จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 102


    ความรู้โดยแทงตลอดเป็นโลกุตตระ เพราะทำนิโรธเป็นอารมณ์แล้วย่อมแทงตลอดสัจจะแม้ทั้ง ๔ โดยกิจ

    แสดงให้เห็นว่า การรู้ทุกข์มี ๒ อย่าง รู้โดยรู้ตาม ๑ และรู้โดยแทงตลอด ๑ โดยรู้ตาม คือ ขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ขณะที่เห็นกำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ในขณะนั้นจะไม่มีเสียงปรากฏในสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย และในขณะที่เสียงปรากฏ ทางหู ขณะนั้นจะไม่มีสีสันวัณณะใดๆ อยู่ในเสียงที่ปรากฏทางหูเลย

    เพราะฉะนั้น ขณะที่เห็นต้องดับก่อน จึงจะเป็นขณะที่ได้ยินเกิดขึ้น หรือขณะที่ได้ยินต้องดับก่อน ขณะที่เห็นจึงเกิดขึ้น นี่เป็นการรู้โดยรู้ตาม แต่ต้องให้ถึงการรู้ โดยแทงตลอดด้วย

    ข้อความต่อไป กล่าวถึงทุกข์โดยนัยต่างๆ คือ

    ทุกข์ทั้งหมดชื่อว่ามีเพียงอย่างเดียว โดยความเป็นไป

    เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย นี่คือความเป็นไปของทุกข์ ลักษณะของทุกข์

    มีใครจะให้สิ่งที่เกิดแล้วไม่ดับและไม่เปลี่ยนได้บ้าง ถ้าไม่รู้อาจจะคิดว่า ไม่ได้ดับไปเลยสักขณะเดียว แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ เข้าใจจริงๆ ประพฤติปฏิบัติตามจริงๆ ย่อมสามารถสังเกตได้ว่า ไม่มีใครยับยั้งสภาพธรรมที่เกิดให้คงอยู่ต่อไปได้ เพราะเกิดแล้วดับ เกิดขึ้นเพื่อความเป็นไปอยู่ตลอดเวลา

    ทุกข์ชื่อว่ามี ๒ อย่าง โดยนามและรูป

    นามก็เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไป ต้องเป็นนามที่เป็นสังขารธรรมด้วยที่เกิดขึ้นและดับไป รูปก็เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไป

    ทุกข์ชื่อว่ามี ๓ อย่าง โดยความต่างแห่งอุปัติภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

    แสดงว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทั้งสิ้น ทั้งในกามภพนี้ ทุกข์ คือ สภาพธรรมที่ เกิดดับเป็นไปอยู่ทุกขณะฉันใด ในรูปภพ คือ ในรูปพรหมภูมิ ก็ฉันนั้น ใน อรูปพรหมภูมิ ก็ฉันนั้น ไม่มีสักขณะเดียวซึ่งสภาพธรรมใดก็ตามที่เป็นสังขารธรรม เกิดแล้วจะไม่ดับ

    ทุกข์ชื่อว่ามี ๔ อย่าง โดยความต่างแห่งอาหาร ๔

    คือ กพฬีการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร

    ทุกข์ชื่อว่ามี ๕ อย่าง โดยความต่างแห่งอุปาทานขันธ์ ๕

    ที่จริงแล้วเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่เกิดดับเท่านั้นเอง แต่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงทุกข์โดยประการทั้งปวงเพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงให้ได้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายที่เป็นทุกขสัจจ์นั้น เพราะเหตุอย่างนั้นๆ

    และทุกข์ ๗ ประการ คือ

    ประการที่ ๑ ทุกขเวทนาทั้งที่เป็นไปทางกายและทางใจ ชื่อว่าทุกข์เพราะทน ได้ยาก เพราะเป็นสิ่งที่ทนได้ยากทั้งโดยสภาพและโดยชื่อ

    เวลาที่ไม่แยกทุกข์กายกับทุกข์ใจ ถ้ากล่าวรวมว่า ทุกข์ สภาพความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ก็หมายความถึงทั้งทุกขเวทนาทางกายและทางใจด้วย ชื่อว่าทุกข์เพราะทน ได้ยาก เวลาทุกข์กายเกิดขึ้น ทนไม่ไหว ใช่ไหม ปวดหัวตัวร้อน เป็นไข้ ทุกข์ใจเกิดขึ้นก็ทนไม่ไหวอีกเหมือนกัน มีการร้องไห้ เศร้าโศก คร่ำครวญต่างๆ เพราะ ทุกข์นั้นเป็นสภาพที่ทนได้ยาก

    ประการที่ ๒ สุขเวทนาชื่อว่าทุกข์ เพราะแปรปรวนไป เพราะเป็นเหตุ อุบัติทุกข์โดยความแปรปรวน

    แสดงให้เห็นว่า แม้แต่สุขเวทนาที่ทุกคนแสวงหาก็เป็นทุกข์ด้วย เพราะ สุขเวทนานั้นไม่ยั่งยืน เป็นทุกข์ เพราะแปรปรวนไป เพราะเป็นเหตุอุบัติทุกข์ โดยความแปรปรวน เวลาสุขหมดไป อะไรเกิดขึ้น ทุกข์เกิดขึ้น ถ้าทุกข์เกิดก็แสดงว่า สุขที่เกิดแล้วนั้นหมดไป ทุกข์จึงเกิดได้

