แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1759


    ครั้งที่ ๑๗๕๙


    สาระสำคัญ

    การศึกษาพระธรรมต้องตามลำดับขั้น

    ศึกษาปรมัตถธรรม คือ ศึกษาสภาพธรรมที่มีจริง

    ปัญญาพิจารณาลักษณะสภาพธรรมแต่ละอย่าง


    ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๓๑


    . สังขารเป็นเพียงแต่ชื่อ

    สุ. ไม่มีลักษณะหรือ มีแต่ชื่อว่าจิตหรือ

    . จิตมี

    สุ. จิตเป็นสังขารธรรม เพราะว่าจิตเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป

    . สังขารอย่างหนึ่ง จิตอย่างหนึ่ง ไม่ใช่อย่างนั้น ใช่ไหม

    สุ. สังขารธรรม หมายถึงธรรมทั้งหลายซึ่งเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยปรุงแต่ง และดับ ปรมัตถธรรมที่เป็นสังขารธรรม ได้แก่ จิต เจตสิก รูป

    จิตมีจริงๆ จิตเป็นสังขารธรรม เจตสิกมีจริงๆ เจตสิกเป็นสังขารธรรม รูปมีจริงๆ รูปเป็นสังขารธรรม ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มีหรือสิ่งที่ไม่จริง พูดถึงสิ่งที่มี และแสดงสภาพลักษณะของธรรมนั้นๆ ว่า ธรรมประเภทใดเป็นสังขารธรรม ธรรมประเภทใดไม่ใช่สังขารธรรม

    คู่มือการศึกษาพระอภิธรรม คือ ปรมัตถธรรมสังเขป จิตตสังเขป และภาคผนวก ได้พิมพ์เสร็จแล้ว สำหรับท่านที่สนใจคงจะต้องอ่านช้าๆ ให้เข้าใจจริงๆ เพราะการศึกษาพระไตรปิฎก ถ้าไม่มีพื้นฐานขั้นต้นที่มั่นคง ศึกษาไปอาจจะเบื่อ ที่เป็นเรื่องละเอียดมาก หรือมีสิ่งที่จะต้องเข้าใจมาก บางคนก็คิดว่า ทำไมละเอียดอย่างนี้ หรือต้องเข้าใจอย่างนี้ แต่ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะเห็นคุณค่า เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด เนื่องจากกิเลสมากมายเหลือเกิน และการที่จะละคลายกิเลสก็แสนที่จะยาก ไม่ใช่เป็นไปได้โดยรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้น ต้องมีวิริยอุตสาหะจริงๆ ที่จะต้องเข้าใจพระธรรมตั้งแต่ขั้นต้น ไม่ใช่ข้ามขั้นไปเรียนเรื่องอื่นก่อน จะข้ามการเข้าใจพระธรรมไปตามลำดับไม่ได้เลย คือ จะต้องเข้าใจเรื่องของปรมัตถธรรม

    สำหรับท่านที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ ก็ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ พิจารณา และถ้า ท่านมีมิตรสหายที่จะสนทนาธรรม ก็อาจจะใช้หนังสือเล่มนี้เป็นคู่มือในการสนทนาได้ เช่น คำถามทบทวนต่างๆ ก็ช่วยกันตอบ หรือตอบโดยนัยต่างๆ หรือตรวจสอบดูว่า มีความเข้าใจในสิ่งที่อ่านตรงกันหรือเปล่า ถูกต้องหรือเปล่า

    ก็ขออนุโมทนากุศลศรัทธาของท่านผู้ฟังทุกท่าน ที่ร่วมกันบริจาคค่าพิมพ์หนังสือเล่มนี้

    . ปรมัตถธรรมหมายถึงสภาพที่คงที่ ใช่ไหม

    สุ. ปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริง แม้ว่าจะไม่ใช้ชื่อใดๆ เรียกเลย ก็ตาม เช่น เห็น ไม่ต้องเรียกชื่อ ไม่ต้องบอกว่านี่คือเห็น แต่ก็กำลังเห็นในขณะที่ จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น

    ขณะที่ได้ยินเสียง ไม่ต้องเรียกอะไรทั้งหมด ปรมัตถธรรมคือสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังได้ยินเสียงในขณะนั้น โดยไม่ต้องใช้ชื่อใดๆ

    . คำว่า คงที่ ฟังดูแล้วเหมือนเที่ยง ที่ผมถามนี่เกี่ยวเนื่องอะไรกับอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน

