จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 120


    อนุสัย ๗ คือ กามราคะ ๑ ปฏิฆะ ๑ ทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ มานะ ๑ ภวราคะ ๑ อวิชชา ๑

    สำหรับกามราคะ คือ ความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เกิดขึ้นขณะใด ไม่สูญ นอนเนื่องอยู่ต่อไปอีก ฉะนั้น วันหนึ่งๆ จะมากสักแค่ไหน ซึ่งผู้ที่จะดับกามราคานุสัยได้ คือ อนาคามิมรรคจิต

    ถ้าเป็นปุถุชน อย่าได้ทำวิธีอื่นที่จะละความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นอกจากเจริญปัญญาที่ถูกต้องจนกว่าจะเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และเมื่อเป็นพระอนาคามี จึงจะดับความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะได้

    สำหรับปฏิฆานุสัย คือ ขณะใดที่โทสมูลจิตเกิด โทสเจตสิกที่เกิดกับโทสมูลจิตก็เป็นปฏิฆานุสัย นอนเนื่องอยู่สืบต่อไปอีก ซึ่งจะดับได้ด้วยอนาคามิมรรค

    เพราะฉะนั้น คนที่รู้สึกว่าเวลาโกรธแล้วไม่มีความสุขเลย ไม่สบายใจด้วยประการต่างๆ ก็อยากที่จะไม่โกรธและมักจะถามว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่โกรธ ดูเสมือนว่า จะเทียบพระธรรมเท่ากับยาแก้ปวดศีรษะเม็ดหนึ่ง คือ คิดว่าจะมีวิธีอะไรที่จะทำให้หายปวดศีรษะได้ หายไม่สบายใจได้ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ปฏิฆะหรือความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ ความไม่สบายใจต่างๆ ผู้ที่จะดับได้ต้องเป็น พระอนาคามีบุคคล

    ถ้าเป็นผู้ที่รู้ความละเอียดของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จะไม่มีการคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่โกรธ เพราะว่าทำไม่ได้ นอกจากอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะเป็นพระอนาคามีบุคคล และอย่าคิดว่า จะมีพระธรรมข้อหนึ่งข้อใดซึ่งจะมีคุณค่าเปรียบได้เท่ากับยาเม็ดเดียว เพราะว่าพระธรรมสามารถที่จะดับกิเลสได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่ระงับชั่วคราวเหมือนกับยาทั้งหลายและก็มีโรคภัยอื่นๆ เกิดต่อไปอีก

    สำหรับทิฏฐานุสัย ดับได้ด้วยโสตาปัตติมรรค วิจิกิจฉานุสัยดับได้ด้วย โสตาปัตติมรรค มานานุสัยดับได้ด้วยอรหัตตมรรค ภวราคานุสัยดับได้ด้วยอรหัตตมรรค อวิชชานุสัยดับได้ด้วยอรหัตตมรรค

    . คำว่า นอนเนื่อง ในเมื่อจิตเกิดดับอยู่ทุกขณะ อกุศลธรรมจะไปนอนเนื่องอยู่ตรงไหน

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่เกิดขึ้น เช่น โลภะ แสดงให้เห็นว่า ต้องมีโลภะในอดีตซึ่งยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉทเป็นปัจจัยทำให้โลภะในขณะนี้เกิดขึ้น และโลภะที่เกิดในขณะนี้แม้ ดับไปแล้วก็จริง แต่ปัญญายังไม่ได้ดับโลภะนั้น โลภะเป็นเพียงสังขารธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น โลภะนั้นก็เกิดและดับ และนอนเนื่อง คือ มีเชื้อที่จะเกิดต่อไปอีกได้

    อกุศลธรรมจำพวกที่ ๘ คือ สังโยชน์

    สังโยชน์เหมือนกับเชือกซึ่งผูกดึงให้กลับมาสู่ภพภูมินั้นๆ เช่น ถึงแม้ว่าจะสามารถระงับกิเลสได้ด้วยการอบรมเจริญสมถภาวนา ซึ่งยากมากกว่าที่จะบรรลุถึงฌานจิต และถ้าฌานจิตเกิดก่อนจุติจิต ทำให้ปฏิสนธิในรูปพรหมภูมิ เป็นรูปพรหมบุคคล แต่เมื่อยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ก็ยังต้องกลับมาสู่ความเป็นผู้ที่ยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะอีก

