จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 101


    ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานจนปัญญาสามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของ สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง เช่น เวลากระทบสัมผัสสิ่งที่แข็งในป่า ที่โคนไม้ กับในปราสาทราชวัง จะเหมือนกัน หรือต่างกันขณะที่แข็งกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ดับกิเลสได้ไม่เดือดร้อนเลย สามารถที่จะอยู่ในป่า ตามโคนไม้ เรือนว่างได้

    บุคคลอื่นอาจจะคิดว่า พระผู้มีพระภาคบรรทมที่โคนไม้ในป่าคงจะไม่สะดวกสบายเท่ากับในปราสาทราชวัง แต่สำหรับผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้ว ไม่มีอะไรที่ต่างกัน

    ความต่าง คือ ความหวั่นไหว ความไม่สม่ำเสมอด้วยกิเลส ด้วยสมมติ ด้วยบัญญัติ ด้วยเรื่องราวต่างๆ ไม่ใช่ด้วยสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เพียงปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ชั่วขณะหนึ่งๆ และดับหมดไปไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นสุข หรือทุกข์ทางกาย หรือทางใจ สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น เหมือนกันหมด คือ ปรากฏเพียงชั่วขณะที่เกิดขึ้น และยังไม่ดับ แต่ขณะที่ดับแล้ว ย่อมจะไม่กลับมาอีกเลย

    อาการของความทุกข์ใจที่แต่ละคนมี ย่อมแสดงให้รู้ถึงอาการของกิเลส ซึ่งแต่ละคนสะสมมาว่า มากน้อย หนาบาง หรือว่าหนักเบาประการใด บางท่านมีเรื่องยุ่งยากในเรื่องของงานบ้านหลายอย่างชั่วระยะหนึ่ง แต่จิตใจของท่านไม่เดือดร้อน เพราะท่านรู้ว่าเป็นอกุศลวิบาก เมื่อกุศลกรรมยังไม่ให้ผล ก็ต้องได้รับความไม่สะดวกสบายในบ้านต่างๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่จะปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครจริงๆ

    ทุกท่านพิสูจน์ได้ประการหนึ่งจากโทสมูลจิต ความไม่สบายใจว่า ในวันหนึ่งๆ มีมากน้อยแค่ไหน และท่านอดทนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเวลาที่ความไม่แช่มชื่นเกิดขึ้น ความไม่พอใจเกิดขึ้น ตอนแรกๆ พออดทนได้ แต่ควรที่จะได้รู้ว่า ถ้าอดทนไม่ได้ กายย่อมผิดปกติ และวาจาก็ย่อมเป็นวาจาทุจริตได้ตามกำลังของกิเลสที่มี กำลังขึ้น เมื่อกิเลสที่เป็นโทสมูลจิตมีกำลังกล้า จะเป็นเหตุให้กระทำกายทุจริต และ วจีทุจริต ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับปุณณกมาณพว่า หฤทัยของสัตว์อื่นทั้งหลายเปรียบเหมือนสถานที่บูชายัญของท่าน

    เวลาที่ความโกรธเกิดขึ้น ขอให้คิดถึงขณะที่จะประทุษร้ายเบียดเบียน ต้องการให้คนอื่นเดือดร้อน ต้องการจริงๆ ให้เขาเป็นทุกข์ให้เต็มที่ ขณะนั้นเท่ากับว่า หฤทัยของสัตว์อื่นทั้งหลาย เปรียบเหมือนสถานที่บูชายัญของท่าน คือ ต้องการทำให้บุคคลนั้นได้ประสบความทุกข์อย่างมาก

