จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 127


    เมล็ดข้าวสุกเมล็ดหนึ่งๆ ของท่าน อันภิกษุรูปหนึ่งๆ ผู้เลิศด้วยคุณสมบัติอันใด รับไปแล้ว ท่านชื่อว่าสร้างสมบุญไว้มากเพราะภิกษุผู้เลิศด้วยคุณสมบัติอันนั้น สวรรค์เป็นอันท่านปรารภไว้แล้ว

    ลำดับนั้น มหาอำมาตย์ผู้เริ่มเลื่อมใสนั้นได้ทราบว่า เป็นลาภของตน ตนได้ดีแล้ว บุญมากอันตนสร้างสมไว้แล้ว สวรรค์อันตนปรารภไว้แล้ว ก็ร่าเริง ดีใจ ลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ กลับไป

    เพราะฉะนั้น เวลาที่จะทำกุศลแต่ละครั้ง และมีปัจจัยให้เกิดความกังวล แม้ในเรื่องของกุศลนั้นๆ ก็ควรทราบว่า กุศลที่ได้ทำแล้วมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เพราะว่าสามารถกระทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ แม้จะมีอกุศลเกิดคั่นบ้าง แทรกบ้าง แต่เมื่อเทียบกับกุศลแล้ว กุศลย่อมมีมากกว่า แม้แต่ข้าวสุกเมล็ดหนึ่งๆ ที่ถวาย ก็เป็นปัจจัยทำให้ได้รับผลมาก

    . เรื่องกล่าวโทษหรือพูดพาดพิงถึงบุคคลอื่น กระผมรู้สึกว่าตนเองเป็นบ่อย และเสียใจอยู่บ่อยๆ แต่ก็อดไม่ได้ คือ มักจะพูดพาดพิงถึงบุคคลอื่นว่า คนนั้นควรจะเป็นอย่างนี้ คนนี้ควรจะเป็นอย่างนั้น สาเหตุหนึ่งก็เพราะว่า กระผมเองฟังอาจารย์ รู้สึกว่ายากจริงๆ กว่าจะเข้าใจ และเมื่อเข้าใจแล้วรู้สึกว่ามีประโยชน์จริงๆ จึงอยากให้คนอื่นซึ่งเขายังหลง ยังเข้าใจผิดอยู่ ได้เข้าใจบ้าง ความในใจมีอยู่แค่นี้ แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรกันได้ ก็มักจะพูดพาดพิงถึงเขาอยู่บ่อยๆ ซึ่งเป็นอกุศลอยู่เรื่อยๆ ผมเห็นโทษว่าเป็นของไม่ดี ฉะนั้น มีวิธีการอย่างไรที่จะขจัดปัดเป่าความคิดเช่นนี้ให้เบาบางลงไปบ้าง

    ท่านอาจารย์ ทางเดียว คือ สติเกิดขึ้นพิจารณาลักษณะสภาพของจิตในขณะนั้น แต่การพูดถึงบุคคลอื่น ไม่จำเป็นต้องเป็นอกุศลเสมอไป พูดถึงเพื่อหาทางเกื้อกูลบุคคลนั้นก็ได้ แต่ถ้ามุ่งที่จะติเตียนอย่างเดียว ขณะนั้นก็เป็นอกุศล

    ถ้าพูดถึงอกุศลของใครแม้ของตนเองเพื่อที่จะให้ระลึกได้ และหาทางเกื้อกูลบุคคลอื่น หรือแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น ย่อมเป็นกุศล ไม่ใช่ว่าการพูดถึงบุคคลอื่นต้องเป็นอกุศลเสมอไป แล้วแต่จิตในขณะนั้น

    ผู้ฟัง พระไตรปิฎก อภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๓๖ แสดงไว้ว่า ถ้าเราติบุคคลที่ควรติ สรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญ พระพุทธเจ้าบอกว่าทำได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าติบุคคลที่ควรติด้วยกุศลจิตเพื่อที่จะให้เขารู้ว่า สิ่งที่เขาทำนั้น ไม่ถูกต้อง ขณะนั้นควรติ ด้วยกุศลจิตที่ต้องการให้เขารู้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ถ้าจะติ ก็ควรติด้วยจิตที่เป็นกุศล และเพื่อให้เขาเข้าใจธรรมได้ดีขึ้น