    ธรรมสังคณีปกรณ์ สังโยชนโคจฉกะ ข้อ ๗๑๙ และ ข้อ ๙๑๙ แสดงสังโยชน์ ๑๐ คือ

    กามราคสังโยชน์ เกิดกับโลภมูลจิต ๘ ดวง

    ปฏิฆสังโยชน์ เกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

    มานสังโยชน์ เกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔ ดวง

    ทิฏฐิสังโยชน์ เกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวง

    วิจิกิจฉาสังโยชน์ เกิดกับโมหมูลจิตวิจิกิจฉาสัมปยุตต์

    สีลัพพตปรามาสสังโยชน์ เกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวง

    ภวราคสังโยชน์ เกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔ ดวง

    อิสสาสังโยชน์ เกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

    มัจฉริยสังโยชน์ เกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

    อวิชชาสังโยชน์ เกิดกับอกุศลจิตทุกดวง

    นี่เป็นเพียงการทบทวน เพราะท่านผู้ฟังทราบแล้วว่า โลภมูลจิตมีเจตสิกที่เป็นอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วยกี่ประเภทเพราะเหตุใด และโทสมูลจิตมีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วยกี่ประเภทเพราะเหตุใด เพราะฉะนั้น ก็เป็นแต่เพียงการทบทวนให้เห็นว่า ธรรมย่อมเป็นธรรม เปลี่ยนแปลงสภาพของธรรมนั้นๆ ไม่ได้

    สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค แสดงสังโยชน์ ๑๐ โดยนัยต่างกับใน ธรรมสังคณีปกรณ์ คือ โอรัมภาคิยสูตร ข้อ ๓๔๙ แสดงสังโยชน์อันเป็นส่วน เบื้องต่ำ ๕ คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑ กามฉันทะ ๑ พยาบาท ๑

    และ อุทธัมภาคิยสูตรที่ ๑ ข้อ ๓๕๑ แสดงสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องสูง ๕ คือ รูปราคะ ๑ อรูปราคะ ๑ มานะ ๑ อุทธัจจะ ๑ อวิชชา ๑

    ส่วนใน อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต สังโยชนสูตรที่ ๘ และปหานสูตร ที่ ๙ แสดงสังโยชน์ ๗ คือ ความยินดี ๑ ความยินร้าย ๑ ความเห็นผิด ๑ ความสงสัย ๑ มานะ ๑ ความยินดีในภพ ๑ อวิชชา ๑

    และใน อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต มัจฉริยสูตรที่ ๑๐ แสดงสังโยชน์ ๗ คือ ความยินดี ๑ ความยินร้าย ๑ ความเห็นผิด ๑ ความสงสัย ๑ มานะ ๑ ความริษยา ๑ ความตระหนี่ ๑

    ไม่น่าสงสัย หรือน่าสงสัย ก็แล้วแต่จะแสดง ซึ่งก็คือสังโยชน์ จะแสดงโดยเป็นสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำก็ได้สำหรับผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลและพระอนาคามีบุคคลละ แสดงโดยเป็นสังโยชน์เบื้องสูงก็ได้ คือ เป็นธรรมที่พระอรหันต์ละ

