

    ผู้ที่เจริญสติเป็นผู้ที่ทราบว่า ได้รู้ลักษณะของนามอะไรเพิ่มขึ้น มากขึ้น แล้วความสมบูรณ์ของญาณเกิดขึ้นแล้วหรือยัง และผู้นั้นก็รู้ได้ว่า ญาณนั้นเกิดขึ้นเพราะเจริญเหตุอย่างไร ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจริญสติเลย แล้วจะมีญาณเกิดขึ้น ซึ่งก่อนจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ญาณก็จะต้องเกิดเป็นลำดับขั้น ถ้าญาณขั้นที่ ๑ ยังไม่เกิด ผู้นั้นจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง ผู้ที่ไม่มีความรู้ว่า จิตที่เป็นภาษาบาลีมีทั้งหมดกี่ดวง จะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ได้แน่นอน เพราะเหตุว่าการศึกษาเรื่องจิตประเภทต่างๆ ก็เป็นเพียงชื่อ เป็นการศึกษาเรื่องของจิต แต่ยังไม่ใช่การรู้ชัดในลักษณะของจิต

    ความรู้ก็มีหลายขั้น ขั้นการฟังศึกษาเรื่องของจิตนี่มาก จิตเป็นสังขารธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปมีกี่ประเภท จิตใดเกิดก่อน แล้วจิตใดเกิดต่อ มีปัจจัยอะไรทำให้จิตชนิดนั้นเกิดก่อนจิตชนิดนี้ ก็เป็นผู้ที่แตกฉานในการศึกษาเรื่องของจิต แต่ไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของจิตตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ผู้นั้นไม่ได้รู้ลักษณะของจิตโดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงรู้ขั้นการศึกษาเท่านั้น

    ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานสามารถที่จะรู้ลักษณะของจิตที่ต่างกัน แม้ว่าไม่รู้ชื่อ เช่น เวลาที่เกิดความยินดีพอใจ เป็นสภาพของจิตที่เป็นไปกับราคะหรือโลภะ ผู้นั้นระลึกรู้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพของจิตชนิดหนึ่ง เป็นนามธรรมอาศัยเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมอื่นต่อไป ไม่ใช่มีแต่โลภมูลจิต การเห็นเป็นของที่มีจริง ระลึกรู้ลักษณะของการเห็น ชื่อว่าเป็นการระลึกรู้ลักษณะของจิต เพราะเหตุว่ารู้ลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ว่า สิ่งที่เป็นสภาพรู้นั้นไม่ใช่รูป ไม่ใช่ไปจดจ้องอยู่ที่กลางจักขุปสาทเพื่อให้ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของจิต นั่นไม่ใช่วิธีที่จะรู้ลักษณะของจิต นั่นไม่ใช่วิธีที่จะทำให้ปัญญาสมบูรณ์ขึ้นจนกระทั่งละคลาย แล้วก็รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้

    ผู้ที่ปฏิบัติธรรมถูกต้อง โดยการที่ได้ศึกษา ได้ฟังธรรม ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยินได้ฟังเลย ได้ยินได้ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน เมื่อเข้าใจถูกต้องก็ทราบว่า เวลาที่สติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จะมีลักษณะที่ต่างกัน คือลักษณะหนึ่งเป็นสภาพรู้ อีกลักษณะหนึ่งไม่ใช่สภาพรู้ อย่างตานี่ทุกคนก็มี แล้วก็เห็นทุกวัน สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาก็มีปรากฏทุกวันๆ เหมือนกัน ไม่ใช่ลักษณะเดียวกัน สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏ แต่สภาพรู้ที่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นก็อีกลักษณะหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ถ้าฟังแล้วพิจารณาอย่างแยบคาย และเทียบเคียงธรรมให้เข้าใจถูกต้อง สติก็สามารถระลึกรู้ลักษณะที่ต่างกันของสภาพธรรมได้ถูกต้องตามความเป็นจริง เช่น ได้ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานรู้ว่าสภาพธรรมทุกอย่างต่างกันเป็นประเภท คือ เป็นนามธรรมประเภทหนึ่ง เป็นรูปธรรมประเภทหนึ่ง ไม่มีผู้ใดคัดค้านใช่ไหม

    ประโยชน์ของสติ เพื่อระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะถ้าระลึกรู้ลักษณะจะไม่มีความเป็นตัวตนอยู่ในที่ใดเลย เพราะเหตุว่าสภาพธรรมแต่ละลักษณะก็ต่างกันเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่างกัน ปรากฏแล้วก็หมดไป

    ผู้ฟัง เวลาที่ผมเริ่มเจริญสติปัฏฐาน ตาไปกระทบสี แล้วเกิดความรู้สึกว่า เห็นสีปรากฏขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วเกิดเป็นความรู้สภาพรู้ว่า เห็นแล้วก็ดับไป และมีสภาพความอยากรู้อยากเห็นสิ่งนั้นว่าเป็นอะไรเกิดขึ้นแล้วดับไป แบบนี้จะเรียกว่าเป็นการเจริญสติปัฏฐานไหม