    สุ. เสียงเที่ยงไหม

    . เสียงไม่เที่ยง

    สุ. การเกิดขึ้นและดับไปเป็นสุขหรือเป็นทุกข์

    . เป็นทุกข์

    สุ. และบังคับได้ไหม

    . ไม่ได้

    สุ. นั่นคืออนัตตา

    . และที่ว่า คงที่ ในความหมายของปรมัตถธรรมคงที่อย่างไร

    สุ. อะไรคงที่

    . คือ สภาพที่ไม่เปลี่ยนแปลง จิต เจตสิก

    สุ. อะไรไม่เปลี่ยนแปลง

    . คงที่ เช่น เสียงก็อย่างหนึ่ง ทางตาก็อย่างหนึ่ง ความหมายอย่างนั้น หรือเปล่า

    สุ. ไม่มีคำว่า คงที่ สภาพธรรมอย่างใดเกิดขึ้นมีลักษณะอย่างใด ก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ นั่นเป็นวิเสสลักษณะของสภาพธรรมนั้น แต่สภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นต้องดับไป นี่เป็นสามัญญลักษณะของสภาพธรรมนั้น

    ก่อนที่การเจริญปัญญาจะสมบูรณ์ถึงขั้นเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นได้ ชีวิตวันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปตามกรรม และสภาพธรรมที่ปรุงแต่งให้สังขารธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ก็เกิดขึ้นเป็นไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ถ้าทุกคนมีความมั่นคง ในเรื่องของกรรม ในเรื่องของสภาพธรรมที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ชีวิตดำเนินไป ในแต่ละวัน ซึ่งมีทั้งสุขบ้าง ทุกข์บ้าง บางครั้งตื่นเต้นดีใจ บางครั้งเสียใจ ตกใจ สมหวัง ผิดหวัง มีทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย มีทั้งเรื่องเกิด เรื่องแก่ เรื่องเจ็บ เรื่องตาย ก่อนที่สติปัญญาแต่ละวันๆ จะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมโดยลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งๆ ไม่ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างไร สติปัฏฐานและปัญญาก็ต้องระลึกศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ

    เช่น ในขณะที่ได้ข่าวการสิ้นชีวิตอย่างกะทันหันของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานในขณะที่กำลังได้ยินเรื่องนั้น สติปัฏฐานก็สามารถเกิดขึ้น ไม่ใช่เฉพาะในขณะที่ได้ยินได้ฟังเรื่องนั้น เพราะว่าเป็นผู้ที่มีปกติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตาม สติระลึกลักษณะของเสียง ก็ได้ ระลึกลักษณะของเสียงขณะใด ขณะนั้นก็รู้ในสภาพที่ไม่ใช่นามธรรม เพราะว่า มีลักษณะของเสียงปรากฏเป็นเสียง

    ในขณะนี้เสียงที่กล่าวว่าเป็นรูปธรรม ก็เพราะว่ามีลักษณะของเสียงปรากฏนามธรรมเป็นสภาพรู้ ไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้น ไม่มีลักษณะของเสียง ไม่มีลักษณะของกลิ่น ในขณะที่นามธรรมเกิดขึ้น แต่ว่านามธรรมเป็นสภาพที่รู้เสียง

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เองมีเสียงซึ่งเป็นรูปธรรม และสติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของเสียงซึ่งเกิดปรากฏแล้วหมดไป สภาพของเสียงก็คือเท่านั้นเอง มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เสียงเกิดขึ้นและดับไป ในขณะนั้นสติปัฏฐานอาจจะระลึกลักษณะของได้ยิน เพราะในขณะที่เสียงปรากฏต้องมีสภาพรู้เสียง มีลักษณะที่รู้เสียง ในขณะที่ระลึกลักษณะของได้ยินซึ่งเป็นอาการรู้ เป็นลักษณะรู้ ในขณะนั้นก็ เป็นการระลึกถึงลักษณะของวิญญาณขันธ์

    แสดงให้เห็นว่า สติปัฏฐานจะระลึกลักษณะของขันธ์หนึ่งขันธ์ใดใน ๕ ขันธ์ ซึ่งชินหู คำว่า รูปขันธ์ ก็ไม่ใช่อื่นไปจากในขณะที่เสียงปรากฏและสติระลึก ขณะที่ได้ยิน กำลังรู้เสียง ขณะนั้นกำลังระลึกลักษณะของได้ยิน ขณะนั้นก็เป็นวิญญาณขันธ์