    อกุศลธรรมจำพวกที่ ๙ คือ กิเลส ๑๐

    ธรรมสังคณีปกรณ์ นิกเขปกัณฑ์ กิเลสโคจฉกะ ข้อ ๗๙๑ และ ๘๐๑ มีข้อความว่า

    ธรรมเป็นกิเลสเป็นไฉน

    กิเลสวัตถุ ๑๐ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ

    ธรรมที่เป็นกิเลสเป็นธรรมที่เศร้าหมอง แต่สภาพธรรมที่เป็นกิเลสต้องเกิดร่วมกับสภาพธรรมอื่นๆ ด้วย เพราะฉะนั้น สำหรับสภาพธรรมที่เป็นกิเลส ๑๐ เป็นสภาพธรรมที่เศร้าหมอง ส่วนอกุศลธรรมอื่นที่เกิดร่วมด้วยนั้น เศร้าหมองเพราะกิเลส เหมือนปลาร้ากับใบคา อะไรที่มีกลิ่นเหม็น และอะไรเหม็นเพราะกลิ่นนั้น เพราะฉะนั้น อกุศลธรรมที่เป็นกิเลส ๑๐ เป็นธรรมที่เศร้าหมอง ส่วนอกุศลธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วยนั้น เศร้าหมองเพราะกิเลสที่เกิดร่วมกัน

    . ทำไมถีนะเป็นกิเลส แต่มิทธะไม่เป็นกิเลส ทั้งๆ ที่เป็นนิวรณ์ก็คู่กัน

    ท่านอาจารย์ เพราะว่ากิเลสได้แก่สภาพธรรมที่เศร้าหมอง ตนเองเป็นสภาพธรรมที่เศร้าหมอง และทำให้สภาพธรรมอื่นซึ่งเกิดร่วมด้วยเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น ถีนะเป็นกิเลส เป็นสภาพที่เศร้าหมอง ส่วนมิทธะเศร้าหมองเพราะกิเลสที่ตนเกิดร่วมด้วย

    ธรรมที่เศร้าหมองเป็นอารมณ์ของกิเลสได้ไหม

    ธรรมอะไรที่เศร้าหมองที่เป็นอารมณ์ของกิเลส ก็คือ อกุศลจิต สภาพธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเศร้าหมอง และเป็นอารมณ์ของสังกิเลส

    ธรรมที่ไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลสได้ไหม ได้ คือ กามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล กามาวจรวิบาก รูปาวจรวิบาก อรูปาวจรวิบาก กามาวจรกิริยา รูปาวจรกิริยา อรูปาวจรกิริยา และรูปทั้งหมด สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่าธรรมไม่เศร้าหมอง แต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส กิเลสพอใจในกิเลสและในสิ่งที่ไม่ใช่กิเลส

    อยากเป็นรูปพรหมไหม อยากเป็นเทวดาไหม อยากมีกุศลจิตไหม

    สำหรับการลำดับอกุศลธรรม ๙ จำพวก บางท่านก็ถามว่า อะไรเป็นจำพวก ที่ ๑ ที่ ๒ หรือว่าจำพวกที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไม่สงสัย สงสัยว่าอะไรเป็นจำพวกที่ ๕

    ซึ่งลำดับของการเทศนาไม่เป็นปัญหาเลย ไม่ว่าจะกล่าวถึงธรรมหมวดใด เพราะว่า ก็เป็นอกุศลธรรมแต่ละจำพวกๆ นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ในพระสูตรก็ดี ในพระอภิธรรมก็ดี การลำดับอกุศลธรรม ๙ กอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกครั้ง เช่น ใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ถ้าจะกล่าว ถึงสูตรต่างๆ อาสวสูตร แสดงอาสวะ ๓ คือ กามาสวะ ๑ อวิชชาสวะ ๑ ภวาสวะ ๑ เป็นข้อ ๓๑๕ โอฆสูตร แสดงโอฆะ ๔ เป็นข้อ ๓๓๓

    ข้อ ๓๓๕ เป็น โยคสูตร แสดงโยคะ ๔

    ข้อ ๓๓๗ อุปาทานสูตร แสดงอุปทาน ๔

    ข้อ ๓๓๙ คันถสูตร แสดงคันถะ ๔

    ข้อ ๓๔๑ อนุสยสูตร แสดงอนุสัย ๗

    ข้อ ๓๔๕ นิวรณสูตร แสดงนิวรณ์ ๕

    ข้อ ๓๔๙ โอรัมภาคิยสูตร แสดงสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕

    ข้อ ๓๕๑ อุทธัมภาคิยสูตร แสดงสังโยชน์เบื้องสูง ๕

    แสดงให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องลำดับเหมือนๆ กันกับที่อื่นๆ