    ท่านอาจารย์ ยังไม่อยากเรียกว่า ได้เจริญสติปัฏฐาน เพราะว่าระลึกอย่างไรจึงรู้ว่าสีมากระทบตา แล้วมีการเห็นเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ก็สีกระทบ

    ท่านอาจารย์ ระลึกอย่างไรจึงว่า สีกระทบแล้ว

    ผู้ฟัง ก็มีสภาพรู้

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้สภาพรู้มีใช่ไหม สภาพกระทบเมื่อสักครู่นี้มีด้วยหรือที่จะให้เกิดความรู้ คือ รู้ถึงลักษณะที่กระทบกันด้วยหรือ

    ผู้ฟัง รู้ว่าเป็นสภาพรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องมีเหตุผลด้วยที่รู้ว่าเป็นคนละสภาพกัน ที่รู้จริงๆ เพราะระลึกอย่างไร แต่ไม่ใช่เพราะระลึกว่า สีมากระทบตาก่อน

    ผู้ฟัง รู้ว่าสภาพของจริงกำลังปรากฏทางตา ทางหู

    ท่านอาจารย์ ทีละทาง ทางตาก็ได้ ที่จะรู้ว่าสีไม่ใช่การเห็นนั้นระลึกอย่างไร แต่ไม่ใช่โดยลักษณะที่ว่า เพราะสีมากระทบตา

    ผู้ฟัง ปรากฏอยู่ แต่สภาพรู้นั้น

    ท่านอาจารย์ และที่ว่าอะไรเกิดก่อน รู้ได้อย่างไร

    ผู้ฟัง กำหนดหมาย

    ท่านอาจารย์ กำหนดหมายว่าสีเกิดก่อนอย่างไร

    ผู้ฟัง เพราะสีที่เห็นมากระทบตา

    ท่านอาจารย์ นั่นไม่ใช่สติที่ระลึกรู้ลักษณะของสี หรือไม่ใช่สติที่ระลึกรู้ลักษณะของเห็น แต่เป็นการคิดนึก

    ถ้าระลึกรู้ว่า สภาพที่คิดนึกในขณะนั้นเป็นนามธรรม ก็ไม่ใช่รู้ลักษณะของสี ไม่ใช่ระลึกรู้ลักษณะของเห็น รวดเร็วมาก ต้องทีละอย่าง แล้วก็ชัด และถูกต้องด้วย ไม่ใช่ปนกัน

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานไม่ใช่รู้ว่า สีเกิดก่อน แล้วมากระทบตา แล้วจักขุวิญญาณเกิดทีหลัง จึงเป็นลักษณะที่ต่างกัน ไม่ใช่อย่างนั้น

    ผู้ฟัง (ไม่ได้ยิน)

    ท่านอาจารย์ จิตหนึ่งขณะนี้เร็วสักเท่าไรประมาณไม่ได้เลย เพราะขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ก็เหมือนกับมีเห็นด้วย มีได้ยินด้วย ดูเหมือนพร้อมกันทันที แต่ตามความเป็นจริงแล้ว จิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะแล้วดับไป แต่ทำให้ปรากฏเหมือนกับว่าไม่เกิดดับเลย ก็เพราะเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก

    นี่เป็นเหตุที่ทำให้เรายึดโลกว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่ได้กระจัดกระจายแยกรู้ลักษณะของนามแต่ละชนิด รูปแต่ละชนิดว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเพียงเกิดดับสืบต่อกันเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง (ไม่ได้ยิน)

    ท่านอาจารย์ ระลึกรู้ลักษณะของนามแต่ละชนิด ไม่ปนกัน ระลึกรู้ลักษณะของรูปแต่ละชนิด ไม่ปนกัน จึงจะประจักษ์ว่าไม่ใช่ตัวตน เมื่อละคลายมากขึ้น รู้สภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันตามปกติมากเท่าไร คลายมากเท่าไร ก็จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป ไม่มีอะไรบังไว้

    ผู้ฟัง รู้เอง

    ท่านอาจารย์ อาศัยการเจริญสติ แล้วปัญญาก็เกิดพร้อมกับสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นการเจริญปัญญา ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่ด้วยสมาธิ แต่เป็นปัญญาที่รู้ชัด ชื่อว่าวิปัสสนาญาณ อาศัยการเจริญสติแล้วรู้ลักษณะของนามและรูปมากขึ้น ชัดขึ้น ทั่วขึ้น

    ผู้ฟัง รู้อย่างไร เร็วเหลือเกิน จับไม่ได้สักที

    ท่านอาจารย์ อยากจะประจักษ์การเกิดดับของนามรูปใช่ไหม โดยที่ไม่เจริญสติหรือ

    ผู้ฟัง มีสติสักแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่สติแค่ไหน แต่หมายความว่า ปัญญารู้ชัดเพิ่มขึ้นโดยที่สติระลึกรู้ลักษณะของนาม ปัญญาก็รู้ว่าเป็นนาม

