แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1939


    ครั้งที่ ๑๙๓๙


    สาระสำคัญ

    วิบากจิตเป็นผลของกรรม

    ประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม

    ปัณณัตติวัชชะ อาบัติที่พระอริยบุคคลต้อง ทรงบัญญัติว่าเป็นโทษ


    ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

    วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๓


    ถ้ายับยั้งจิตเมื่อวานนี้ให้ไม่มีจิตวันนี้เกิดต่อได้ ก็สามารถตายแล้วไม่ต้องเกิด แต่ไม่มีใครยับยั้งได้เลย ในขณะที่กำลังนั่งฟัง มีจิตกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัย ใครจะพยายามหยุดให้จิตที่ดับแล้วไม่ให้มีจิตอื่นเกิดต่อได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะว่า จิตที่เกิดต่อเกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นจุติจิต ก็เป็นของธรรมดา

    เรื่องของกรรม ถ้าเอาชื่อออกก็หมายความว่า กรรมซึ่งสะสมสืบต่ออยู่ในจิต เมื่อพร้อมด้วยปัจจัยที่จะให้ผลทำให้วิบากจิตเกิดเมื่อไร วิบากจิต คือ เห็นในขณะนี้ ก็ต้องเกิด ได้ยินในขณะนี้ก็ต้องเกิด ถ้ามีการกระทบสัมผัสสิ่งที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งในขณะนี้ สภาพของจิตที่รู้เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็งในขณะนี้ก็ต้องเกิด โดยที่ ไม่มีการยับยั้งได้

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้ และรู้เหตุปัจจัยที่ทำให้ เกิดสภาพธรรมในขณะนี้ ก็หมดความสงสัยในเรื่องสมมติบัญญัติ ในเรื่องตายแล้วเกิด เพราะว่ายับยั้งเหตุปัจจัยไม่ได้ แต่สามารถอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของ สภาพธรรมจนดับความสงสัยและความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล จนกระทั่งดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉทเป็นพระอริยบุคคลได้ตามลำดับขั้น

    และเมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์เองก็ไม่สามารถยับยั้งไม่ให้ วิบากจิตเกิด เพราะว่าวิบากจิตเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อบรรลุความเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ยังต้องมีชีวิตต่อไป เพราะว่ามีปัจจัยที่จะทำให้จิตเจตสิกเกิดดับสืบต่อ จนกว่าจะถึงจุติจิตของพระอรหันต์ซึ่งเป็นการปรินิพพาน คือ การดับโดยรอบ ไม่มีการเกิดขึ้นอีกเลย

    ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งนั้น คงไม่มีใครคิดพยายามทำให้จิตขณะต่อไปไม่เกิด ใช่ไหม เกิดแล้วอยู่ตลอดเวลาเพราะเหตุปัจจัย ข้อสำคัญ คือ เมื่อทราบอย่างนี้ จิตที่จะเกิดที่ไม่ใช่วิบากจิต จะเป็นกุศลหรืออกุศล นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะว่าวิบากจิตเป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว แต่เมื่อได้รับผลของกรรม คือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย จิตเป็นกุศลหรืออกุศล ที่จะสะสมสืบต่อไป และเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญาและปัญญาก็มีหลายขั้น ตั้งแต่ขั้นการฟังพระธรรม การพิจารณา การเข้าใจ