    สำหรับใน ธรรมสังคณีปกรณ์ นิกเขปกัณฑ์ แสดงอาสวโคจฉกะก่อน คือ ๑. อาสวโคจฉกะ ๒. สังโยชนโคจฉกะ ๓. คันถโคจฉกะ ๔. โอฆโคจฉกะ ๕. โยคโคจฉกะ ๖. นิวรณโคจฉกะ ๗. อุปาทานโคจฉกะ ๘. กิเลสโคจฉกะ

    ธรรมสังคณีปกรณ์ ซึ่งเป็นคัมภีร์แรกของพระอภิธรรมปิฎก ไม่มีอนุสัย แต่แสดงอนุสัยโดยละเอียดมากใน คัมภีร์ยมกปกรณ์ คือ อนุสยยมก

    เพราะฉะนั้น ประมวลได้ว่า อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง จำแนกออกเป็นอกุศลธรรม ๙ จำพวก แต่ไม่จำเป็นต้องแสดงไว้ครบ เพราะว่าบางครั้งแสดงเพียง ๘ ก็มี เช่น ใน สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค มี อาสวสูตร โอฆสูตร โยคสูตร อุปาทานสูตร คันถสูตร อนุสยสูตร นิวรณสูตร โอรัมภาคิยสูตร อุทธัมภาคิยสูตร แต่ไม่มีเรื่องของกิเลส ๑๐

    สำหรับใน ธรรมสังคณีปกรณ์ นิกเขปกัณฑ์ มี อาสวโคจฉกะ สังโยชนโคจฉกะ คันถโคจฉกะ โอฆโคจฉกะ โยคโคจฉกะ นิวรณโคจฉกะ อุปาทานโคจฉกะ กิเลสโคจฉกะ ไม่มีอนุสัยใน ธรรมสังคณีปกรณ์ แต่มีใน ยมกปกรณ์

    ท่านผู้ฟังอาจจะสอบทานเรื่องของอกุศลเจตสิกกับอกุศลจิตด้วยตัวของท่านเองว่า เจตสิกดวงนี้จะเกิดกับอกุศลจิตดวงไหนได้บ้าง เช่น กามาสวะ ได้แก่ โลภเจตสิก เกิดกับจิตกี่ดวง ทบทวนซ้ำที่ได้กล่าวถึงแล้ว

    กามาสวะ คือ ความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เกิดกับโลภมูลจิตกี่ดวง เว้นดวงไหนบ้างหรือเปล่า ขณะที่มีความเห็นผิด พอใจในรูปที่เห็นผิด ในเสียง ในกลิ่น ในรสได้ไหม เพราะฉะนั้น โลภเจตสิกที่เป็นกามาสวะเกิดกับโลภมูลจิตได้ทั้ง ๘ ดวง

    ภวาสวะ ได้แก่ โลภมูลจิตที่พอใจในภพ ในขันธ์ ไม่ใช่พอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่เป็นความยินดีพอใจในขันธ์ ในภพ เพราะฉะนั้น ภวาสวะ คือ โลภเจตสิกที่เกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔ ดวง ขณะที่ไม่ได้เป็นไปกับความเห็นผิดใดๆ เลย ขณะนั้นยังมีความยินดีพอใจในภพ ในขันธ์ เพราะฉะนั้น พระโสดาบันบุคคลดับโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ไม่มีความเห็นผิด ใดๆ ที่จะเกิดกับพระโสดาบันบุคคล แต่พระโสดาบันบุคคลยังมีความยินดีพอใจในภพ ในขันธ์ เพราะฉะนั้น พระโสดาบันบุคคลยังมีโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔ ดวง

    ทิฏฐาสวะ ได้แก่ ทิฏฐิเจตสิกที่เกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวง

    อวิชชาสวะ ได้แก่ โมหเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิตทุกดวง

    อกุศลธรรมจำพวกต่อไป คือ สังโยชน์ ๑๐

    กามราคสังโยชน์ ได้แก่ ความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ถ้ายังไม่ได้ดับหมดไม่ว่าจะเกิดในภูมิไหนๆ ทั้งสิ้น ก็ต้องย้อนกลับมาสู่ความยินดีพอใจในกามภูมิ คือ ต้องเกิดในกามภูมิด้วยความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น กามราคสังโยชน์ ได้แก่ โลภเจตสิกที่เกิดกับโลภมูลจิต ๘ ดวง