    สำหรับโทสมูลจิต เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นเพียงขณะหนึ่งๆ ซึ่งโดยกิจ กระทำชวนกิจ เวลาที่โทสมูลจิตเกิดขึ้นจะเกิดดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ จิตทุกประเภทโดยปกติเมื่อทำชวนกิจจะเกิดดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ ซึ่ง ๗ ขณะนี้ เร็วมาก ถ้าเปรียบเทียบกับทางตาที่กำลังเห็นในขณะนี้กับทางหูที่ได้ยินดูเสมือนว่าพร้อมกัน แต่ความจริงทางตาที่เห็นขณะหนึ่งกับทางหูที่ได้ยินขณะหนึ่ง มีจิตเกิดดับสลับคั่นอยู่เกินกว่า ๗ ขณะ เพราะฉะนั้น ที่โทสชวนะเกิดดับสืบต่อกัน ๗ ขณะย่อม ไม่มาก แต่เมื่อมีปัจจัยให้โทสมูลจิตเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็ย่อมสามารถปรากฏให้เห็นว่า ความโกรธนั้นไม่หายไป

    อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต อาสีวิสสูตร ข้อ ๑๑๐

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสรพิษ ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ อสรพิษ มีพิษแล่นแต่พิษไม่ร้ายจำพวก ๑ มีพิษร้ายแต่พิษไม่แล่นจำพวก ๑ มีพิษแล่นด้วย พิษร้ายด้วยจำพวก ๑ มีพิษไม่แล่น และพิษไม่ร้ายจำพวก ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสรพิษ ๔ จำพวกนี้แล

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลเปรียบด้วยอสรพิษ ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ บุคคลดุจอสรพิษมีพิษแล่นแต่พิษไม่ร้าย จำพวก ๑ ดุจอสรพิษมีพิษร้ายแต่พิษไม่แล่นจำพวก ๑ ดุจอสรพิษมีพิษแล่นด้วย พิษร้ายด้วยจำพวก ๑ ดุจอสรพิษมีพิษไม่แล่น และพิษไม่ร้ายจำพวก ๑

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นดุจอสรพิษมีพิษแล่นแต่พิษไม่ร้ายอย่างไร

    บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมโกรธเนืองๆ แต่ความโกรธของเขานั้นไม่นอนเนื่องอยู่นาน บุคคลเป็นดุจอสรพิษมีพิษแล่นแต่พิษไม่ร้าย อย่างนี้แล

    ทุกท่านจะพิจารณาได้ว่า ท่านเป็นบุคคลประเภทไหน เป็นประเภทที่พิษแล่น คือ โกรธบ่อยๆ โกรธง่ายๆ โกรธเนืองๆ แต่พิษไม่ร้าย คือ ความโกรธนั้น ไม่นอนเนืองอยู่นาน โกรธจริง แต่ก็หายไป ไม่ผูกโกรธ หรือไม่ได้คิดมุ่งร้ายพยาบาทเลย และจะห้ามความโกรธไม่ให้เกิดบ่อยๆ ก็ไม่ได้ เพราะเป็นผู้ที่สะสมมาที่จะเป็นผู้ที่โกรธง่าย โกรธบ่อย เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ดุจอสรพิษมีพิษแล่นแต่พิษไม่ร้าย

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นดุจอสรพิษมีพิษร้ายแต่พิษไม่แล่นอย่างไร

    บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่โกรธเนืองๆ ทีเดียว แต่ความโกรธของเขานั้น นอนเนื่องอยู่นาน ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นดุจอสรพิษมีพิษร้ายแต่พิษไม่แล่น อย่างนี้แล

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสรพิษมีพิษร้ายแต่พิษไม่แล่น แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น

    บางคนสังเกตได้ว่า เป็นผู้ไม่โกรธง่าย ไม่โกรธบ่อย แต่ถ้าโกรธแล้วไม่ลืม เพราะฉะนั้น ความโกรธของบุคคลนั้นเหมือนกับอสรพิษที่มีพิษร้ายแต่พิษไม่แล่น ไม่แล่น คือ ไม่โกรธบ่อย มีพิษร้าย คือ ถ้าโกรธแล้วไม่ลืม ยังคงจำไว้นานมาก เพราะฉะนั้น เปรียบเทียบดูว่า ท่านเป็นบุคคลไหน