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุด ต้องเป็นผู้ตรง เพราะว่าแต่ละคนอาจจะไม่เห็นอกุศลของตนเอง แต่เห็นอกุศลของคนอื่นง่ายกว่า เพราะฉะนั้น การเป็นผู้ตรง คือ ไม่ว่าจะเป็นเราหรือเป็นเขา อกุศลต้องเป็นอกุศล ถ้าเขาฟังเรื่องของอกุศลธรรมและพิจารณารู้ว่า แม้เขาเองก็มีอกุศลธรรมนั้น เขาก็ควรที่จะระลึกได้ว่า เขาควรจะแก้ไข ไม่ใช่ว่า ไม่ควรพูดเลย แต่ควรเป็นไปในทางสร้างสรรค์ หรือในทางที่ทำให้เกิดกุศล เกื้อกูลให้เขารู้จักตนเองเพื่อจะได้แก้ไข

    ข้อที่ควรพิจารณา คือ ปลิโพธ หรือความกังวลต่างๆ ไม่ใช่กุกกุจจะ แต่เป็นลักษณะของโทสมูลจิต

    กุกกุจจะ คือ ความเดือดร้อนใจในอกุศลที่ได้กระทำแล้ว หรือในกุศลที่ยังไม่ได้กระทำ แต่ถ้าจะกระทำกุศลและกังวลเรื่องของกุศล ขณะนั้นเป็นสภาพลักษณะของ โทสมูลจิต ไม่ใช่กุกกุจจะ

    มโนรถปูรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต มีข้อความว่า

    ความเดือดร้อนใจของบุคคลผู้มีความดีอันตนมิได้กระทำแล้ว และความชั่วอันตนกระทำแล้ว เพราะความเดือดร้อนนั้น ชื่อว่ากุกกุจจะ

    เพราะฉะนั้น เมื่อคิดจะทำบุญ ไม่ใช่ไม่ทำ แต่อดกังวลใจไม่ได้ ขณะที่กังวลใจเป็นโทสมูลจิต ซึ่งไม่ได้ประกอบด้วยกุกกุจจะ

    สำหรับปลิโพธ ๑๐ คือ ความกังวล ๑๐ ซึ่งไม่ใช่กุกกุจจะ คือ

    ๑. อาวาสปลิโพธ ความกังวลในที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะซ่อมแซมบ้าน หรือทำความสะอาดบ้านต่างๆ ขณะนั้นเป็นลักษณะของโทสมูลจิต ถ้าเป็นความรู้สึก ไม่สบายใจ

    ๒. กุลปลิโพธ ความกังวลในเรื่องของวงศ์ตระกูล ขณะนั้นก็ไม่ใช่กุกกุจจะ

    ๓. ลาภปลิโพธ ความกังวลในลาภ คือ ปัจจัย ๔ ก็ไม่ใช่กุกกุจจะ

    ๔. คณปลิโพธ ความกังวลในหมู่คณะ ในพวก ที่ศึกษาร่วมกัน ในการเรียน ในการสอน เป็นต้น ก็ไม่ใช่กุกกุจจะ

    ๕. กรรมปลิโพธ ความกังวลในการงาน ทุกคนที่ทำงานก็ย่อมห่วงกังวลว่า อะไรทำแล้ว อะไรยังไม่ได้ทำ ซึ่งจะต้องรู้ว่า อะไรต้องทำก่อน อะไรต้องทำหลัง และต้องบอกคนอื่นว่าอย่างไร ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่กุกกุจจะ