    ปฏิฆสังโยชน์ ได้แก่ โทสเจตสิกที่เกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

    มานสังโยชน์ ได้แก่ มานเจตสิกที่เกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔ ดวง

    ทิฏฐิสังโยชน์ ได้แก่ ทิฏฐิเจตสิกที่เกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวง

    วิจิกิจฉาสังโยชน์ ได้แก่ วิจิกิจฉาเจตสิกที่เกิดกับโมหมูลจิตวิจิกิจฉาสัมปยุตต์ ๑ ดวง

    สีลัพพตปรามาสสังโยชน์ ถ้าเป็นความเห็นผิด ไม่ว่าจะในข้อปฏิบัติหรือในเรื่องความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น ต้องได้แก่ ทิฏฐิเจตสิกที่เกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวงเท่านั้น

    ภวราคสังโยชน์ ได้แก่ โลภเจตสิกที่เกิดกับโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔ ดวงเท่านั้น จะไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิด

    อิสสาสังโยชน์ ได้แก่ อิสสาเจตสิกที่เกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

    มัจฉริยสังโยชน์ ได้แก่ มัจฉริยเจตสิกที่เกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

    อวิชชาสังโยชน์ ได้แก่ โมหเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิตทุกดวง

    สำหรับคันถะ ๔ ได้แก่

    อภิชฌากายคันถะ ความยินดีพอใจในกามและในภพ

    พยาปาทกายคันถะ ความไม่พอใจ ความขุ่นเคืองใจต่างๆ

    สีลัพพตปรามาสกายคันถะ การลูบคลำข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด

    อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ ความเห็นผิดอื่นทั้งหมด เว้นสีลัพพตปรามาส

    เพราะฉะนั้น อภิชฌากายคันธะ ได้แก่ โลภเจตสิกที่เกิดกับโลภมูลจิตทั้ง ๘ ดวง เพราะว่าไม่ได้แยกเป็นกามกับภพ ถ้าไม่แยกเป็นกามกับภพ ต้องเกิดกับ โลภมูลจิตทั้ง ๘ ดวง

    พยาปาทกายคันถะ ได้แก่ โทสเจตสิกที่เกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

    สีลัพพตปรามาสกายคันถะ และอิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ ได้แก่ ทิฏฐิเจตสิกที่เกิดกับโลภทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวง

    ถ้าเป็นทิฏฐิ จะเกิดกับจิตอื่นไม่ได้เลย นอกจากโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวงเท่านั้นเท่านั้น

    นิวรณ์ ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง

    นิวรณ์ ได้แก่ กามฉันทนิวรณ์ ๑ พยาปาทนิวรณ์ ๑ ถีนมิทธนิวรณ์ ๑ อุทธัจจนิวรณ์ ๑ กุกกุจจนิวรณ์ ๑ วิจิกิจฉานิวรณ์ ๑ อวิชชานิวรณ์ ๑

    กามฉันทนิวรณ์ เกิดกับโลภมูลจิต ๘ ดวง

    พยาปาทนิวรณ์ เกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

    ถีนมิทธนิวรณ์ เกิดกับอกุศลจิต ๕ ดวง

    อุทธัจจนิวรณ์ เกิดกับโมหมูลจิตอุทธัจจสัมปยุตต์

    กุกกุจจนิวรณ์ เกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

    วิจิกิจฉานิวรณ์ เกิดกับโมหมูลจิตวิจิกิจฉาสัมปยุตต์

    อวิชชานิวรณ์ เกิดกับอกุศลจิตทุกดวง

    อุปาทาน ๔ ได้แก่ กามุปาทาน ๑ ทิฏฐุปาทาน ๑ สีลัพพตุปาทาน ๑ อัตตวาทุปาทาน ๑

    กามุปาทาน ต้องเกิดในโลภมูลจิต ๘ ดวง

    ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน เกิดในโลภมูลจิต ทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวง

