โสภณธรรม ครั้งที่ 024


    ตอนที่ ๒๔

    มิฉะนั้นท่านก็คงจะไม่ไต่ถามสอบถามท่านผู้นั้นใช่ไหม แต่ว่าเมื่อไต่ถามสอบถามท่านผู้ใด ก็แสดงว่ามีความเคารพในความเข้าใจธรรมของท่านผู้นั้น ซึ่งก็จะเป็นเหตุหนึ่งซึ่งทำให้เป็นไปเพื่อได้ปัญญา และเพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

    ประการต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ ๒ อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิตให้ถึงพร้อม

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

    เวลาที่ฟังพระธรรมเข้าใจแล้ว ประโยชน์ก็คือว่า สงบกายและสงบจิต ไม่เบียดเบียนด้วยกาย วาจา ขณะใด ขณะนั้นสงบ ทั้งกายและจิต ถ้าเป็นอย่างนี้ นี่เป็นปัจจัยข้อที่ ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

    เพราะฉะนั้น เวลาฟังพระธรรมแล้ว หลายท่านต้องการประเมินผล ใช่ไหม อยากจะทราบว่าผลของการฟังพระธรรมนี้ถึงแค่ไหนแล้ว หรือว่าถึงขั้นไหนแล้ว มีประโยชน์มากมายสักเพียงไร บางท่านอาจจะอยากประเมินด้วยจำนวนของผู้ฟัง ว่ามีผู้ฟังมากน้อยเท่าไร แต่นั่นไม่ใช่ผลที่แท้จริงหรือว่าไม่ใช่ผลที่ต้องการจากการฟังพระธรรม แต่ว่าผลที่ทุกท่านประเมินตัวเองจากการฟังพระธรรมแล้ว คือ เป็นผู้ที่สงบกายและสงบจิตหรือยัง หรือว่าสงบกายและสงบจิตเพิ่มขึ้นไหม

    ก่อนฟังพระธรรม ชีวิตประจำวัน กายก็สงบบ้าง ไม่สงบบ้าง วาจาก็สงบบ้าง ไม่สงบบ้าง เพราะฉะนั้น ประเมินผลจากการฟังพระธรรมด้วยตนเอง คือว่าเมื่อฟังแล้วสงบกายและสงบจิตขึ้นหรือเปล่า

    นี่เป็นประโยชน์เฉพาะตน ถ้าไม่สงบกายสงบจิต ปัญญาจะเจริญไหม ยังเหมือนเดิมใช่ไหม แต่ว่าประโยชน์จากการได้ฟังพระธรรมที่เข้าใจแล้ว ก็จะพิสูจน์ได้จากตนเอง

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    เธอเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๔ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯเพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

    เมื่อฟังพระธรรมแล้ว สงบกายสงบจิตแล้ว มีการสำรวมระวังเพิ่มขึ้น เพราะเหตุว่าเป็นผู้มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย

    นี่สำหรับผู้ที่ละเอียดมากทีเดียวที่จะเป็นผู้ที่เห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย คิดถึงคนอื่นด้วยอกุศลจิตนิดเดียว สติระลึกได้หรือยัง เห็นหรือยัง เห็นภัยในโทษ แม้มีประมาณน้อย คือ แม้เพียงชั่วความคิด ก็ยังเห็นว่าเป็นโทษ แต่ถ้ายังไม่เห็น ปัญญาก็ยากที่จะเจริญได้

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    เธอเป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก ทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๕ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

    การที่ปัญญาจะเจริญนี้จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ง่ายเลย แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีศรัทธา เป็นผู้ที่สอบถามข้อสงสัยเพื่อความเข้าใจชัดเจนขึ้น เป็นผู้ที่พิจารณาผลจากการฟังพระธรรมของตนเอง เป็นผู้ที่สำรวมระวัง และก็เป็นผู้ที่มีปกติเห็นภัยในโทษแม้มีประมาณน้อย ก็ยังต้องเป็นผู้ที่ต้องอาศัยการฟังต่อไปอีก ต้องเป็นผู้ที่เป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังมาก ทรงจำไว้คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดดีด้วยทิฏฐิซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น ในขั้นศีล งามในท่ามกลางในขั้นสมาธิ งามในที่สุด คือขั้นปัญญา ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ

