แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1796


    ครั้งที่ ๑๗๙๖


    สาระสำคัญ

    วิถีจิตแรกเป็นมโนทวารวิถี โลภมูลจิตเกิดขึ้นยินดีพอใจในภพ

    อายุของรูป รูปเกิดดับ ๑๗ ขณะของจิต

    ความสัมพันธ์ของนามธรรม และรูปธรรม ภูมิที่มีขันธ์ ๕


    ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

    วันอาทิตย์ที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๑


    ถ. คนเจ็บหนัก เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า จิตของเขาขึ้นสู่วิถีทางมโนทวารหรือเปล่า

    สุ. ทางกายทวาร เราก็ไม่สามารถจะรู้ได้

    ถ. ทางกายทวารคงไม่มีแน่ เพราะไม่มีความรู้สึก

    สุ. ใครรู้ว่า เขาไม่มีความรู้สึก ตราบใดที่มีกายปสาท มีโผฏฐัพพะกระทบ ก็เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นรู้โผฏฐัพพะ เย็น ร้อน อ่อน แข็งทางกายที่กำลังกระทบ

    ถ. คนที่เป็นอัมพาตทั้งตัว หยิกก็ไม่เจ็บ เข็มแทงก็ไม่เจ็บ

    สุ. ทุกส่วนหรือ กายปสาทนี่ซึมซาบอยู่ทั่วตัว ถ้าอย่างนั้นคนนั้นต้องไม่เจ็บ ถ้าไม่มีกายปสาทรูป ไม่เจ็บ แต่ถ้าเจ็บ หมายความว่ามีกายปสาทรูป

    . สรุปได้เพียงว่า ถ้าหากจิตไม่ขึ้นสู่วิถีทางปัญจทวาร ทางมโนทวาร จิตนั้นก็เป็นภวังคจิต

    สุ. ไม่อยากให้ใช้สำนวนเก่าที่ว่า ขึ้นสู่วิถี เพราะอาจจะทำให้นึกถึงภาพ ขึ้นๆ ลงๆ เข้าๆ ออกๆ ซึ่งความจริงจิตเป็นนามธรรม ไม่มีขึ้น ไม่มีลง ไม่มีเข้า ไม่มีออก ให้ใช้คำว่า ขณะใดที่เป็นภวังค์ และขณะใดที่เป็นวิถีจิต

    สำหรับจุดประสงค์ในวันนี้ ขอเพียงให้ท่านผู้ฟังเข้าใจปฏิสนธิจิตและปฏิสนธิกิจ ซึ่งเป็นกิจที่ ๑ และภวังคกิจ เป็นกิจที่ ๒

    กิจทั้งหมดของจิตมี ๑๔ กิจ ไม่มากเลย แต่จิตมีจำนวนถึง ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภท เพราะฉะนั้น จะต้องทราบว่า จิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภทนั้นที่เกิดขึ้น จะต้องทำกิจหนึ่งกิจใดใน ๑๔ กิจ ค่อยๆ เข้าใจไปทีละกิจ

    สำหรับวันนี้เป็นปฏิสนธิกิจ และภวังคกิจ และเริ่มที่จะเข้าใจเรื่องของทวาร คือ ทางที่จิตจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่นที่ไม่ใช่อารมณ์เดียวกับภวังคจิต เพราะว่าในขณะที่ เป็นภวังค์ อารมณ์ไม่ปรากฏ แต่กรรมไม่ได้ทำให้จิตปฏิสนธิแล้วเป็นภวังค์อยู่เรื่อยๆ กรรมจะทำให้จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่างๆ เป็นผลของกุศลกรรมบ้าง เป็นผลของอกุศลกรรมบ้าง แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงอารมณ์อื่นๆ ทางทวารอื่นๆ ควรที่จะได้ทราบว่า ขณะใดที่เป็นภวังคจิต ขณะนั้นไม่ต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวาร เพราะว่าขณะนั้นไม่ได้รู้อารมณ์อื่น เพียงแต่เป็นจิตที่เป็นภวังค์ มีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ไม่ปรากฏ

    . เริ่มต้นตั้งแต่ปฏิสนธิจิต ชั่วขณะนิดเดียวก็เป็นภวังคจิต ภวังคจิตก็ยังไม่มีอารมณ์ และ ...