    การที่สติสัมปชัญญะจะเกิดพิจารณาสภาพธรรมที่เกิดกับตนถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล มีความเพียร มีความตั้งใจ มีความจริงใจที่จะเจริญกุศล และยังต้องเป็นกุศลประกอบด้วยปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏพร้อมสติสัมปชัญญะทีละเล็กทีละน้อยๆ จนกว่าจะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    นี่เป็นสิ่งซึ่งได้กล่าวถึงอยู่เสมอ เพราะว่ามีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ และถ้ามีพระธรรมที่จะเกื้อกูลให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ก็เป็นประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม ไม่ว่าจะฟังพระธรรมเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น จะเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างเรื่องของปัจจัยต่างๆ หรือจะเป็นเรื่องของกรรม เป็นเรื่องของกุศลจิต อกุศลจิต เป็นเรื่องของอกุศลเจตสิก หรือโสภณเจตสิก ก็ตาม ประโยชน์สูงสุด คือ เพื่อเป็นสังขารขันธ์ให้สติระลึก และรู้ลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    อย่างทางตาขณะนี้ ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งที่มีจริง แน่ๆ ขณะนี้ แต่ขณะใดที่ไม่พิจารณา ไม่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะก็จะไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสีสันต่างๆ ลวงให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็น ภาพลวงตา

    เวลานี้มีแต่สีสันวัณณะต่างๆ ที่กำลังปรากฏ แต่สีสันต่างๆ ขณะนี้เอง เป็นภาพลวงตาที่ทำให้เห็นเป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ ตามการคิดนึก จนกว่าจะ รู้จริงๆ ว่า เป็นความคิดในเรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเพียงปรากฏ หลังจากนั้นแล้ว คิด ภาพลวงตา เกิดจากความคิดทั้งหมด จะเห็นเป็นคนชรา หรือในสมัย พระผู้มีพระภาคก็เห็นเป็นท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระสารีบุตร ความจริงแล้วสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้น จนกว่าจะระลึกบ่อยๆ เนืองๆ และพิจารณาจนกระทั่งชินกับลักษณะของสภาพคิดว่า ทั้งหมดในวันหนึ่งๆ เป็นเรื่องของความคิด

    สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดดับอย่างรวดเร็วมากจนกล่าวได้ว่า เพียงกระทบปรากฏแล้วดับเลย แต่ ภาพลวงตาอยู่นานเพราะจิตเท่านั้นซึ่งนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ ละคลายการไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ความไม่รู้มีมาก ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ว่า ปัญญาจะต้องรู้อะไร และการที่ปัญญาจะรู้อย่างนั้นได้ จะต้อง เกิดจากการฟัง การพิจารณา และการค่อยๆ อบรมอย่างไร

    ถ้าไม่เป็นไปในลักษณะนี้จะทำให้เป็นผู้ที่ยึดถือในศีลวัตร คือ สีลัพพตปรามาส ลูบคลำในข้อปฏิบัติที่ผิด หรือมีความเลื่อมใสในศีล ในวัตร ในกิริยาอาการที่ปรากฏเพียงภายนอก แต่ไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญาให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ เพราะฉะนั้น สีลัพพตปรามาสจะละได้ด้วยการเห็นมรรคและการเห็น พระนิพพาน

    เป็นเรื่องที่ละเอียดมากที่จะดับสีลัพพตปรามาส ด้วยเหตุนี้ที่พึ่งอื่นจึงไม่มี เพราะไม่ทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่สามารถทำให้ดับทุกข์ได้ เป็นสมุจเฉท มีพระรัตนตรัยเท่านั้นที่จะทำให้สามารถเกิดปัญญาค่อยๆ พิจารณา และรู้ความจริงของสภาพธรรมได้

    ข้อความต่อไปตอนหนึ่งมีว่า

    พระโสดาบันไม่ทำกรรมที่ไปสู่อบายแล้ว แม้อย่างนั้นพระโสดาบันผู้ถึงพร้อมด้วยทัสสนะ แม้อยู่ด้วยความประมาท ก็ไม่มีการปกปิดกรรมที่ทำมาแล้ว

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เด็กอ่อนนอนหงายเอามือเอาเท้าเหยียบถ่านไฟ ย่อม หดกลับฉับพลันฉันใด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ถึงแม้ว่าพระโสดาบันต้องอาบัติเห็นปานนี้ การออกจากอาบัติเห็นปานนั้นย่อมปรากฏ ที่นั้นแหละพระโสดาบันย่อมรีบแสดง เปิดเผย ทำให้ง่ายในพระศาสดา หรือในเพื่อนสพรหมจารีผู้เป็นวิญญูชน ครั้นแล้ว ก็สำรวมระวังต่อไป นี้เป็นธรรมดาของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