    ไม่ใช่เพียงแต่คล่องเรื่องชื่อ แต่ต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นขันธ์จริงๆ ในขณะที่สภาพธรรมนั้นๆ ปรากฏ

    และสำหรับวิญญาณขันธ์ มีตั้งแต่เกิดจนตาย สภาพรู้ ธาตุรู้ อาการรู้ เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีจิตซึ่งเป็นวิญญาณขันธ์จนกระทั่งถึงขณะสุดท้ายที่จุติจิตเกิด และดับไปสำหรับชาติหนึ่ง เพราะฉะนั้น สภาพรู้ ธาตุรู้ มีอยู่จนชิน ความชินทำให้ ไม่รู้ว่าในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้ก็เป็นสภาพรู้ หรือในขณะที่เสียงกำลังปรากฏ ได้ยินในขณะนี้ก็เป็นสภาพรู้นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานจึงเป็นการระลึกถึงสภาพธรรมที่เป็นจริง มีจริง เป็นปกติในชีวิตประจำวัน จะกว่าปัญญาจะเจริญขึ้นเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น

    เรื่องของรูปขันธ์ก็มีปรากฏให้สติระลึก เรื่องของวิญญาณขันธ์ก็มีปรากฏให้สติระลึกได้ ในขณะที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งปรากฏทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ถ้าไม่ระลึกรู้ลักษณะของเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ก็ดับกิเลสไม่ได้

    เพราะฉะนั้น สำหรับบางท่าน สติปัฏฐานก็ระลึกรู้ลักษณะของความรู้สึก ไม่ว่าในขณะนั้นจะเป็นการเห็นอะไร ได้ยินได้ฟังเรื่องอะไร จะสุข จะทุกข์ จะดีใจ จะเสียใจ ลักษณะของสภาพความรู้สึกในขณะนั้นเป็นอย่างไร สติปัฏฐานก็สามารถระลึกรู้ได้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ความเสียใจก็เป็นสภาพความรู้สึก ที่ไม่สบายใจอย่างหนึ่ง ตรงกันข้ามกับความดีใจซึ่งเป็นความรู้สึกสบายใจนั่นเองเพราะฉะนั้น สติปัฏฐานระลึกลักษณะของความรู้สึกขณะใด ขณะนั้นก็เป็นเวทนาขันธ์นั่นเอง

    สำหรับลักษณะของสัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ เป็นเรื่องที่ต้องระลึกต่อไปอีก จะหยุด จะไม่ระลึก เป็นไปไม่ได้ที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า ในขณะที่จำเรื่องราวต่างๆ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ชั่วขณะที่จำได้ขณะนั้นก็เป็นสัญญาขันธ์ หรือได้แก่ สัญญาเจตสิกนั่นเอง

    เคยระลึกบ้างไหม ความต่างกันของสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ ถ้าไม่ได้ฟังและไม่ได้กล่าวถึงสภาพธรรมในชีวิตประจำวันบ่อยๆ ก็ไม่มีเครื่องที่จะทำให้พิจารณาระลึกได้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นขันธ์ ๕ ซึ่งจะต้องแยก แม้ในขณะนี้ เพื่อที่สติจะได้ระลึกและศึกษาจนกระทั่งรู้ชัดขึ้น

    นามขันธ์ทั้ง ๔ ต้องเกิดร่วมกัน คือ ทั้งเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ นามขันธ์ทั้ง ๔ ไม่แยกกันเลยในขณะนี้ และสติปัฏฐานต้องระลึกลักษณะของนามขันธ์ทั้ง ๔ เพื่อละคลายความเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เอง การที่จะรู้ว่าลักษณะอย่างใดเป็นสัญญาเจตสิก เป็นสัญญาขันธ์ และลักษณะอย่างใดเป็นเจตสิกอื่นๆ ซึ่งเป็นสังขารขันธ์ จะต้องเริ่มสังเกตรู้ลักษณะของสัญญาอย่างหยาบๆ ไปก่อน เช่น รู้ว่าขณะใดที่ไม่ลืม ขณะนั้นคือจำ