    ๖. อัทธานปลิโพธ ความกังวลในการเดินทางไกล ซึ่งชื่อว่าจิตคิดจะไป ย่อมบรรเทาได้ยาก นี่เป็นความกังวลในชีวิตของแต่ละบุคคล ถ้าพิจารณาดูชีวิตของเด็กๆ จนกระทั่งคนที่สูงอายุ อาจมีความคิดที่จะออกจากบ้านโดยเหตุหนึ่งเหตุใด ก็ตาม สำหรับปัญหาของเด็กๆ ถ้าเป็นครอบครัวซึ่งอาจจะไม่มีแม่ หรือมีความยุ่งยากลำบากในบ้าน ก็ย่อมคิดจะออกจากบ้านบ่อยๆ นั่นก็เป็นการเดินทางไกล ได้เหมือนกัน หรือผู้ที่สูงอายุมีปัญหาในเรื่องของบ้าน ก็อาจคิดที่จะออกจากบ้านหรือเดินทางไกลไป นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ใช่กุกกุจจะ

    ๗. ญาติปลิโพธ ความกังวลเกี่ยวกับญาติ เช่น อาจมีญาติป่วยไข้ที่จะต้องดูแลรักษา หรือหน้าที่ของบุตรก็จะต้องปรนนิบัติรับใช้มารดาบิดา ทำทุกสิ่งทุกประการที่ท่านต้องการ แม้ว่ามารดาบิดาจะตั้งอยู่ในฐานะแห่งความเป็นพระราชา ถ้ามารดาบิดายังปรารถนาการบำรุงจากบุตร บุตรก็ควรทำ หรือในเรื่องของ วงศาคณาญาติที่จะต้องเกื้อกูลกันในเรื่องเงินทองทรัพย์สมบัติต่างๆ ก็จะต้องเกื้อกูลโดยการให้ยืม ซึ่งข้อความที่ควรจะเกื้อกูลญาติที่แสดงไว้ คือ ถ้าภายหลังได้คืน ก็พึงรับ แต่ถ้าไม่ได้คืน ก็ไม่พึงทวง นี่เป็นสิ่งที่จะต้องเกื้อกูลญาติ

    ๘. อาพาธปลิโพธ ความกังวลในเรื่องของโรคภัย ซึ่งไม่ใช่กุกกุจจะ แต่เป็น โทสมูลจิต บางคนก็กังวลล่วงหน้าว่า พรุ่งนี้จะนอนไม่หลับ หรือว่าคืนนี้จะนอน ไม่หลับ จะต้องเดินทาง ถ้านอนไม่หลับร่างกายคงจะอ่อนเพลีย หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความกังวล ซึ่งเป็นอาพาธปลิโพธ

    ถ้าไม่หลับ ก็เจริญสติปัฏฐาน เป็นผู้ตื่นด้วยปัญญา อย่างที่ข้อความบางตอนแสดงว่า แม้ว่าเลือดเนื้อกระดูกจะเหือดแห้งไป ก็ควรสะสมอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรม นั่นเป็นสิ่งที่ควรกระทำ แต่ที่ทำไม่ได้ก็เพราะหลับ ถ้าไม่หลับก็ทำ เพราะฉะนั้น ไม่น่าวิตกกังวลเลย แต่ก็ยังมีอาพาธปลิโพธ กังวลแม้แต่ในการนอน ไม่หลับ และกังวลล่วงหน้าด้วย ซึ่งขณะนั้นไม่ใช่กุกกุจจะ แต่เป็นโทสมูลจิต

    ๙. คันถปลิโพธ กังวลในการศึกษาปริยัติ ซึ่งบางคนถามว่า ศึกษาเท่าไรจึงจะเริ่มเจริญสติปัฏฐานได้ คือ คิดว่าเท่าที่ได้รับฟังเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังไม่พอ จะต้องศึกษาให้จบปริจเฉทต่างๆ หรือคัมภีร์ต่างๆ ก่อน นี่เป็นคันถปลิโพธ คือ เป็นความกังวลซึ่งกั้นปัญญาที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏและศึกษาจนกว่าจะรู้ ไม่ต้องรออะไรเลย ไม่ต้องกังวลอะไรเลย แต่แม้กระนั้นความกังวลในสิ่งต่างๆ แม้แต่ในเรื่องของการศึกษาก็ยังมีได้ ทำให้กั้นการเจริญสติปัฏฐาน เพราะเข้าใจผิดว่า จะต้องจบถึงปริจเฉทสูงๆ หรือต้องศึกษาคัมภีร์ต่างๆ ให้จบก่อนซึ่งความจริงไม่ใช่อย่างนั้น