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นดุจอสรพิษมีพิษแล่นด้วย มีพิษร้ายด้วย อย่างไร

    บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมโกรธเนืองๆ และความโกรธของเขานั้นนอนเนื่อง อยู่นาน บุคคลเป็นดุจอสรพิษมีพิษแล่นด้วย พิษร้ายด้วย อย่างนี้แล

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสรพิษมีพิษแล่นด้วย พิษร้ายด้วย แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นดุจอสรพิษมีพิษไม่แล่น และพิษไม่ร้ายอย่างไร

    บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่โกรธเนืองๆ ทั้งความโกรธของเขานั้นก็ไม่นอนเนื่องอยู่นาน บุคคลเป็นดุจอสรพิษมีพิษไม่แล่น และพิษไม่ร้าย อย่างนี้แล

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อสรพิษมีพิษไม่แล่น และพิษไม่ร้าย แม้ฉันใด เรากล่าว บุคคลนี้ เปรียบฉันนั้น

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบด้วยอสรพิษ ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ ในโลก ฯ

    ขณะใดที่โกรธ เหมือนอสรพิษ แล้วแต่ว่าพิษแล่น หรือพิษร้าย ถ้าเป็นทั้ง พิษแล่น และพิษร้าย เมื่อได้เห็นโทษของความโกรธ ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ค่อยๆ คลายลง แม้จะยังดับความโกรธไม่ได้ แต่ก็ไม่โกรธอยู่นาน

    ขณะนี้เป็นจิตประเภทไหน หลายประเภท ถ้าสติระลึก ทางตากำลังเห็น เป็นจิตประเภทหนึ่งแล้ว ทางหูที่กำลังได้ยิน เป็นจิตอีกประเภทหนึ่งแล้ว ถ้าไม่ระลึกทางใจก็อาจจะไม่ทราบว่า ขณะนี้เป็นกุศลจิต ๗ ขณะซึ่งเร็วมาก และถ้ามีเสียงที่ ไม่น่าพอใจกระทบทางหู ทันทีที่เสียงนั้นกระทบ และยังไม่ดับ โทสมูลจิต ความ ไม่พอใจในเสียงนั้นเกิดขึ้นแล้วอย่างรวดเร็ว แต่สั้นมาก และเมื่อเสียงนั้นดับ โทสมูลจิตก็ดับ

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่พร้อมที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไรทั้งสิ้น ขณะที่กำลังฟังเรื่องของโทสมูลจิต เสียง ก็มีปรากฏ ได้ยินก็มี สภาพธรรมที่กำลังรู้เรื่องของเสียงที่ปรากฏก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ขณะก่อนก็ดับสิ้นหมดไป ไม่กลับมาอีกเลย

    ในขณะที่สภาพธรรมกำลังปรากฏเท่านั้น ที่สติควรระลึกรู้ลักษณะของ สภาพธรรมตามที่ได้ศึกษา เพื่อให้การศึกษานั้นเป็นประโยชน์ โดยสามารถรู้สภาพที่แท้จริงของธรรมที่ได้ศึกษาแล้ว ซึ่งยาก ใช่ไหม ขณะนี้จะระลึกทางไหน

    ผู้ฟัง หมายความว่า ขณะที่ระลึก ขณะนั้นเรื่องราวจะไม่มีปรากฏเลย ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังพูดมีเรื่องราวไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เมื่อพูดจบแล้ว มีไหม

    ผู้ฟัง ถ้ามีเหตุต่อ ก็ต้องมีต่อ

    ท่านอาจารย์ เรื่องราวมีในขณะที่จิตกำลังคิดเรื่องราวนั้นเท่านั้น ถ้าจิตไม่คิดเรื่องราวนั้น เรื่องราวนั้นก็ไม่มีเท่านั้นเอง และก็เห็น ขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่กำลังคิดเรื่องราวต่างๆ ก็หมดไปทุกขณะ ก็ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แม้ในขณะที่กำลังได้ยินได้ฟัง