    อาบัติที่พระอริยบุคคลต้อง คือ สิกขาบทที่ทรงบัญญัติว่าเป็นโทษ เป็นปั ณณัตติวัชชะ ซึ่งไม่ใช่เป็นอกุศลกรรม แต่เป็นการประพฤติปฏิบัติที่ไม่สมควร แม้ไม่ใช่การฆ่าสัตว์ ไม่ใช่การลักทรัพย์ ไม่ใช่การเบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อน แต่เป็นปัณณัตติวัชชะ เป็นสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสำหรับผู้ที่อุปสมบท เพราะฉะนั้น ก็มีสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ที่พระโสดาบันท่านต้องอาบัติบ้าง แต่ไม่ใช่อาบัติที่จะเป็นโทษให้ไปสู่อบายภูมิ และทิฏฐิที่นี่หมายความถึงสัมมาทิฏฐิ เป็นทิฏฐิของพระอริยบุคคลผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจริงๆ

    ข้อความสั้น แต่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการเห็นโทษของตนเอง ซึ่งพระโสดาบันเมื่อท่านได้กระทำผิดแล้ว ท่าน รีบแสดง เปิดเผย ทำให้ง่ายใน พระศาสดา หรือในเพื่อนสพรหมจารีผู้เป็นวิญญูชน

    ถ้าเป็นคนที่ไม่เห็นความสำคัญของการเห็นโทษของตัวเอง อาจจะคิดว่า ทำไมต้องให้คนอื่นรู้โทษที่ได้กระทำแล้ว แต่ความจริงเพื่อจะได้สำรวมระวังต่อไป เพราะว่ากิเลสมีมากมาย ถ้าไม่มีการกระทำอย่างนี้ ประเดี๋ยวก็ล่วงอีกๆ ได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่รู้ตัวเอง มีสติสัมปชัญญะ ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด สติสัมปชัญญะก็สามารถรู้ทันท่วงที ซึ่งบางท่านนานทีเดียวกว่าจะรู้สึกว่าเป็นอกุศลเสียแล้ว แต่บางท่านรู้สึกได้เร็ว และเมื่อรู้สึกแล้วการกระทำก็ยังต่างกัน สำหรับพระโสดาบันทั้งหลาย ย่อมรีบแสดง เปิดเผย ทำให้ง่าย ครั้นแล้วก็สำรวมระวังต่อไป แต่ถ้าตนเองไม่เห็นว่าเป็นโทษ ก็ไม่มีการขัดเกลา ไม่มีการละคลาย นี่เป็นความสำคัญที่สุด ที่ทุกท่านมีพระธรรมเป็นสรณะ ก็เพื่อจะได้เห็นโทษ เห็นกิเลสของตนเอง เพราะว่าคนอื่นจะชี้โทษให้ได้ไหม ไม่มีใครทราบ ท่านผู้ใดได้กระทำกรรมที่ไม่ดี อย่างไรบ้าง มีอกุศลจิตอย่างไรบ้าง แต่พระธรรมที่ได้รับฟังทุกวันๆ แสดงความละเอียดของสภาพจิต และชี้ให้เห็นว่า อกุศลเป็นโทษอย่างไร กุศลต่างกับอกุศลอย่างไร และอกุศลมีมากมายโดยละเอียดเป็นประเภทๆ อย่างไร เพราะถ้าไม่ทรงแสดงให้ละเอียดซึ่งเป็นชีวิตประจำวันจริงๆ บางท่านแม้เป็นอกุศลจิตหรือแม้ทำอกุศลกรรมก็ไม่รู้ว่าเป็นอกุศลจิต เป็นอกุศลกรรม แต่อยากจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    นี่เป็นสิ่งซึ่งจะต้องพิจารณาละเอียดจริงๆ อยากจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม อยากจะเป็นพระโสดาบัน อยากจะหมดกิเลส ก็ต้องรู้ว่า พระโสดาบันท่านเป็นผู้ที่ ถึงพร้อมด้วยสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูกในกุศลและอกุศลของตนเอง มิฉะนั้น ท่านจะขัดเกลาความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม หรือความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ในอกุศลทั้งหลายไม่ได้