    การศึกษาทั้งหมด เพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพื่อ สติระลึกและปัญญาน้อมศึกษาจนกว่าจะรู้ชัดจริงๆ ตามธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เพราะว่าธรรมทั้งหมดไม่พ้น สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพียงระลึก อย่างนี้จะทำให้ศึกษาว่า ทางตาที่กำลังเห็นเป็นอนัตตาอย่างไร และการศึกษาคัมภีร์ต่างๆ ก็เพื่อให้เข้าใจจริงๆ ว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอนัตตาอย่างไร

    ๑๐. อิทธิปลิโพธ เป็นความกังวลในการเจริญอิทธิต่างๆ ซึ่งอิทธิปลิโพธ อย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นเครื่องกั้นการเจริญวิปัสสนา แต่ปลิโพธอื่น ๙ อย่างนั้น เป็นเครื่องกั้นการเจริญสมถะ

    ทั้งหมดที่เป็นไปในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอกุศลประเภทใดก็ตาม ทั้ง โลภมูลจิต โทสมูลจิต ซึ่งเกิดร่วมกับอกุศลเจตสิกทั้งหลายนั้น เพราะความไม่รู้ เป็นเหตุทำให้สงสัยว่า ธรรมใดเป็นเหตุ ธรรมใดเป็นผล แม้ในการที่จะทำกุศล ก็เป็นไปด้วยความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่เพียงแต่อกุศลเท่านั้นที่เกิดขึ้นเพราะมีอวิชชาหรือความไม่รู้เป็นปัจจัย แต่กุศลใดๆ ที่ทำ ผู้ที่ได้ฟังเรื่องของ สติปัฏฐานย่อมรู้ว่า แม้กุศลนั้นๆ ก็ย่อมกระทำโดยที่ยังไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    เช่น การให้ทาน การรักษาศีล ไม่ใช่ว่าในขณะนั้นจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงในความเป็นอนัตตา หรือรู้เหตุรู้ผลของกุศลนั้นๆ เช่น มหาอำมาตย์ผู้เริ่มเลื่อมใส แม้ได้ทำกุศลแล้วก็ยังเกิดความสงสัยว่า กุศลที่ทำนั้นจะให้ผลเป็นกุศลหรือไม่ เพราะว่าท่านทำไปด้วยความโกรธในขณะที่ใส่อาหารในบาตร และได้กล่าววาจาที่ไม่สมควร

    เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ จะเห็นอวิชชาหรือความไม่รู้ซึ่งเป็นเหตุของอกุศลในวันหนึ่งๆ ได้ เช่น บางคนอาจจะรู้สึกไม่สบายใจ หรือเจ็บช้ำน้ำใจ เมื่อเห็นคนอื่นไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่มีเมตตา เป็นไปได้ไหม

    คือ ในเรื่องของการกุศลมีหลายอย่าง เวลาที่เห็นคนอื่นทำกุศลก็ดีใจอนุโมทนาด้วย เป็นกุศลในขณะนั้น แต่เวลาที่เห็นอกุศลของคนอื่น เช่น ความไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การไม่สงเคราะห์คนอื่น หรือแม้การไม่ปฏิสันถาร ก็มีความรู้สึกเจ็บหรือว่าช้ำใจ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่อกุศลของตนเอง เป็นอกุศลของคนอื่น แต่ทำไมมีความรู้สึกอย่างนั้น เป็นการขาดการระลึกรู้ลักษณะสภาพจิตจึงไม่รู้ว่า แม้ในขณะนั้นก็เป็นอกุศล

    ผู้ที่ปกติมีเมตตา มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีปกติปฏิสันถาร ลองคิดถึงจิตใจของคนนั้นว่า เวลาที่เห็นคนอื่นไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ปฏิสันถาร ขณะนั้นใจของคนที่ปกติ มีเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จะรู้สึกอย่างไร