    อย่างเมื่อกี้ คงจะมีเสียงที่ไม่น่าพอใจ ชั่วขณะนั้นโทสมูลจิตเกิดตามปกติ ถ้าไม่พอใจในเสียงนั้น ถ้าถามหลังจากที่เสียงนั้นดับไปแล้วว่า ชอบเสียงนั้นไหม จะตอบว่าอย่างไร ไม่ชอบ แต่ในขณะที่เสียงกำลังปรากฏ และไม่ชอบ ขณะนั้น คือลักษณะของโทสมูลจิตซึ่งมี และก็เกิด และก็ดับไปอย่างรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างดับอย่างรวดเร็ว ซึ่งการศึกษาเรื่องของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และปรากฏ เพื่อให้สติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ และประจักษ์การดับไปของสิ่งนั้น เพื่อจะได้ไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตน

    ผู้ฟัง ขึ้นอยู่กับกำลังสติ หรือเปล่าว่า จะทันกับสิ่งที่เกิดขึ้นไหม

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ขณะที่ไม่ชอบแม้เล็กน้อย ขณะนั้นก็เป็นโทสมูลจิต เพราะฉะนั้น โทสมูลจิต หรือทุกข์ ไม่ใช่มีเฉพาะความโกรธอย่างเดียว แต่ขณะที่ไม่ชอบแม้เล็กน้อยก็เป็นโทสมูลจิตด้วย โทสมูลจิตเป็นทุกข์ แต่ทุกข์ไม่ใช่เฉพาะโทสมูลจิต

    ผู้ฟัง ประหม่าตื่นเต้นเป็นโทสมูลจิต หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่ไม่ชอบ ขณะนั้นเป็นโทสมูลจิตหมด วิธีที่จะรู้ว่าเป็น โทสมูลจิต หรือเปล่า คือ ชอบไหม ถ้าไม่ชอบ ขณะนั้นเป็นโทสมูลจิตทั้งนั้น

    ผู้ฟัง ขณะนั้นถ้าระลึกได้ ระลึกรู้ว่าเป็นโทสะ เราก็ละ จะหมดไปเอง ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ต้องอบรมเจริญปัญญา โทสะเกิดขึ้น และดับไป ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ แต่ไม่สามารถดับเหตุที่จะให้เกิดโทสะ ต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าถึงขั้นที่จะดับเหตุของโทสะได้ โทสะจึงจะดับ

    เพราะฉะนั้น ควรที่จะทราบว่า อะไรเป็นเหตุของโทสะ

    ความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เป็นเหตุให้เกิดโทสะ เมื่อไม่ได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่พอใจ

    และผู้ที่จะดับโทสมูลจิตได้ คือ ผู้ที่ดับความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งผู้นั้นต้องรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล แต่ แม้กระนั้นก็ยังดับทุกข์อื่นไม่ได้ นอกจากทุกข์ใจ เพราะทุกข์มีทั้งที่เป็นทุกข์กายด้วย และทุกข์ใจด้วย

    ถ้าได้ศึกษาสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม และรู้ว่าลักษณะของสังขารธรรม คือ สภาพที่เกิดขึ้น และดับไปนั้นเป็นทุกข์ จะเข้าใจความหมายที่ว่า ทุกข์เป็นของธรรมดา ซึ่งมีอยู่เป็นประจำทุกวัน เพราะสังขารธรรมมีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป สืบต่อกันอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรม และที่เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น ทุกข์เป็นของธรรมดา และเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ก็เป็นธรรมดาด้วย เพราะธรรมดาทุกคนพอใจใน โลภมูลจิต เมื่อมีความยินดีพอใจซึ่งเป็นโลภมูลจิตในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ก็เพลิดเพลินไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ทุกข์ก็ต้องเป็นธรรมดาด้วย เพราะเหตุที่จะให้เกิดทุกข์เป็นธรรมดา