    สุ. ขอประทานโทษ ภวังคจิตต้องรู้อารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต ยังไม่เปลี่ยนอารมณ์

    . จะเริ่มเปลี่ยนอารมณ์เมื่อไร ตอนออกจากครรภ์มารดา หรือยังอยู่ ในครรภ์มารดา

    สุ. ในครรภ์มารดาก็เปลี่ยนอารมณ์ได้ เพราะว่าจิตทุกขณะเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น ยังไม่ทันที่จะมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น แม้ว่าขณะนั้นมีกายปสาทรูป เพราะว่ากายปสาทรูปเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต

    ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิดจะมีกลุ่มของรูป ๓ กลุ่มเกิดพร้อมกับปฏิสนธิ กลุ่มหนึ่ง คือ หทยวัตถุ เรียกว่า หทยทสกะ มีรูปรวมกัน ๑๐ รูป เป็นที่เกิดของปฏิสนธิจิต เพราะว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ต้องมีรูปเป็นที่เกิดของจิต ๑ กลุ่ม และมีภาวทสกะ กลุ่มของรูปที่เป็นเพศหญิงหรือเพศชาย ๑ กลุ่ม และมีกายทสกะ ซึ่งมีกายปสาทรูปเกิด แต่แม้กระนั้นความรวดเร็วของการเกิดดับของจิตซึ่งจากปฏิสนธิและก็เป็นภวังค์ๆ วิถีจิตแรกเป็นมโนทวารวิถี ซึ่งโลภมูลจิตจะเกิดขึ้นยินดีพอใจ ในภพในภูมิที่กำลังเป็นอยู่ ตามการสะสม

    . โลภมูลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

    สุ. โลภมูลจิตมีอารมณ์อื่นจากปฏิสนธิและภวังค์ เพราะฉะนั้น จึงยินดีพอใจในภพชาติที่กำลังเป็นอยู่

    . ยินดีพอใจโดยไม่รู้ตัวเลยหรือ ตอนนั้นยังไม่คลอดจากครรภ์มารดา

    สุ. ความยินดีพอใจเกิดรวดเร็วตามการสะสม ชั่วระยะสั้นๆ จะรู้ตัวไหม ถ้าไม่ใช่เป็นวาระนานๆ ที่เรารู้สึกว่าเราเป็นสุขมากๆ จิตต้องเกิดหลายวาระ หลายวิถีจิต ถ้าเพียงวาระเดียวซึ่งมีวิถีจิตหลายๆ วิถี แต่เป็นวาระเดียวเท่านั้น ก็เร็วมากทีเดียว เพราะขณะนี้ที่กำลังเห็น จักขุทวารวิถีจิต อย่างที่ได้เคยกล่าวถึงแล้วว่า รูปมีอายุ ๑๗ ขณะ และที่เป็นวิถีจิตก็เริ่มตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนจิต จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต พวกนี้เป็นวิถีจิตทั้งหมด เพราะว่า ไม่ใช่ภวังค์ และกำลังรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางตา ชวนจิตที่เป็นโลภมูลจิตเกิดยินดีพอใจ ในขณะที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ดับ ชวนวิถีจิตที่เป็นโลภะเกิดดับ ๗ ขณะ รูปก็ยังไม่ดับ หลังจากนั้นตทาลัมพนจิตก็เกิด ๒ ขณะ

    ในขณะที่เป็นจักขุทวารวิถีจิต ซึ่งกำลังมีรูปที่มีอายุ ๑๗ ขณะจิต ยังไม่ดับ เป็นขณะที่สั้นมาก สั้นจนไม่ทราบว่าจะเปรียบเทียบอย่างไรดี เพราะในขณะนี้ที่รู้สึกว่า เหมือนคนกำลังเคลื่อนไหว นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า วิถีจิตทางตาเกิดและดับไป และภวังคจิตก็เกิดต่อ และวิถีจิตทางใจก็เกิดรับรู้หลายวาระ จึงจะมีการเห็นสิ่งที่ปรากฏซึ่งดับไปอย่างรวดเร็วสืบต่อจนกระทั่งทำให้ดูเสมือนว่า เป็นคนที่กำลังเคลื่อนไหว

    เพราะฉะนั้น เพียงชั่ววาระแรกที่เป็นมโนทวารวิถีเกิดขึ้น สั้นมากเกินกว่า ที่จะรู้สึกตัวได้ แต่ก็เป็นความยินดีพอใจที่เกิดขึ้น ยินดีพอใจในภพในชาติ