    ผู้ฟัง เป็นธรรมชาติคนละอย่าง

    ท่านอาจารย์ ธรรมชาติคนละอย่าง แต่อาศัยซึ่งกันและกัน ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนาม ปัญญาจะรู้ว่าเป็นนามไม่ได้ ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของรูป ปัญญาจะรู้ว่าเป็นรูปไม่ได้ สติกับปัญญาไม่แยกกันเลย

    ทุกท่านมีโลภมูลจิต สราคจิต ก็จะขอกล่าวถึงการระลึกรู้ลักษณะของสราคจิต สงเคราะห์กับปริยัติตามที่ท่านได้ศึกษามาบ้าง แต่ถึงแม้ว่าบางท่านจำไม่ได้ศึกษาเลย การศึกษานั้นมี ๒ ลักษณะ คือ ศึกษาในขั้นปริยัติ เรียนในเรื่องที่ท่านทรงแสดงไว้ อย่างโลภมูลจิต ท่านแสดงไว้ว่ามีกี่ประเภท โดยขั้นปริยัติก็ศึกษาในเรื่องของโลภมูลจิต แต่ว่าการศึกษาอีกลักษณะหนึ่งคือการประพฤติปฏิบัติ ศึกษาจากสภาพธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้น ที่กำลังปรากฏ ที่เป็นของจริง

    วันนี้ก็จะขอกล่าวถึงสราคจิตหรือโลภมูลจิต ซึ่งมีเป็นปกติในวันหนึ่งๆ แล้วก็เป็นสติปัฏฐาน เป็นสิ่งที่สติควรระลึกเพื่อรู้ เมื่อรู้ชัดแล้วก็จะละคลายความยึดถือโลภมูลจิตว่าเป็นตัวตนได้ เพราะเหตุว่าทุกท่านคงไม่อยากจะมีกิเลสสะสมไว้มากๆ โดยเฉพาะลักษณะของโลภมูลจิต ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ตรึงไว้ให้แน่น แนบแน่นทีเดียวกับอารมณ์ ไม่ยอมให้พรากไปจากอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นสภาพที่ยึดไว้ ตรึงไว้ ร้อยไว้ ในวัฏฏะ ในวันหนึ่งๆ ก็มีโลภะมากเหลือเกิน ถ้าไม่ระลึกรู้ ก็ไม่สามารถที่จะละคลายการที่เคยยึดถือโลภมูลจิตว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นบุคคลได้ ถ้าไม่มีปัญญาที่รู้ชัดจริงๆ กิเลสหมดไม่ได้ แล้วเรื่องของโลภมูลจิตนี้เป็นเรื่องที่ควรรู้อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าทุกคนมีมากๆ ทุกๆ วัน ปัญหาก็คือว่า ในเมื่อทุกท่านได้เริ่มเจริญสติ ระลึกรู้ลักษณะของนามรูปบ้าง ทั้งตาบ้าง ทางหูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง แล้วแต่บุคคลว่าบุคคลนั้นเริ่มระลึกรู้ลักษณะของรูปหรือว่าเริ่มระลึกรู้ลักษณะของนาม ทั้งตาหรือทางหู อีกบุคคลหนึ่งก็อาจจะเริ่มระลึกรู้ลักษณะของนามหรือของรูป ทางจมูกหรือทางกาย นี่เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เป็นเรื่องของสติที่บังคับบัญชาไม่ได้ ว่าจะให้เกิดการระลึกรู้ในลักษณะของนามหรือรูป ที่ไหน เมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเวลาที่ท่านได้ฟังเรื่องจิตตานุปัสสนา สิ่งที่ข้ามไม่ได้ ก็คือสติควรที่จะระลึกรู้ลักษณะของจิต ในขณะที่ลักษณะนั้นๆ กำลังปรากฏ และโลภมูลจิตก็มีมาก แต่ว่าท่านเองเป็นผู้ทราบว่าท่านเริ่มระลึกรู้ลักษณะของสราคจิตหรือโลภมูลจิตบ้างแล้วหรือยัง ผู้เจริญสติทราบได้ใช่ไหม คนอื่นตอบไม่ได้นอกจากท่านเอง

    เคยมีบางท่านถามว่า ทำไมถึงได้ระลึกรู้ทางกายคือเย็นร้อน อ่อนแข็ง ก่อนทางอื่น หรือว่าบ่อยมากกว่าทางอื่น ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นลักษณะของการกระทบกันของรูปที่หยาบคือมหาภูตรูปกับมหาภูตรูป เพราะฉะนั้นความรู้สึกหรือความรู้ก็ชัดพอที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของรูปที่กระทบปรากฏทางกายได้ หรือว่าระลึกรู้ลักษณะของนาม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 9
    8 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