    ธรรมดา หรือไม่ธรรมดา โลภะ ใครรู้สึกว่าโลภะไม่ธรรมดาบ้าง เกิดบ่อยที่สุดในวันหนึ่งๆ จนเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ทุกข์ต้องเป็นธรรมดาเหมือนกัน เพราะถ้าเป็นปรมัตถธรรม ทุกข์ได้แก่สภาพของสังขารธรรมซึ่งเกิดดับ

    สัมโมหวิโนทนี อรรถกถา สัจจวิภังคนิทเทส วิเคราะห์ศัพท์ทุกขะ มีข้อความว่า

    ก็สัจจะแรก คือ ทุกขสัจจ์นี้ ชื่อว่าเป็นสิ่งน่าเกลียด เพราะเป็นที่ตั้งของอุปัทวะมิใช่น้อย ชื่อว่าว่างเปล่า เพราะเว้นจากความเป็นของยั่งยืน เป็นของงาม เป็นสุข และเป็นอัตตาที่ชนพาลกำหนดกัน ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียกว่า ทุกขะ เพราะเป็นของน่าเกลียด และเป็นสิ่งว่างเปล่า

    ที่ว่าน่าเกลียด เพราะเป็นสภาพที่ไม่เป็นที่พอใจ หรือว่าไม่น่าพอใจ และเป็นสภาพที่ว่างเปล่า เพราะเป็นสภาพที่ไม่ยั่งยืน

    เป็นสิ่งน่าเกลียด เพราะเป็นที่ตั้งของอุปัทวะมิใช่น้อยเลย จะเห็นได้จากอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้น และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ กายที่เป็นแผลเปื่อยเน่า มีหนอนไต่ตอม เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า เป็นสิ่งที่น่าเกลียด เพราะเป็นที่ตั้งของอุปัทวะมิใช่น้อย

    ทุกขสัจจ์มีความเบียดเบียนเป็นลักษณะ มีความให้เร่าร้อนเป็นรสะ มีความเป็นไปทั่วเป็นปัจจุปัฏฐาน

    เป็นไปทั่ว คือ ไม่เว้นเลย ถ้าจะกล่าวเทียบโดยบุคคลก็ไม่เว้นใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคนฉลาด หรือไม่ฉลาด แม้ว่าจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่า เป็นพาลบุคคล ทุกขสัจจ์มีความเป็นไปทั่วเป็นปัจจุปัฏฐาน เพราะเป็นสภาพซึ่งเกิดขึ้น และดับไปเหมือนกันหมดทุกคน

    (เสียงอ๊อดดัง ... ยาว)

    โทสมูลจิต หรือเปล่า ชั่วขณะนิดเดียวที่ผ่านไป มีเสียงที่ไม่น่าพอใจ ลืมไปแล้ว แต่ตามความเป็นจริงถ้าสติจะระลึก เสียงเมื่อกี้ยาวพอสมควรที่สติจะระลึก รู้สภาพของจิตในขณะนั้นว่า ชอบ หรือไม่ชอบ พอใจ หรือไม่พอใจ แต่เมื่อผ่านไปแล้ว ก็กลับคืนมาไม่ได้ มีแต่สิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้นที่สติจะระลึกได้ในขณะนี้ ทางตากำลังเห็น ย้อนมาอีก ทางหูกำลังได้ยิน ทางกายกำลังกระทบสัมผัส ทางใจกำลังคิดนึก