    . ขณะอยู่ในครรภ์มารดาก็กระทบทางกายได้ ใช่ไหม

    สุ. ได้ แต่ทีหลัง จะไม่มีการเกิดที่รวดเร็วเท่ากับการสะสมความยินดีพอใจในภพชาติ ซึ่งหลังจากปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตดับไปแล้ว มโนทวารวิถีจิต ก็เกิดขึ้นยินดีพอใจในภพชาติที่เกิด

    . เรียนถามอาจารย์เรื่องวิถีจิต เราทราบว่ารูปนั้นเกิดดับ ๑๗ ขณะของจิต เรานับการเกิดดับของรูปที่การรับรู้ของจิต ใช่ไหม

    สุ. ไม่ใช่

    . รูปเกิดดับ ๑๗ ขณะของจิตจริงๆ

    สุ. รูปเป็นสังขารธรรม เป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นแล้วต้องดับไป รูปมีอายุที่สั้นมาก แต่ถึงแม้ว่ารูปจะมีอายุที่สั้นสักเท่าไรก็ตาม รูปก็ยังอายุยืนยาวมากกว่าจิต เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่ารูปหนึ่งที่เกิดขึ้นจะดับเมื่อไร ไม่มีอะไรที่จะวัดได้เลย นอกจากเอาอายุการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งจึงจะดับไป ไม่ว่ารูปนั้น จิตจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม จะเกิดอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ รูปใดก็ตามที่เกิดที่จะรู้ว่ารูปนั้นดับ ก็ต่อเมื่อเทียบกับการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ เท่านั้นเอง

    . ถ้าเราเห็นรูปพร้อมกับการเกิดของรูป ก็นับไปตั้งแต่อตีตภวังค์ จนกระทั่งถึงตทาลัมพนจิต วิถีจิตก็ดับลงพอดี

    สุ. รูปใดก็ตามที่เกิดก่อนอตีตภวังค์ หรือรูปใดก็ตามที่เกิดหลังจาก อตีตภวังค์ เพราะบางรูปเกิดตรงชวนจิตก็ได้ ตรงไหนก็ได้ แต่หมายความว่า รูปดับเร็วแค่ไหน คือ รูปดับเร็วเท่ากับการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งที่เกิด จึงจะดับ

    . วิถีจิตดับลง ก็ไม่จำเป็นว่ารูปต้องดับลงพร้อมกัน

    สุ. รูปไหนก็นับไปว่า จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ นั้นจึงดับ

    สำหรับในวันนี้ จะขอกล่าวถึงความสัมพันธ์ของนามธรรมและรูปธรรมในภูมิ ที่มีขันธ์ ๕ เพราะว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นั้น นามธรรมและรูปธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นไป แต่ทั้งๆ ที่นามธรรมและรูปธรรมอาศัยกันและกัน แต่ขณะใดก็ตามที่จิตไม่มีรูปหนึ่งรูปใดปรากฏเป็นอารมณ์ ขณะนั้นก็เสมือนกับว่ารูปที่เกิดขึ้นและดับไปนั้น ไม่มีความหมาย ไม่มีความสำคัญอะไรเลย

    เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้ทราบความสัมพันธ์ของจิต เจตสิก และรูปในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ตั้งแต่ปฏิสนธิ เพื่อที่จะได้เห็นว่า ขณะใดเป็นขณะที่รูปปรากฏ และขณะใดแม้มีรูปเกิดดับก็จริง แต่เมื่อรูปนั้นไม่ปรากฏ ก็เหมือนกับว่าไม่มีความสำคัญอะไร

    รูปทั้งภายในและภายนอกร่างกายในขณะนี้ ทุกรูปอาศัยสมุฏฐานเกิดขึ้น และดับไป โดยที่มีอายุเพียง ๑๗ ขณะจิตเท่านั้น บางคนก็สงสัยว่า เฉพาะรูปภายในเท่านั้นหรือที่มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แต่ความจริงไม่ว่าจะเป็นรูปภายใน หรือรูปภายนอกก็ตาม จะเกิดจากสมุฏฐานใดๆ ก็ตาม คือ จะเกิดจากกรรม เป็นสมุฏฐาน หรือเกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน หรือเกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐาน หรือ เกิดจากอาหารเป็นสมุฏฐาน รูปที่เกิดขึ้นที่เป็นสภาวรูปจะต้องมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะเท่านั้น