    เพราะฉะนั้น พระโสดาบันทั้งหลาย ท่านเห็นโทษของตนเองฉันใด ผู้ที่ใคร่จะดับกิเลส ต้องการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบัน ก็ต้องเริ่มที่จะเห็นโทษ ของตนเองก่อน เช่นเดียวท่านเหล่านั้นเหมือนกัน

    ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงคุณของปริยัตติธรรม ซึ่งพระอริยสาวกทั้งหลายอาศัยแล้วจึงถึงความเป็นสังฆรัตนะเมื่อบรรลุโลกุตตรธรรม และต่อจากนั้นทรงแสดงคุณของโลกุตตรธรรม คือ พระนิพพาน

    ทุกท่านที่จะเกิดปัญญา จะเห็นได้ว่า ปัญญาทั้งหมดที่เกิดนั้นต้องมาจาก ปริยัตติธรรม พระอริยสาวกทั้งหลายอาศัยแล้วจึงถึงความเป็นสังฆรัตนะ จะไม่มีใคร สักคนหนึ่งซึ่งกล่าวว่า ปัญญาที่ได้มา ที่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมนั้น ไม่ได้เกิดจากการฟังพระธรรม ไม่สามารถกล่าวอย่างนี้ได้

    เพราะฉะนั้น ทุกท่านเกิดมาแล้ว และเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันแต่ละวัน ก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยต่างๆ กัน ขอให้สังเกตชีวิตที่เหมือนอยู่ไป วันหนึ่งๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น

    เหตุการณ์เมื่อวานนี้ ผ่านไปแล้ว และเหตุการณ์วันนี้ก็ไม่เหมือนเมื่อวานนี้ และกำลังจะหมดสิ้นไปอีก และพรุ่งนี้ก็เป็นเหตุการณ์ใหม่อีก เป็นเรื่องใหม่อีก ผู้ที่เห็นคุณของพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ย่อมไม่ขาดการฟังพระธรรมซึ่งเป็นปริยัตติธรรม มิฉะนั้นแล้ว ชีวิตวันหนึ่งๆ ก็อยู่ไปๆ โดยไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ข้อสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ฟังพระธรรมและศึกษาพระธรรม คือ ต้องรู้ว่า เพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติตามเท่าที่สามารถจะกระทำได้ อย่าเป็นผู้ที่เพียงฟัง คงจะต้องกล่าวถึงบ่อยๆ ว่า ขออย่าได้เป็นผู้ที่เพียงฟัง แต่ต้องฟังเพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติตาม จึงชื่อว่าเป็นผู้ที่เคารพในพระธรรมจริงๆ ถ้าฟังแล้วไม่เชื่อ ไม่ปฏิบัติตาม ไม่เห็นว่าเป็นประโยชน์ ย่อมไม่ชื่อว่าเป็นผู้ที่เคารพในพระธรรม