    บางคนก็ดี คือ ไม่หวั่นไหว แต่บางคนรู้สึกเหมือนกับเจ็บหรือช้ำใจที่ทำไม คนอื่นไม่สามารถจะเมตตา หรือไม่สามารถเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือไม่สามารถปฏิสันถารได้ ขณะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มีสติระลึกรู้ลักษณะสภาพของจิตที่กำลังรู้สึกเหมือนเจ็บหรือ ช้ำใจจะรู้ได้ว่า เป็นเพราะอวิชชา ความไม่รู้ของตนเองว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลอย่าง บางเบาแล้ว ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครเลยทั้งกาย วาจา เพียงแต่เกิดความรู้สึกเจ็บหรือช้ำใจ ไม่สบายใจที่เห็นคนอื่นเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงและละเอียดที่จะรู้ว่า ขณะนั้นขาดปัญญาที่รู้กัมมัสสกตา คือ ทุกคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนสะสมมาต่างกันจริงๆ บางคนไม่มีปฏิสันถารเพราะสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น ถ้าพิจารณาอย่างนั้น สติเกิดอย่างนั้น ระลึกได้อย่างนั้น รู้ในเรื่องกรรมอย่างนั้น ในเรื่องการสะสมอย่างนั้น ขณะนั้นจะบรรเทาความรู้สึกเจ็บหรือช้ำใจ แต่ถ้าระลึกไม่ได้ เมื่อเห็นความไม่เอื้อเฟื้อ ความไม่เมตตาของคนอื่น อกุศลที่สะสมมาย่อมทำให้มีความรู้สึกไม่สบายใจได้

    และเมื่อพิจารณาแล้วย่อมเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นอกุศลประเภทไหนก็ตามที่เกิดขึ้น ย่อมเกิดจากอวิชชาทั้งสิ้น

    บางคนได้รับการขอร้องจากคนอื่นให้ทำกิจธุระเล็กๆ น้อยๆ ก็มีเมตตาทำให้ แต่คนอื่นที่เห็นบอกว่า ทำไมต้องทำให้ ให้เขาทำเอง

    อโยนิโสมนสิการ กับโยนิโสมนสิการ ย่อมต่างกัน ใช่ไหม ผู้ที่มีโยนิโสมนสิการย่อมพร้อมที่จะช่วยคนอื่นได้บ่อยๆ เนืองๆ เป็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องปกติที่จะสงเคราะห์คนอื่น เพราะคนอื่นอาจจะมีธุระมาก ตนเองมีเวลาพอ แต่ถ้าเป็น อโยนิโสมนสิการ ทำไมไม่ให้เขาทำเอง ถ้าเขาต้องการจริงๆ เขาต้องทำได้ ทำไมต้องรอคนอื่นทำให้ เป็นการแสดงให้เห็นว่า กาย วาจา ที่แต่ละคนทำ หรือกล่าว หรือคิด ย่อมเป็นไปตามโยนิโสมนสิการ หรืออโยนิโสมนสิการ

    ตอนที่ไปเชียงใหม่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีผู้ถามว่า รู้สึกอย่างไรกับพระภิกษุที่ท่านใบ้หวย ถ้าเป็นโยนิโสมนสิการจริงๆ ทุกคนที่ไม่รู้ย่อมทำไปตามความไม่รู้ ถ้ารู้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรย่อมไม่ทำ แต่สิ่งใดที่ไม่ควรและทำก็เพราะว่าคนนั้นไม่รู้ เมื่อ เป็นผู้ที่ไม่รู้ก็ทำสิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่ควรเดือดร้อนกับความไม่รู้ที่ทำให้คนนั้นทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับโยนิโสมนสิการและอโยนิโสมนสิการ