    นี่ก็เป็นการเกื้อกูลกัน เพื่อการเสริมสร้างปัญญาของตนเองให้เพิ่มขึ้น ด้วยการสนทนาธรรม หรือว่าด้วยการแสดงธรรม ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ถ้ามีการสนทนาธรรม หรือการแสดงธรรม ในขณะนั้นปัญญาของท่านเองก็ย่อมจะแตกฉานเพิ่มขึ้น

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    เธอย่อมปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความพร้อมมูลแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๖ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

    ขาดอีกไม่ได้ คือ ความเพียร เพราะเหตุว่าหนทางที่จะดับกิเลสนี้ เป็นหนทางที่ไกลมาก เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงหรือก่อนจะถึงหนทางนั้นก็ต้องเจริญกุศลทุกประการโดยไม่ท้อถอย ในเรื่องอกุศลไม่ท้อถอยใช่ไหม ในวันหนึ่งๆ ลองพิจารณาดู เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปในเรื่องกุศล ก็ควรจะเป็นเช่นเดียวกัน คือไม่ควรจะท้อถอยในเรื่องของกุศลด้วย

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    อนึ่ง เธอเข้าประชุมสงฆ์ ไม่พูดเรื่องต่างๆ ไม่พูดเรื่องไม่เป็นประโยชน์ ย่อมแสดงธรรมเองบ้าง ย่อมเชื้อเชิญผู้อื่นให้แสดงบ้าง ย่อมไม่ดูหมิ่นการนิ่งอย่างพระอริยเจ้า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๗ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

    นี่เป็นเรื่องของหิริโอตตัปปะ แม้ว่าพระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงแสดงว่า นี่เป็นหิริโอตตัปปะ แต่ก็ขอให้พิจารณาว่า เมื่อเข้าประชุมสงฆ์ ไม่พูดเรื่องต่างๆ ไม่พูดเรื่องไม่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ก็จะต้องพูดเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ในขณะที่ย่อมแสดงธรรมเองบ้าง ย่อมเชื้อเชิญผู้อื่นให้แสดงบ้าง ย่อมไม่ดูหมิ่นการนิ่งอย่างพระอริยเจ้า

    นี่ก็เป็นหิริโอตตัปปะทั้งหมด ซึ่งจะเป็นเหตุให้เป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ

    บางคนเห็นใครนิ่ง ก็อาจจะบอกว่าคนนั้นไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน

    ผู้ฟัง ถ้าจะให้มีหิริโอตตัปปะเรื่อยๆ ก็คือว่าหายใจเป็นธรรมเลย เท่าที่อาจารย์พูดเมื่อครู่นี้

    ท่านอาจารย์ หิริโอตตัปปะเป็นโสภณสาธารณะ เพราะฉะนั้น ก็เกิดกับกุศลจิตทุกประการ

    ผู้ฟัง พอนั่งประชุมกันแล้วก็สนทนาธรรม แล้วก็แสดงธรรม เท่าที่สูตรนี้ว่ามา แล้วก็หายใจต้องเป็นธรรมซิครับ

    ท่านอาจารย์ ดีไหม

    ผู้ฟัง ดี แต่ทำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทำไม่ได้ เพราะเหตุว่ายังมีอหิริกะและอโนตตัปปะ ถึงทำไม่ได้ แต่ก็ให้รู้เหตุผลว่าทำไม่ได้เพราะอะไร ใช่ไหม จะได้เห็นอหิริกะอโนตตัปปะของตนเองชัดเจนขึ้น ว่าเป็นไปในขณะนี้ ในขณะนี้ๆ เพื่อที่จะได้รู้ความต่างกันว่า เวลาที่หิริโอตตัปปะเกิด จะเป็นไปในทางที่ตรงกันข้าม แม้ในเรื่องของกายและวาจา เช่นในการเชื้อเชิญให้ผู้อื่นแสดงธรรม หรือแม้แต่ในความคิดนึก เช่น ไม่ดูหมิ่นการนิ่งอย่างพระอริยเจ้า

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ควรเลยที่จะคิดถึงคนอื่นในทางอกุศล บางคนไม่ระวัง สามารถที่จะคิดติเตียนคนอื่นได้ โดยที่ไม่รู้ว่า ขณะที่จิตกำลังคิดติเตียนนั้น ขณะนั้นเป็นอกุศลจิตของตนเอง