    ใครจะรู้ หรือใครจะไม่รู้ก็ตาม จะอยู่ที่ไหนไกลแสนไกลอย่างไรก็ตาม รูปที่เกิดขึ้นก็ต้องมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะเท่านั้น

    และสำหรับการเปลี่ยนภพชาติ จากอดีตชาติมาเป็นปัจจุบันชาติก็ดี หรือ จากปัจจุบันชาติเป็นชาติหน้าก็ดี เป็นไปโดยไม่รู้ตัวเลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สำหรับวิบากจิตซึ่งเป็นจิตที่เป็นผลของกรรม แม้เกิดขึ้นกระทำกิจการงานต่างๆ ก็ไม่สามารถรู้ได้ เช่น ปฏิสนธิจิต เป็นต้น

    ก่อนจุติจากชาติก่อน แต่ละท่านเป็นใคร อยู่ที่ไหน ไม่มีใครสามารถทราบได้ อาจจะเป็นสัตว์ดิรัจฉานอยู่ในมหาสมุทร มีรูปร่างที่เล็กที่สุด แต่ปัจจุบันชาตินี้ ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งในโลก หรือชาติก่อนอาจจะเกิดในนรก ได้รับความทรมานมากมาย เมื่อจุติจิตจากชาติก่อนก็ปฏิสนธิเป็นคนหนึ่งในโลกมนุษย์ หรือชาติก่อนอาจจะเป็นเปรตที่มีความทุกข์ทรมานแสนสาหัสด้วยความหิว แต่ขณะนี้ก็เป็นมนุษย์ที่จำไม่ได้ถึงความหิวกระหายในชาติก่อนที่เกิดเป็นเปรต และจากเปรตสู่ความเป็นมนุษย์ จากดิรัจฉานสู่ความเป็นมนุษย์ จากอสุรกายสู่ความเป็นมนุษย์ จากความ เป็นเทวดาชั้นหนึ่งชั้นใดสู่ความเป็นมนุษย์ หรือจากความเป็นรูปพรหมในชาติก่อน สู่ความเป็นมนุษย์ในชาตินี้ หรืออาจจะถึงความเป็นอรูปพรหมในอรูปภูมิในชาติก่อน มาเป็นมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงจากชาติก่อนสู่ชาตินี้ จะไม่รู้สึกตัวเลย

    นั่นคือจิตที่เป็นวิบาก ซึ่งถ้าได้พิจารณาเรื่องของวิบากจิต โดยการศึกษาปรมัตถธรรม โดยการศึกษาเรื่องของจิตโดยละเอียด จะเห็นได้ว่า มีจิตมากมายหลายประเภท ที่เป็นวิบากจิตก็มีหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่แล้วจิตที่เป็นวิบากนั้น ไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น ในขณะที่เปลี่ยนจากชาติก่อนมาเป็นชาตินี้ แม้จุติจิตของ ชาติก่อนเกิดแล้วดับก็ไม่รู้ตัว และเมื่อปฏิสนธิจิตในชาตินี้เกิดขึ้นแล้วดับก็ไม่รู้ตัว

    ก่อนตายชาติก่อนอาจจะประสบอุบัติเหตุก็ได้ ใช่ไหม ไม่มีใครรู้เลยว่า จากชาติก่อนโดยสภาพใด เป็นโรคเจ็บป่วยประเภทไหน มีความทุกข์ทรมาน หรือ มีความสุขสำราญอย่างไร และการจะจากโลกนี้ไปสู่ชาติหน้าก็เช่นเดียวกัน คือ อาจจะเป็นขณะไหนได้ทั้งสิ้น ขณะที่กำลังได้ยินได้ฟังพระธรรมในขณะนี้และจุติจิต ก็เกิด และก็จากความเป็นบุคคลนี้ไป แล้วแต่ว่าจะไปเป็นสัตว์เล็กๆ หรือจะ เป็นเปรตอีก เป็นอสุรกายอีก เป็นเทวดาอีก เกิดในนรกอีกก็ได้ทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ควรที่จะทราบว่า สำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นมีรูปซึ่งเกิดจากกรรมในครรภ์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็มีรูป ๓ กลุ่มเล็กๆ ได้แก่ กลุ่มของรูปที่เป็นที่เกิดของจิต ๑ กลุ่ม คือ หทยทสกะ กลุ่มของรูปที่เป็น เพศหญิงหรือเพศชาย ๑ กลุ่ม คือ ภาวทสกะ และกลุ่มของปสาทรูปที่เป็นกายทสกะอีก ๑ กลุ่ม ขณะนั้นนามธรรมและรูปธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