    สำหรับกิเลส ๑๐

    โลภกิเลสเกิดในโลภมูลจิต ๘ ดวง โทสกิเลสเกิดในโทสมูลจิต ๒ ดวง โมหกิเลสเกิดในอกุศลจิตทุกดวง มานเจตสิกเกิดในโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปปยุตต์ ๔ ดวง ทิฏฐิกิเลสเกิดในโลภมูลจิตทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ๔ ดวง วิจิกิจฉากิเลสเกิดในโมหมูลจิตวิจิกิจฉาสัมปยุตต์ ๑ ดวง ถีนกิเลสเกิดในอกุศลสสังขาริก อุทธัจจเจตสิกเกิดใน อกุศลจิตทุกดวง สำหรับกิเลส อุทธัจจเจตสิกเกิดในอกุศลจิตทุกดวง อหิริกเจตสิก เกิดในอกุศลจิตทุกดวง อโนตตัปปเจตสิกเกิดในอกุศลจิตทุกดวง

    ยมกปกรณ์ อนุสยยมก อนุสยวาระ มีข้อความแสดงว่า อนุสัย ๗ นอนเนื่องอยู่ในสภาพธรรมใดบ้าง คือ

    กามราคานุสัย ย่อมนอนเนื่องในเวทนา ๒ ในกามธาตุ

    โลภมูลจิตมีเวทนา ๒ คือ โสมนัสเวทนาและอุเบกขาเวทนา

    ปฏิฆานุสัย ย่อมนอนเนื่องในทุกขเวทนา

    มานานุสัย ย่อมนอนเนื่องในเวทนา ๒ ในกามธาตุ ในรูปธาตุ ในอรูปธาตุ

    ทิฏฐานุสัย ย่อมนอนเนื่องในธรรมที่นับเนื่องในกายของตนทั้งหมด

    วิจิกิจฉานุสัย ย่อมนอนเนื่องในธรรมที่นับเนื่องในกายของตนทั้งหมด

    ภวราคานุสัย ย่อมนอนเนื่องในรูปธาตุ ในอรูปธาตุ

    อวิชชานุสัย ย่อมนอนเนื่องในธรรมที่นับเนื่องในกายของตนทั้งหมด

    ที่แสดงอย่างนี้ คือ ตามขั้นของบุคคล ซึ่งเป็นปุถุชนและพระอริยบุคคลตามลำดับขั้น

    ขอกล่าวทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านผู้ฟังชินกับอกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง ซึ่งจำแนกเป็นอกุศลธรรม ๙ กองว่า อกุศลเจตสิกประเภทใดเป็นอกุศลธรรมจำพวกไหน จะได้เห็นสภาพธรรมของตัวท่านเองตามความเป็นจริง

    สำหรับอกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง โลภเจตสิก ๑ ดวง เป็นอกุศลธรรมทั้ง ๙ จำพวกฉะนั้น ควรจะระลึกว่า ความพอใจ ความติดใจ ความต้องการ ความยินดี ความเพลิดเพลินในอารมณ์ เป็นอกุศลธรรมล้วน และดับยาก เพราะถ้าจะดับโลภะจนกระทั่งหมดสิ้นเป็นสมุจเฉทไม่เกิดอีกเลย ต้องเป็นปัญญาขั้นอรหัตตมรรคจึงละได้

    เพราะฉะนั้น ยังไม่ต้องละโลภมูลจิต ซึ่งในชีวิตประจำวันไม่ขาดโลภะเลย เพราะว่าโลภเจตสิกเป็นอาสวะ ๒ อย่าง คือ กามาสวะและภวาสวะ ความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เป็นกามาสวะ ความพอใจในภพ ในขันธ์ เป็นภวาสวะ

    เมื่อเป็นอาสวะก็เป็นโอฆะด้วย คือ กามโอฆะและภวโอฆะ เป็นโยคะด้วย คือ กามโยคะและภวโยคะ นอกจากนั้นยังทำให้ยึดมั่น ติด เป็นอุปาทาน คือ กามุปาทาน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 20
    24 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