    นี่กำลังมีสัญญาขันธ์ ขณะใดที่ไม่ลืมขณะนั้นคือจำ ขณะนี้ทางตาที่รู้ว่า เห็นสิ่งใด ขณะนั้นคือจำ รู้ไหมว่าขณะนี้เห็นอะไร ถ้ารู้ว่าเห็นอะไร ขณะนั้นคือจำ จึงรู้ว่าเห็นอะไร และขณะได้ยินเสียงเป็นเรื่องราวของบุคคลนั้นบุคคลนี้ ในขณะที่ รู้เรื่องราวนั้นในขณะนั้นก็คือจำ ถ้าไม่จำจะรู้เรื่องได้ไหม เสียงผ่านไปทีละคำๆ จะไม่เป็นเรื่องเลยถ้าจำไม่ได้ แต่นี่เพราะจำ ในขณะที่ได้ยินเสียงจึงได้รู้ว่าเรื่องอะไร นี่คือลักษณะของสัญญาเจตสิกซึ่งเป็นสัญญาขันธ์

    ขณะที่ได้กลิ่นและรู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร ขณะนั้นก็คือจำ ขณะที่รู้นั้นคือขณะที่จำ ขณะที่ลิ้มรสและรู้ว่าเป็นรสอะไร วันนี้รับประทานอาหารอะไรบ้าง วันนี้รับประทานผลไม้อะไรบ้าง ที่ตอบว่ารับประทานมะม่วง หรือรับประทานองุ่น หรือรับประทานเงาะ นั่นคือจำรสที่ปรากฏ ถ้าไม่จำจะไม่รู้เลยว่าขณะนั้นเป็นรสอะไร

    เพราะฉะนั้น ในขณะใดที่จำ ต่อไปนี้ก็ระลึกได้เลยว่า ขณะที่จำนี่เองเป็นสัญญาขันธ์ หรือสัญญาเจตสิก ขณะที่กระทบสัมผัสและรู้ว่ากระทบสัมผัสอะไร ขณะนั้นก็จำเหมือนกัน เช่น กระทบสัมผัสก็รู้แล้วว่าสัมผัสอะไรทั้งๆ ที่แข็ง ที่จำลักษณะที่แข็งเป็นสัญญาอย่างหนึ่งอย่างใด คือ รู้ว่ากระทบสัมผัสอะไร ขณะนั้นก็เป็นสัญญาเจตสิกที่เป็นสัญญาขันธ์นั่นเอง

    นี่เป็นสิ่งที่สติจะต้องระลึก เพื่อเห็นสภาพที่ไม่ใช่เราในขณะที่จำ

    ส่วนสังขารขันธ์ คือ สภาพธรรมที่ปรุงแต่งหลังจากที่จำรู้ว่าเป็นอะไรแล้ว ขณะนี้เห็นแมวตัวหนึ่ง เป็นสัญญาหรือเปล่าที่รู้ว่าเป็นแมว เป็น รู้สึกอย่างไรกับ แมวตัวนั้น สวย ชอบ น่ารัก นั่นคือสังขารขันธ์ แต่บางคนไม่ชอบแมว สังขารขันธ์ ก็ปรุงแต่งให้ไม่น่ารัก หรือน่ารังเกียจก็แล้วแต่ แมวตัวนั้นอาจจะผอมหรือพิกลพิการต่างๆ เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นแล้วจำว่าเป็นสิ่งใด แต่สังขารขันธ์ปรุงแต่งเป็นความชอบ ความไม่ชอบ เป็นความรัก เป็นความชัง เป็นความเมตตาหรือความกรุณา เป็นความอาฆาตพยาบาท เป็นความคิดดีหรือคิดร้ายในสิ่งที่ปรากฏซึ่งสัญญากำลังจำ

    นี่คือความต่างกันของสัญญาขันธ์และสังขารขันธ์ ซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ปัญญาไม่พิจารณาลักษณะสภาพธรรมแต่ละอย่าง ไม่มีทางที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมในขณะที่จำ ในขณะที่ปรุงแต่งเป็นรักบ้าง ชังบ้าง คิดดี คิดร้ายบ้างว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างนั่นเอง

    ในชีวิตประจำวันของยุคนี้สมัยนี้ทุกคนก็ดูโทรทัศน์ เวลาที่ดูโทรทัศน์จำใคร ในโทรทัศน์ นั่นคือ สัญญาขันธ์ รู้เรื่องเพราะว่ามีทั้งภาพและเสียง ชอบหรือไม่ชอบ ในขณะนั้น มีความห่วงใย กังวล ตื่นเต้น ตกใจอะไรบ้างจากเห็นและได้ยินเรื่องราวในโทรทัศน์ นั่นคือสังขารขันธ์กำลังปรุงแต่งพร้อมกับสัญญาที่กำลังจำ ซึ่งจะต้อง แยกสังเกตรู้ จนกว่าจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