    ผู้ฟัง อาจารย์ครับ อกุศลนี้ไม่ต้องเจริญ แต่มันก็เกิดอยู่ตลอดเวลา โดยที่เราไม่ค่อยจะรู้ด้วย การทำก็ดี การพูดก็ดี ถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะแล้วก็ มันก็เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งอกุศลทั้งนั้น รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ชีวิตประจำวันของเราจริงๆ รู้สึกว่าเราจะสั่งสมแต่อกุศล ทั้งๆ ที่เราก็ไม่อยากจะสั่งสม มันเป็นเพราะเราขาดอะไร มันถึงเป็นอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้เหตุ ไม่รู้ผล ของการที่เป็นผู้ที่มีกาย วาจาที่เป็นอกุศล เมื่อไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญา อกุศลธรรมอื่นๆ ก็เกิด ทั้งโลภะ ทั้งโทสะ ทั้งอหิริกะอโนตตัปปะ

    ผู้ฟัง และการที่เราจะเจริญกุศลนี้ รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่คล้ายๆ กับจะเป็นการทวนกระแส จะต้องสร้างความเพียร สร้างหิริโอตตัปปะ อะไรต่อมิอะไรอีก ซึ่งเป็นคุณธรรมที่จะต้องสร้างอย่างมากมายและก็จริงจังด้วย ไม่ใช่ทำเหยาะๆ แหยะๆ ถ้าทำเหยาะๆ แหยะๆ แล้ว สงสัยจะไปไม่รอดแน่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมที่เป็นพละ ธรรมดาวันหนึ่งๆ อหิริกะอโนตตัปปะเกิดมาก แต่ว่า หิริโอตตัปปะที่จะมีกำลังเกิดมากได้อย่างอหิริกะอโนตตัปปะ ก็จะต้องอาศัยการสะสมกุศลจนกว่าสภาพธรรมที่เป็นพละเหล่านี้เป็นพละได้ ศรัทธานิดหน่อยยังไม่เป็นพละ สติเล็กน้อยยังไม่เป็นพละ หิรินิดๆ หน่อยๆ มีบ้าง ไม่มีบ้าง ก็ยังไม่เป็นพละ แต่ว่าด้วยการอบรมเจริญปัญญาที่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง ย่อมทำให้กุศลทั้งหลายเจริญขึ้น และก็ถึงความเป็นพละ คือเป็นสภาพที่มีกำลังได้

    เพราะฉะนั้น หิริ ความละอาย จะเห็นได้จริงๆ ว่า มีกำลังขึ้นได้เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว เพราะว่าสามารถที่จะเห็นลักษณะของอหิริกะซึ่งเป็นธรรมที่ตรงกันข้าม

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    อนึ่ง เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ ว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็นดังนี้... สัญญาเป็นดังนี้... สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้... วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๘ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

    ท่านผู้ฟังพิจารณาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสที่ว่า

    อนึ่ง เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ ว่า รูปเป็นดังนี้

    วันหนึ่งๆ นี่ แค่นี้เองที่ตรัส พิจารณาแล้วหรือยัง รูปเป็นดังนี้ ในขณะนี้เองทางตารูปเป็นดังนี้ ทางหูรูปเป็นดังนี้ ทางกายรูปเป็นดังนี้ พิจารณาแล้วหรือยัง แม้แต่เพียงพยัญชนะที่ตรัสว่า อนึ่ง เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ ว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ ข้อความต่อไป เวทนาเป็นดังนี้

    พิจารณาหรือยัง มีอยู่แล้วทุกขณะ แม้ในขณะนี้ ความรู้สึกดีใจ หรือเสียใจ หรืออทุกขมสุข พิจารณาหรือยัง

    ... สัญญาเป็นดังนี้ ...สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้ ... วิญญาณเป็นดังนี้

    ไม่มีอะไรนอกจากนี้เลย ที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว

    เพื่อนพรหมจรรย์ย่อมสรรเสริญภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า “ท่านผู้มีอายุนี้ อาศัยพระศาสดาหรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ท่านผู้มีอายุผู้นี้ ย่อมรู้สิ่งที่ควรรู้ ย่อมเห็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นแน่แท้ แม้ธรรมข้อนี้ก็เป็นไปเพื่อความรัก ความเคารพ ความสรรเสริญ เพื่อการบำเพ็ญสมณธรรม เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”