    ไม่ว่าจะเห็นสิ่งใด หรือได้ยินสิ่งใดก็ตาม พิจารณาจิตว่า ขณะนั้นเป็น โยนิโสมนสิการหรือเปล่า พิจารณาด้วยความแยบคายจริงๆ ที่จะมีความเข้าใจ มีความเห็นใจ มีความคิดที่เป็นกุศลที่จะเกื้อกูลแทนที่จะเห็นแต่ความผิดว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ หรือไม่เหมาะสม เพราะว่าทุกคนย่อมกระทำสิ่งที่ไม่ควรและ ไม่เหมาะสมเพราะอวิชชาทั้งนั้น ถ้าเป็นวิชชาจะไม่ทำอย่างนั้นเลย เมื่อเป็นอวิชชาย่อมทำทุกอย่างที่ไม่ถูก เพราะฉะนั้น ทางแก้ คือ ควรให้ทุกคนเกิดวิชชา มีความเข้าใจถูก เพื่อจะได้มีกายวาจาและใจที่ถูกต้อง แทนที่จะโกรธ เป็นโทสะ หรือกล่าวคำใดๆ ก็ตามที่จะทำให้เกิดกุกกุจจะในภายหลัง

    ขุททกนิกาย วีสตินิบาตชาดก โสมนัสชาดก ข้อ ๒๑๗๕ มีข้อความที่แสดงให้เห็นว่า ควรพิจารณาก่อนทำ

    ข้อความมีว่า

    กรรมที่บุคคลใดไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อนแล้วทำลงไป ผลชั่วร้ายย่อมมีแก่บุคคลนั้นเหมือนความวิบัติแห่งยาแก้โรค ฉะนั้น ส่วนกรรมที่บุคคลใดพิจารณาถี่ถ้วนก่อนแล้วทำลงไป ผลอันเจริญก็ย่อมมีแก่บุคคลนั้นเหมือนความถึงพร้อมแห่งยาแก้โรค ฉะนั้น

    คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม เป็นคนเกียจคร้าน ไม่ดี บรรพชิตไม่สำรวม ไม่งาม พระราชาไม่ทรงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วทำลงไป ไม่ดี บัณฑิตมีความโกรธเป็นเจ้าเรือนก็ไม่ดี

    ... กรรมที่ทำด้วยความรีบร้อนย่อมให้เดือดร้อน อนึ่ง ความตั้งตนไว้โดยชอบและประโยชน์ของนรชน ย่อมไม่ตามเดือดร้อนในภายหลัง

    แท้จริง ชนเหล่าใดจำแนก แจกแจง (เลือกเฟ้น) แล้วกระทำกรรมทั้งหลายที่ ไม่ตามเดือดร้อนภายหลังในโลก กรรมของชนเหล่านั้น ท่านผู้รู้สรรเสริญ มีความสุขเป็นกำไร

    นี่เป็นการเตือนให้เป็นผู้ที่มีกายวาจาที่ต้องพิจารณาสภาพของจิตจริงๆ และ รู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดควรก็กระทำ จะไม่กระทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เพราะว่า กรรมใดก็ตามที่บุคคลใดไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อนแล้วทำไป ผลชั่วร้ายย่อมมีแก่บุคคลนั้นเหมือนความวิบัติแห่งยาแก้โรค

    ยาไม่ได้รักษาโรคได้ทุกชนิด เพราะว่าบางชนิดก็ไม่ถูกกับโรค หรือว่าถ้าใช้ผิดก็เป็นโทษ เพราะฉะนั้น การกระทำใดๆ ซึ่งอาจจะคิดว่าถูกต้องในขณะนั้น แต่ ถ้าพิจารณาให้ดีๆ คิดว่าไม่ถูกไม่ควรเพราะว่าเป็นการกระทำด้วยอกุศล ก็ไม่ทำสิ่งนั้น และทำสิ่งที่เป็นกุศล ก็ย่อมดีกว่า เช่น เข้าใจในความไม่รู้ของคนที่ทำผิด และเกื้อกูลโดยให้เขาเกิดปัญญา ดีกว่าจะไม่เกื้อกูลให้เกิดปัญญา แต่บอกว่าเป็นการกระทำที่ผิดและติเตียน