    นี่คือการที่จะเข้าใจเรื่องของนามธรรมและรูปธรรมโดยละเอียด เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิ เพื่อจะได้เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วที่เรามีความยินดีพอใจในรูปบ้าง ในเสียงบ้าง ในกลิ่นบ้าง ในรสบ้าง ในโผฏฐัพพะบ้างนั้น เป็นชั่วขณะเวลาที่เล็กน้อยมาก แม้ว่ามีรูปเกิดร่วมด้วย แต่ขณะใดที่รูปนั้นไม่ปรากฏ ไม่ได้ยึดถือผูกพันในรูปนั้นเลยว่า เป็นร่างกายของเรา แม้แต่กลุ่มของรูป ๓ กลุ่ม หรือ ๓ กลาปเล็กๆ ๓ กลุ่มนั้น ในขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดมีรูป ๓ กลุ่มนี้เกิดร่วมด้วย ก็ไม่มีการยึดถือในรูป ๓ กลุ่มนั้นว่าเป็นเรา และรูป ๓ กลุ่มนั้นก็มีอายุเพียงแค่ ๑๗ ขณะของจิตและดับไป เพราะฉะนั้น มีความสำคัญอะไรระหว่างปฏิสนธิจิตกับรูปเล็กๆ ๓ กลุ่มนั้น

    ในรูปเล็กๆ ๓ กลุ่ม เฉพาะหทยรูปรูปเดียวเป็นที่เกิดของจิต เพราะว่าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นามธรรมที่เกิดขึ้นจะต้องเกิดที่รูป

    เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนามธรรมและรูปธรรมในขณะที่เกิด คือ รูปแม้ว่าจะเป็นกัมมชรูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรม แต่ถ้าปฏิสนธิจิตไม่เกิดก็เกิดไม่ได้ กัมมชรูปเกิดพร้อมกับจิตและเจตสิกในขณะนั้น แต่แม้มีรูป ๓ กลุ่ม เฉพาะรูปที่เป็นหทยวัตถุรูปเดียวเท่านั้นที่เป็นที่เกิดของจิต และหทยรูปนี้ก็มีอายุ ๑๗ ขณะของจิต และดับไป แต่ปฏิสนธิจิตนั้นดับเร็วกว่า ปฏิสนธิจิตเมื่อเกิดขึ้น ก่อนที่รูปจะดับ ปฏิสนธิจิตนั้นก็ดับแล้ว ในขณะนั้นรูปเป็นที่เกิดของจิตเพียงรูปเดียว

    สำหรับภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตจะเกิดนอกรูปไม่ได้เลย และส่วนใหญ่จิตจะเกิดที่รูป ซึ่งชื่อว่า หทยรูป แม้ในขณะนี้เอง เว้นจิต ๑๐ ดวง คือ เว้นจิตเห็น จักขุวิญญาณ ๒ ดวง เว้นโสตวิญญาณ จิตได้ยิน ๒ ดวง เว้นฆานวิญญาณ จิตได้กลิ่น ๒ ดวง เว้นชิวหาวิญญาณ จิตลิ้มรส ๒ ดวง เว้นกายวิญญาณ จิตรู้โผฏฐัพพะ ๒ ดวง ขณะนี้เว้นจิต ๑๐ ดวงนี้ จิตกำลังเกิดดับอยู่ที่หทยรูป แต่ไม่มีใครรู้ เพราะว่า รูปก็เป็นรูป นามก็เป็นนาม แม้ว่านามจะเกิดดับ รูปจะเกิดดับ แต่ขณะใดที่ไม่เป็นอารมณ์ของจิต ขณะนั้นก็จะไม่มีการยึดถือรูปใดๆ ว่า เป็นเรา หรือเป็นร่างกาย ของเราเลย



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๘๐ ตอนที่ ๑๗๙๑ – ๑๘๐๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 96
    28 ธ.ค. 2564