    หิริโอตตัปปะ แม้การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เรื่องชีวิตประจำวันทั้งหมด ไม่พิจารณา ก็ไม่เห็นว่ามีความสำคัญอะไร หรือว่าเป็นหิริโอตตัปปะอย่างไร ที่จะเพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้นี้ ลองคิดดูว่าถ้าเป็นอกุศลแล้วก็จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ไหม

    เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอกุศล ก็ไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะอหิริกะอโนตตัปปะ ไม่ละอาย ไม่กลัวอกุศลในขณะนั้นที่ยังคงไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถ้าขณะใดมีการแบ่งพวก มีหิริโอตตัปปะไหม ไม่เสมอกันกับทุกคน แม้เรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน ก็เป็นการชี้ให้เห็นถึงการสะสมของอหิริกะอโนตตัปปะ หรือหิริและโอตตัปปะ ถ้าพิจารณาย่อมจะเห็นธรรมทั้งหมด ตามการสะสมไปทุกๆ ขณะ

    ผู้ฟัง พระผู้มีพระภาคตรัสให้พิจารณาอุปาทานขันธ์ นี้รูป นี้เวทนา นี้สัญญา นี้สังขาร นี้วิญญาณ ทีนี้เวลาเราพิจารณานามรูป สมมติย่อลงมาก็พิจารณานามรูป บางครั้งสติเกิด พิจารณาที่รูปที่นาม แต่บางครั้งสติอาจจะไม่เกิด แต่เป็นวิตกเจตสิก ที่ตรึกไปในนิมิตบ้าง ในอนุพยัญชนะบ้างเลย อยากจะขอเรียนถามว่า เวลาพิจารณาที่นามรูปอย่างไรเป็นสติปัฏฐาน อย่างไรเป็นเพียงวิตกเจตสิกที่ตรึกไปในนิมิต ในอนุพยัญชนะ

    ท่านอาจารย์ ขณะใดที่เป็นสติปัฏฐานขณะนั้น ต้องมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์

    ผู้ฟัง คือ อยากให้ละเอียดกว่านี้

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่เราจะต้องเข้าใจความหมาย หรือสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม แม้ว่าจะใช้ชื่อนี้ตั้งแต่เริ่มศึกษาว่า ปรมัตถธรรมหมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่แม้กระนั้นการที่เคยเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ก็ทำให้ไม่สามารถที่จะเห็นปรมัตถธรรมว่าเป็นปรมัตถธรรมตามความเป็นจริงได้ เช่น ทางตาในขณะนี้ ปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่ไม่ต้องใช้ชื่อ แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่ปรากฏ ที่เกิดขึ้น แล้วแต่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้น ขณะที่สภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมปรากฏ ในขณะนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    ผู้ฟัง ถ้าสมมติว่าเรากำลังระลึกที่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา อุปาทานขันธ์ ทรงแสดงไว้ต่างกันเป็นลักษณะถึง ๑๑ ประการ สมมติว่าถ้าเป็นสติเกิดจริงๆ เราจะเห็นความต่างของลักษณะอย่างนั้นหรือไม่ หรือจะเห็นว่าขณะสติเกิดแล้ว ไม่ว่ารูปธรรมนั้นจะเป็นสีที่ปรากฏทางตา จะเป็นสีอะไรก็ตามก็เป็นปรมัตถธรรมเหมือนกันหมด เวลาสติเกิดก็ไม่เห็นต่างกันเลย อย่างนั้นหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ปรมัตถธรรมแต่ละอย่างที่ปรากฏ เกิดขึ้นปรากฏตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น จะต่างหรือจะเหมือนกัน

    ผู้ฟัง น่าจะต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ต้องต่าง แต่ว่าเป็นปรมัตถธรรม ไม่ว่าจะเป็นเสียงสูง เสียงต่ำ เสียงแหลม เสียงห้าว เสียงเบา เสียงลึก เสียงอย่างไรก็ตาม เวลาที่ปรากฏ ไม่ได้เปลี่ยนสภาพของเสียงซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยนั้นๆ แต่ว่าลักษณะของปรมัตถธรรม ก็คือเป็นสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

    ผู้ฟัง เวลาที่ถ้าเผื่อเห็นผิดไป สำคัญผิดไป ว่าเป็นสติ แต่ว่าเป็นเพียงความนึกคิดในนิมิต อนุพยัญชนะ อันนั้นจะเป็นตัวตน ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะที่ไม่ใช่ปรมัตถอารมณ์ เป็นสติปัฏฐานไม่ได้