    สัจธรรมเป็นสภาพที่จริงแท้ ไม่วิปริต ซึ่งผู้พิจารณาด้วยปัญญาย่อมเห็นสภาพที่ไม่เป็นภาวะวิปริตดังมายากล ไม่เป็นภาวะคลาดเคลื่อนดังพยับแดด ดังที่ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย คำว่า นี้ทุกข์ นั่นเป็นของแท้จริง ไม่ผิด มิใช่เป็นประการอื่น อีกอย่างหนึ่ง เพราะทุกข์ที่เป็นตัวไม่เบียดเบียนหามีไม่ ตัวเบียดเบียนที่อื่นจากทุกข์ก็หามีไม่ ฉะนั้น ทุกข์นี้ จึงตรัสให้ชื่อว่าสัจจะ โดยทรงกำหนดลักษณะที่เป็นตัวเบียดเบียน ทุกข์ย่อมไม่มีแต่เหตุอื่นเว้นจากตัณหา แล้วทุกข์นั้นจะไม่มีแต่ตัณหานั้นก็หาไม่ เหตุนั้นตัณหาตัวซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ จึงชื่อว่าสัจจะ โดยกำหนดลักษณะที่เป็นเหตุแห่งทุกข์

    วันหนึ่งๆ โลภะเกิดขึ้นในอารมณ์ต่างๆ ปฏิเสธไม่ได้เลย ทั้งทางตาที่เห็น ทางหูที่ได้ยิน ทางจมูกที่ได้กลิ่น ทางลิ้นที่ลิ้มรส ทางกายที่กระทบสัมผัส กำลัง ซัดส่ายไปหาทุกข์แท้ๆ ถ้ารู้ว่าตัณหาเป็นเหตุของทุกข์ ให้ทราบว่า ในขณะใดที่กำลังแสวงหาสุข ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ขณะนั้นกำลังซัดส่ายไปหาทุกข์ เพราะตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

    เพราะฉะนั้น ถ้ามีสิ่งที่พอใจเกิดขึ้นขณะใด ให้ทราบว่า เป็นเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิต หรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตใดๆ ก็ตาม ถ้าพลัดพรากจาก สิ่งนั้น ขณะนั้นย่อมเป็นทุกข์ เพราะถ้ามีความพอใจแสวงหาอารมณ์นั้น ก็ไม่ต้องการที่จะให้อารมณ์นั้นพลัดพรากจากไป แต่ให้ระลึกว่า เมื่อความพอใจมีอยู่ในที่ใด ย่อม มีทุกข์ซึ่งจะเกิดเพราะสิ่งนั้นในภายหลัง

    สำหรับทุกขอริยสัจจะ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะเป็นสภาพแท้จริงที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้

    สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ธารณสูตรที่ ๒ ข้อ ๑๖๙๒ เมื่อ พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุเหล่านั้นทรงจำอริยสัจจ์ ๔ ที่พระองค์ทรงแสดงได้ หรือไม่ ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทรงจำทุกขอริยสัจจะเป็นข้อที่ ๑ ที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว ก็สมณะ หรือพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า นี้ไม่ใช่ทุกขอริยสัจจะข้อที่ ๑ ที่พระสมณโคดมทรงแสดงไว้ เราจักบอกเลิก ทุกขอริยสัจจะข้อที่ ๑ นั้นเสีย แล้วบัญญัติทุกขอริยสัจจะข้อที่ ๑ อย่างอื่นใหม่ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฯลฯ

    มีใครจะเปลี่ยนแปลงไหม ทุกขอริยสัจจะ ซึ่งได้แก่สภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น และดับไป แม้ว่า สมณะ หรือพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า นี้ไม่ใช่ ทุกขอริยสัจจะข้อที่ ๑ ที่พระสมณโคดมทรงแสดงไว้ เราจักบอกเลิกทุกขอริยสัจจะข้อที่ ๑ นั้นเสีย แล้วบัญญัติทุกขอริยสัจจะข้อที่ ๑ อย่างอื่นใหม่ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้

    ท่านผู้ฟังทรงจำทุกขอริยสัจจะข้อที่ ๑ ได้ ใช่ไหม ถ้าเพียงแต่ได้ทราบว่า อริยสัจจ์มี ๔ คือ ทุกขอริยสัจจะเป็นสัจจะที่ ๑ จำได้ไม่ลืม แต่จำได้มากน้อยพอเพียงแค่ไหน ถ้าหลงลืมสติที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพื่อประจักษ์ความเกิดดับ ก็ย่อมลืมว่า ทุกขอริยสัจจะเป็นอริยสัจจะข้อที่ ๑

    เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ทรงจำอริยสัจจ์ ๔ ที่พระองค์ทรงแสดงได้ หรือเปล่า ถ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถาม ถ้าจะตอบ ก็ต้องรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า จำได้ขั้นไหน จำได้ขั้นที่เพียงรู้ว่า อริยสัจธรรมมี ๔ หรือจำได้จนกระทั่งสติระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจนกว่าจะประจักษ์ในลักษณะที่เป็นทุกขสัจจ์จริงๆ

    การศึกษาแม้พระสูตร ถ้าได้พิจารณาถึงบุคคลที่ฟังธรรมแต่ละท่านในกาล ที่ต่างกัน ย่อมจะเห็นได้ว่า แม้เพียงในเรื่องของอริยสัจจ์ที่พระผู้มีพระภาคตรัสถาม และบุคคลที่กล่าวตอบ ก็กล่าวตอบ แต่การทรงจำแม้ในเรื่องของอริยสัจจ์ของแต่ละบุคคลนั้นก็ต่างกัน ผู้ที่เพียงทรงจำหัวข้อ กับผู้ที่ทรงจำ และสติระลึกจนกระทั่งปัญญาแทงตลอดในทุกขสัจจ์ ก็ต้องเป็นบุคคลที่สะสมการฟังพระธรรม และการประพฤติธรรมต่างๆ กันด้วย

    ข้อความใน สัมโมหวิโนทนี อรรถกถา สัจจวิภังคนิทเทส ได้กล่าวถึงอริยสัจจ์ทั้ง ๔ โดยลำดับว่า

    ก็ในอริยสัจจ์ ๔ นั้น ทุกขสัจจะเป็นสัจจะที่รู้ง่าย เพราะเป็นของหยาบ และสาธารณะแก่สัตว์ทั้งปวง ฉะนั้น จึงตรัสเป็นลำดับแรก

    ถ้ากล่าวทั่วๆ ไป เผินๆ คนที่ไม่รู้จักทุกข์ ไม่มี แต่จะมีผู้กล่าวว่า มีทุกข์มากมายจริงๆ ทุกข์ของเด็ก ทุกข์ของผู้ใหญ่ ทุกข์ของพ่อบ้านแม่เรือน ทุกข์ของผู้บริหารประเทศ จะเห็นได้ว่า แต่ละคนมีทุกข์มาก เพราะฉะนั้น ที่ทรงลำดับ ทุกขสัจจะ เพราะเป็นสัจจะที่รู้ง่าย เป็นของหยาบ และสาธารณะแก่สัตว์ทั้งปวง ฉะนั้น จึงตรัสเป็นลำดับแรก

    และในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน เวลาที่พวกอัญญเดียรถีย์ได้ถามพวกภิกษุทั้งหลายว่า บวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเพื่ออะไร ท่านเหล่านั้นก็ยังตอบว่า เพื่อรู้ทุกข์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทุกข์มีหลายขั้น ขั้นที่รู้ไม่ยากก็มี และขั้นที่ต้องถึงการแทงตลอดจึงจะประจักษ์แจ้งในทุกข์ก็มี

    เมื่อกล่าวถึงอริยสัจธรรมโดยกิจแห่งญาณในสัจจญาณ

    มี ๒ อย่าง คือ รู้โดยรู้ตาม ๑ และรู้โดยแทงตลอด ๑ ความรู้โดยรู้ตาม เป็นโลกียะ ซึ่งย่อมเป็นไปในนิโรธ และมรรคได้ด้วยอำนาจการฟังตามกันมาเป็นต้น ความรู้โดยแทงตลอดเป็นโลกุตตระ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 20
    20 ธ.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