    เพราะฉะนั้น เมื่อได้กล่าวถึงพระรัตนตรัยแล้ว ก็ควรที่จะได้พิจารณาถึง ไม่ควรประมาทในการมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะจริงๆ คือ ต้องพิจารณาว่า มีความนอบน้อมในพระรัตนตรัยจริงๆ หรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ในยุคนี้ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม จะมีสมมติสงฆ์เป็นสรณะ แต่ตามความเป็นจริงสังฆรัตนะไม่ใช่สมมติสงฆ์ แต่เป็นปรมัตถสงฆ์ คือ เป็นพระอริยบุคคลผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมแล้ว ถ้าไม่สามารถรู้ว่า ใครเป็นพระอริยบุคคลที่เป็นสังฆรัตนะ ที่เป็นสรณะ ก็มีหนทางเดียว คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมก่อน โดยไม่เลือกว่าฟังจากใคร ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเถระ แม้เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นชาย เป็นหญิง ผู้ที่เคารพ ในธรรม ฟังพระธรรม ไม่ใช่กำลังฟังเด็ก ไม่ใช่กำลังฟังผู้ใหญ่ ไม่ใช่กำลังฟังผู้ชาย ไม่ใช่กำลังฟังผู้หญิง แต่เป็นผู้ที่มีความเคารพนอบน้อมในพระธรรม จึงฟังพระธรรม

    ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ จะทำให้มีความเข้าใจในธรรมที่ได้ฟัง เพราะไม่ได้เลือก หรือคิดว่าต้องฟังแต่ท่านผู้นั้น หรือท่านผู้นี้ แต่ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม ก็ยังไม่พ้นจากสีลัพพตปรามาส คือ ยึดถือศีลบ้าง ยึดถือความประพฤติทางกายที่ปรากฏบ้าง และเข้าใจว่าบุคคลนั้นเป็นสรณะ เพราะว่าไม่ได้ศึกษาพระธรรม จึงไม่มีพระรัตนตรัย เป็นสรณะจริงๆ

    ถ. เรื่องการฟังธรรม ต้องเลือกฟังที่ถูกต้อง สงสัยว่า จะเลือกได้อย่างไร เพราะก่อนนี้เราก็ไม่รู้จักว่าธรรมคืออะไร พระท่านเทศน์ ต้องฟังลูกเดียว บางรูป ก็เทศน์อย่างนั้น บางรูปก็เทศน์อย่างนี้ บางทีก็ขัดกัน เราจะทำอย่างไร

    สุ. สภาพธรรมปรากฏจริงๆ และพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะตรัสรู้แค่ศีล ๕ หรือความประพฤติเบื้องต้นที่ดีงาม แต่ทรงตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง และทรงแสดงหนทางที่จะดับกิเลส แม้แต่คำที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เช่น คำว่า รูปธรรม นามธรรม อนัตตา สังขารไม่เที่ยง เกิดดับ ถ้ามีคำที่ทำให้เข้าใจขึ้น นั่นเป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แต่ถ้าไม่สามารถทำให้เกิดปัญญาเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ตามความเป็นจริง ก็ไม่ใช่พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง โดยเฉพาะในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติที่จะอบรมเจริญปัญญา เป็นเรื่องละเอียด

    ถ. ตรงนี้เป็นเรื่องละเอียด รู้สึกหนักใจว่า จะเลือกฟังจากตรงไหน

    สุ. ฟังเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ให้เข้าใจขึ้น

    มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านไปสู่สำนักที่มีการปฏิบัติที่มีการอบรมเข้ม ช่วงระยะเวลา ๑๕ วัน เมื่อท่านกลับมาก็บอกว่าได้ประโยชน์ ก็เรียนถามท่านถึงผล ที่ได้จากการไปปฏิบัติเข้ม ท่านก็บอกว่า ท่านถามผู้ที่มีความรู้ในพระอภิธรรม ท่าน ผู้นั้นก็บอกว่า ถูกแล้ว แต่ไม่ใช่ปัญญาของผู้ที่ไปเข้าการอบรมเข้มเลย ต้องถาม บุคคลอื่น มีบุคคลอื่นอ้างอิงว่าถูกแล้ว แต่ท่านผู้นั้นจะรู้ได้อย่างไรว่า ถูกผิดอย่างไร ในเมื่อไม่ใช่ความเข้าใจของท่านเอง ไม่ใช่เป็นปัญญาของท่านเอง



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๙๔ ตอนที่ ๑๙๓๑ – ๑๙๔๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 133
    28 ธ.ค. 2564