    ผู้ฟัง แต่บางครั้งที่วิถีจิตทางมโนทวาร ที่เห็นแล้วก็ยังเป็นปรมัตถอารมณ์อยู่ แต่ว่าตรึกไปในสัณฐานบ้าง

    ท่านอาจารย์ ถ้าตรึกนี่หมายความถึงคิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ขณะนั้นไม่ใช่สติ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ มิได้ ขณะที่ตรึกไปในสังขาร ขณะนั้นคิดหรือเปล่า เห็นแล้วทางตา แล้วทางใจ ตรึกไปในสังขาร หมายความถึงคิดหรือเปล่า หรือไม่ได้คิด

    ผู้ฟัง คิดด้วย

    ท่านอาจารย์ ถ้าคิดในขณะนั้นก็เป็นนามธรรมที่คิด นามธรรมที่คิดเป็นปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น สติระลึกที่สภาพที่คิด

    ผู้ฟัง ที่เป็นนิมิตนี้เป็นอย่างไร เป็นนิมิตที่เป็นนิมิตอนุพยัญชนะ

    ท่านอาจารย์ หมายความถึงเห็นเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ก็ต้องรู้ว่าขณะนั้นเป็นจิตที่นึกถึงรูปร่างสัณฐาน มิฉะนั้นแล้วจะถ่ายถอนความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ออกจากสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้ว่าปรมัตถธรรม คือ สภาพที่เพียงปรากฏทางตาโลกหนึ่ง แล้วทางใจก็คิดนึกสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ เพราะว่าปรมัตถธรรมแล้วไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่ว่าทางใจ เมื่อเห็นแล้วก็ตรึกนึกคิดในสิ่งที่ปรากฏ ในรูปร่างสัณฐาน

    ผู้ฟัง พูดถึงว่าเสียง อาจารย์ก็บอกว่า ไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะเป็นแหลม หรือว่าเสียงสูง เสียงต่ำ ผมก็เลยขอถามไปถึงทางตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาก็ไม่ต้องไปคำนึงว่า หนา บาง กว้าง ยาว ด้วยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง

    ผู้ฟัง ลิ้นก็ไม่ต้องไปคำนึงว่า เผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็ม มัน อะไรก็ไม่ต้องไปคำนึง

    ท่านอาจารย์ คือ เวลานี้สภาพธรรมกำลังปรากฏทางตา ไม่ต้องคิดอะไรเลย เพียงแต่น้อมไปที่จะรู้ว่า สภาพนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ที่ปรากฏ ถ้าโดยการศึกษาก็คือ เมื่อกระทบกับจักขุปสาทจึงปรากฏได้ ถ้ากระทบกับกายปสาทก็ไม่ปรากฏ กระทบกับโสตปสาทก็ไม่ปรากฏ ต่อเมื่อใดสภาพนี้กระทบกับจักขุปสาทจึงปรากฏได้ ก็เป็นของจริงอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นรูปธรรม

    เรื่องการอบรมเจริญปัญญาเป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะว่าบางคนก็รู้สึกว่า อยากจะปฏิบัติเท่านั้น เพียงแต่ว่าอยากจะปฏิบัติอย่างเดียว จะไม่ฟังพระธรรม เพราะคิดว่าเรื่องปฏิบัติเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนการฟังพระธรรมนั้นไม่สำคัญ แต่ถ้าท่านผู้ใดคิดอย่างนี้ ผู้นั้นจะปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะเหตุว่าเมื่อไม่ฟังพระธรรม ก็ย่อมไม่เข้าใจพระธรรม เพราะว่าในขณะนี้คือพระธรรมทั้งหมด ไม่ว่าทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส ทางใจที่คิดนึก ก็เป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังพระธรรมซึ่งเป็นเรื่องของธรรม ก็จะไม่มีความเข้าใจใดๆ พอที่จะสติจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะปฏิบัติโดยที่จะไม่ฟังพระธรรมนี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย และสำหรับการฟังพระธรรมนี้ ก็จะต้องฟังไปจนกระทั่งเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เมื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมถูกต้องแล้ว การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นก็เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามปกติไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องคิดว่าจะปฏิบัติ ใครก็ตามที่เคยตั้งใจ เคยคิด เคยอยากจะปฏิบัติ จะต้องฟังพระธรรมจนกระทั่งเมื่อเข้าใจแล้ว จะไม่ต้องคิดเลยว่าจะปฏิบัติ เพราะเหตุว่าแล้วแต่สติจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เมื่อไร ขณะนั้นสติก็ปฏิบัติกิจของสติ ถ้าขณะที่กำลังอยากจะปฏิบัติ หรือคิดว่าจะปฏิบัติ ต้องฟังพระธรรมจนไม่คิดที่จะปฏิบัติ เพราะว่าถ้าคิดก็ยังเป็นตัวตน ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ในขณะที่คิดนั้นเป็นนามธรรมที่คิด แต่เมื่อสติไม่ระลึก ก็ไม่สามารถที่จะถ่ายถอนความเป็นตัวเราได้ ในขณะที่กำลังคิด แต่เมื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อนั้นก็ไม่ต้องคิดที่จะปฏิบัติ แล้วแต่สติจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมขณะใด ก็ระลึกทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ไปเรื่อยๆ ทุกท่านเป็นอย่างนี้ใช่ไหม แล้วแต่สติจะเกิดขึ้นระลึกลักษณะของสภาพธรรมไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าจะต้องคิดว่าจะปฏิบัติ