    ส่วนกรรมที่บุคคลใดพิจารณาถี่ถ้วนก่อนแล้วทำลงไป ผลอันเจริญย่อมมีแก่บุคคลนั้นเหมือนความถึงพร้อมแห่งยาแก้โรค ฉะนั้น

    อกุศลธรรมที่ได้กล่าวถึงแล้วทั้งหมดมาจากอวิชชา ความไม่รู้ เป็น โมหเจตสิก ซึ่งในประเภทของอกุศลกรรม ๙ กอง โมหเจตสิกเป็นอกุศลธรรม ๗ ประเภท คือ เป็นอาสวะ โอฆะ โยคะ นิวรณ์ สังโยชน์ อนุสัย และกิเลส

    มากทีเดียวเมื่อคิดถึงหน้าที่การงานของโมหเจตสิก หรืออวิชชา ซึ่งเป็น สภาพธรรมที่ไม่รู้แจ้งในอริยสัจธรรม เพราะว่าอกุศลใดๆ ก็ตามที่จะปราศจากอวิชชาหรือโมหเจตสิก ไม่มีเลย

    สัมโมหวิโนทนี อรรถกถา ปฏิจจสมุปปาทวิภังคนิทเทส แสดงลักษณะของโมหะ คือ

    อญาณลักขณา มีความไม่รู้เป็นลักษณะ

    สัมโมหนรสา มีความหลงพร้อมเป็นรสะ คือ เป็นกิจ

    ฉาทนปัจจุปัฏฐานา มีการปกปิดสภาวะแห่งอารมณ์เป็นปัจจุปัฏฐาน คือ เป็นอาการปรากฏ

    อาสวปทัฏฐานา มีอาสวะเป็นปทัฏฐาน

    อีกนัยหนึ่งที่ได้แสดงไว้ในที่อื่น ลักษณะของโมหะ คือ

    อญาณลักขโณ มีการไม่รู้ คือ ไม่รู้อริยสัจเป็นลักษณะ

    อารัมมณสภาวัจฉาทนรโส มีการปกปิดสภาวะแห่งอารมณ์เป็นรสะ คือ เป็นกิจ

    อันธการปัจจุปัฏฐาโน มีความมืดมนเป็นอาการปรากฏ

    อโยนิโสมนสิการปทัฏฐาโน มีการไม่พิจารณาโดยแยบคายเป็นเหตุใกล้

    อีกนัยหนึ่ง

    อัฏฐสาลินี พรรณนาอกุศลบทภาชนียะ แสดงลักษณะของโมหะ ดังนี้

    จิตตัสสะ อันธภาวลักขโณ อัญญาณลักขโณ วา มีความมืดมนแห่งจิตเป็นลักษณะ หรือมีความไม่รู้เป็นลักษณะ

    อสัมปฏิเวธรโส อารัมมณสภาวัจฉาทนรโส วา มีความไม่แทงตลอดเป็นรสะ หรือมีความปกปิดสภาวะแห่งอารมณ์เป็นรสะ

    อสัมมาปฏิปัตติปัจจุปัฏฐาโน อันธการปัจจุปัฏฐาโน วา มีความไม่ปฏิบัติชอบเป็นปัจจุปัฏฐาน หรือมีอันธการ คือ มืดมน เป็นปัจจุปัฏฐาน

    อโยนิโสมนสิการปทัฏฐาโน มีการกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันไม่แยบคาย เป็นปทัฏฐาน

    พึงเห็นว่าเป็นมูลแห่งอกุศลทั้งปวง

    ขณะนี้มีหรือเปล่า ข้อสำคัญที่สุดที่จะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรม คือ ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังเรื่องของอะไร จะต้องพิจารณาตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้มีอวิชชาหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ย่อมยากที่จะรู้ลักษณะของอวิชชา อาจจะ รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล แต่ถ้ายังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง ย่อมชื่อว่ายังมีอวิชชาอยู่

    สังยุตตนิกาย นิทานวรรค คิญชกาวสถสูตร ข้อ ๓๖๑ มีข้อความว่า


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 20
    24 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