    นั่นคือช่วงเวลาพักผ่อนยามว่างขณะที่ดูโทรทัศน์ นอกจากนั้นคือขณะที่ ทำธุรกิจการงานต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องของสัญญาจำทั้งนั้น ตั้งแต่จำว่าไปไหน นั่งที่ไหน โต๊ะไหน พูดกับใคร เรื่องอะไร ปากกา ดินสอ สมุดอยู่ที่ไหน โทรศัพท์ วันนี้มี แขกมาก ยุ่งมาก เรื่องมาก ติดต่อมาก ต้องเดินทาง ต้องคิดตัวเลข หรืออะไรต่างๆ ทั้งหมด ขณะที่จำคือเห็นแล้วรู้ และสังขารขันธ์ก็ปรุงแต่งเป็นเรื่องราวเป็นความคิดตามธุรกิจการงานของแต่ละคน

    นี่คือชีวิตในวันหนึ่งๆ ที่ทุกขณะจะไม่พ้นจากขันธ์ ๕ ตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งกว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นและสังเกตพิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทุกคนจะเห็นได้ว่า ชีวิตชาติหนึ่งๆ มากหรือน้อย สำหรับการที่จะอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น เพราะว่าวันหนึ่งๆ เต็มไปด้วยความวุ่นวายของธุรกิจการงานต่างๆ และยังมีการการรื่นเริง การขวนขวายเพลิดเพลินพักผ่อนต่างๆ การที่จะสนุกสนานโดยวิธีฟังเพลงบ้าง หรือวาดภาพ ต่างๆ บ้าง หรือซื้อของบ้าง ปรุงอาหารบ้าง ปลูกต้นไม้บ้าง เพราะฉะนั้น ชีวิตของชาติหนึ่งซึ่งปัญญาจะเจริญขึ้น ที่จะอบรมเจริญความเห็นถูกในลักษณะของ สภาพธรรมจะมากหรือจะน้อย เพราะบางชีวิตก็สั้นมาก บางชีวิตก็อาจจะยืนยาวพอสมควร แต่ก็เป็นชีวิตที่ไร้สาระ เพราะไม่ได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ กำลังปรากฏ

    แต่ละคนจะต้องจากโลกนี้ไป หมดสภาพความเป็นบุคคลนี้ สะสมกุศลบ้างอกุศลบ้างมากน้อยต่างกันไป และสิ่งที่แน่นอนที่สุด คือ ต้องจากเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆ ของโลกนี้โดยสิ้นเชิงในวันหนึ่ง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรจะติดตัวไปก็ ควรจะเป็นการเจริญกุศล และการเข้าใจสภาพธรรมเพิ่มขึ้นโดยการฟัง การพิจารณา และการอบรมเจริญสติปัฏฐาน

    บางท่านสะสมสมบัติไว้มากมาย เช่น มีความพอใจที่จะสะสมภาพเขียนต่างๆ แต่ว่ารูปทั้งหลายไม่ใช่สภาพรู้ รูปทั้งหลายไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของ จะมีความหวงแหนรักษาสมบัตินั้นเพียงใด รูปธรรมก็เกิดขึ้นและดับไปๆ โดยไม่มีใครเป็นเจ้าของ แม้ว่าใครจะคิดว่าเป็นเจ้าของสมบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม แต่ตามความ เป็นจริงแล้วรูปก็เกิดดับ แม้ว่าเจ้าของจะจากไปหรือไม่จากไป รูปก็เกิดขึ้นและดับไปๆ โดยที่ว่าใครจะหลงคิดว่าเป็นเจ้าของรูปหนึ่งรูปใด ก็เป็นแต่เพียงการยึดถือ ไม่ว่าจะเป็นรูปภายนอก เช่น สมบัติต่างๆ หรือรูปร่างกายซึ่งทุกคนยึดครองว่าเป็นของเรา รูปก็ไม่ใช่สภาพรู้ รูปเพียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไปเท่านั้นเอง



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๗๖ ตอนที่ ๑๗๕๑ – ๑๗๖๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 96
    28 ธ.ค. 2564