    และสำหรับการที่จะดับกิเลสโดยรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประจักษ์ลักษณะของพระนิพพาน ก็เป็นเรื่องที่ไกลมากทีเดียว ซึ่งทุกคนก็คงจะศึกษาและก็เข้าใจได้ว่า ถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแล้ว ไม่มีหนทางที่จะประจักษ์ลักษณะของพระนิพพาน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องการที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท โดยการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไกล แต่ว่าคำนึงถึงเรื่องใกล้ๆ คือ ชีวิตทุกๆ ขณะตามปกติตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ว่าในขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลเพียงไร ขณะนั้นก็จะทำให้สามารถที่จะละคลายอกุศล จนกระทั่งถึงการดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท แต่ถ้าในชีวิตประจำวันไม่เคยสนใจว่าเป็นกุศลมากน้อยเท่าไร เป็นอกุศลมากน้อยเท่าไร ย่อมไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง เมื่อไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ และเรื่องธรรมนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดมากจริงๆ ถ้าไม่พิจารณาโดยละเอียดก็อาจจะคิดว่ารู้จักตัวเองพอสมควร แต่ว่าเมื่อได้ฟังพระธรรมก็จะทำให้เข้าใจขึ้นทุกทีว่า ที่เข้าใจว่ารู้จักตัวเองนั้น รู้จักมากหรือว่ารู้จักน้อยแค่ไหน

    แม้แต่คำว่า “น้ำหนึ่งใจเดียวกัน” ซึ่งเป็นข้อความในพระไตรปิฎก ก็น่าที่จะพิจารณาว่า หมายความถึงขณะไหน สำหรับผู้ที่ฟังพระธรรม แล้วก็น้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อที่จะขจัดกิเลส ขัดเกลากิเลส เพื่อไปสู่ทางเดียวกัน คือ รู้แจ้งอริยสัจจธรรม นั่นเป็นผู้ที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะว่ามีจุดประสงค์อันเดียวกัน ฟังพระธรรมเพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อไปสู่ทางที่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท แต่ถ้าเป็นอกุศล ไม่ใช่น้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพราะเหตุว่านำไปสู่คติต่างๆ ซึ่งไม่นำไปสู่พระนิพพาน

    เพราะฉะนั้น แต่ละท่านซึ่งฟังพระธรรม ก็พอจะพิจารณาขึ้นมาอีกว่า จิตใจของท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือยัง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่น้ำหนึ่งใจเดียวกัน จะถึงไหมพระนิพพาน เพราะว่ายังมีกิเลสอยู่ แล้วก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่ขัดเกลาด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ จึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียด แล้วก็พิจารณาธรรมแม้เพียงข้อธรรมบางประการ ซึ่งอาจจะคิดว่าเล็กน้อย แต่แม้ข้อธรรมเพียงคำว่า “เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” ก็ทำให้ระลึกได้ว่า ในขณะนี้ท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับใครบ้าง หรือว่าสำหรับบางบุคคลยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวไม่ได้ ถ้ายังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวไม่ได้ เป็นความผิดของใคร


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 23
    18 ม.ค. 2565

    ซีดีแนะนำ