    ประการที่ ๓ อุเบกขาเวทนาและสังขารธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ที่เหลือ ชื่อว่า ทุกข์แห่งสังขาร เพราะเป็นสิ่งที่ถูกความเกิดความดับบีบคั้น

    ไม่ได้กล่าวเฉพาะทุกขเวทนาและสุขเวทนา แต่แม้อุเบกขาเวทนาและ สังขารธรรมอื่นๆ ทั้งหมดที่เป็นไปในภูมิ ๓ คือ ในกามภูมิ ในรูปภูมิ ในอรูปภูมิ ชื่อว่าทุกข์แห่งสังขาร เพราะเป็นสิ่งที่ถูกความเกิดความดับบีบคั้น อย่างที่เคยได้ยินว่า สังขารทุกข์ ได้แก่ ทุกข์แห่งสังขารทั้งหลาย

    ประการที่ ๔ ความป่วยไข้ทางกายและทางใจ มีโรคลมเสียดหู โรคปวดฟัน และความเร่าร้อนเกิดแต่ราคะ ความเร่าร้อนเกิดแต่โทสะ เป็นต้น ชื่อว่าทุกข์ที่ปกปิด เพราะเป็นทุกข์ที่ต้องถามจึงจะรู้ และเพราะความพยายามไม่ปรากฏ

    ขณะนี้อาจจะมีบางท่านมีลมเสียดหู ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน แต่ใครจะรู้ หรือว่าท่านที่ไปหาหมอฟัน ทุกคนก็นั่งอยู่ที่ร้านของหมอฟัน ดูเป็นปกติ อ่านหนังสือบ้าง สนทนากันบ้าง แต่ความจริงกำลังปวดฟัน เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า ความป่วยไข้ทางกายและใจอย่างที่ไม่ปรากฏออกมาให้คนอื่นรู้นอกจากจะต้องถามว่า เป็นอะไร ซึ่งขณะนั้นก็จะตอบว่า เป็นอะไรที่ท้อง ที่ฟัน ที่ศีรษะ หรือที่อะไรต่างๆ นั่นแสดงว่า เป็นทุกข์ที่ปกปิด คือ เป็นทุกข์ที่ไม่ปรากฏ หรือแม้ความเร่าร้อนที่เกิดแต่ราคะ หรือความเร่าร้อนที่เกิดแต่โทสะ ก็ชื่อว่าเป็นทุกข์ที่ปกปิด

    กำลังอยากได้อะไร แต่ไม่บอกคนอื่น อาจจะอยากรับประทานอาหารรสนั้น รสนี้ แต่คนอื่นไม่สามารถทราบได้ ขณะที่มีความปรารถนา ความอยาก ความต้องการเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นความเร่าร้อนซึ่งเกิดเพราะความต้องการหรือความปรารถนา หรือในขณะที่ไม่พอใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่อดทนอดกลั้นไว้ ซึ่งขณะนั้นผู้อื่น ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ก็เป็นความเร่าร้อนที่เกิดแต่โทสะ แต่เมื่อไม่ปรากฏ จึงเป็นทุกข์ที่ปกปิด เพราะต้องถามจึงจะรู้ และเพราะความพยายามไม่ปรากฏ

    ประการที่ ๕ ความป่วยไข้ที่มีกรรมกรณ์ ๓๒ ประการเป็นต้น เป็นสมุฏฐาน (กรรมกรณ์ คือ การได้รับโทษทัณฑ์ด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ) ชื่อว่าทุกข์ที่ไม่ปกปิด เพราะเป็นทุกข์ที่ปรากฏ เป็นทุกข์ที่ไม่ต้องถามก็รู้ และเพราะความพยายามปรากฏ

    ประการที่ ๖ ทุกข์ที่มีชาติเป็นต้น เว้นทุกข์เพราะทนได้ยาก (คือ เว้นทุกขเวทนาและโทมนัสเวทนา) ชื่อว่าทุกข์โดยอ้อม เพราะเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์นั้นๆ

    ประการที่ ๗ ทุกข์เพราะทนได้ยาก ชื่อว่าทุกข์โดยตรง

    เพราะฉะนั้น ก็มีทั้งทุกข์โดยตรง ทุกข์โดยอ้อม ทุกข์ที่ไม่ปรากฏ คือ เป็นทุกข์ที่ปกปิด ทุกข์ที่ปรากฏ คือ เป็นทุกข์ที่ไม่ปกปิด และมีทุกข์ของสังขารธรรม มีทุกข์ของสุขเวทนาที่แปรปรวนไป และมีทุกขทุกข์ คือ ทุกข์ที่ทนได้ยากทั้งโดยสภาพ และโดยชื่อ

    . ทุกขสัจจะที่อาจารย์ได้ยกพระสูตรขึ้นมากล่าวว่ารู้ได้ง่าย แต่ข้อความ ในมหาสติปัฏฐานสูตรบอกว่า สัจจะเบื้องต้น ๒ รู้ได้ยากเพราะลึกซึ้ง และสัจจะเบื้องหลัง ๒ เพราะลึกซึ้งจึงรู้ได้ยาก ผู้ที่จะรู้สัจจะทั้ง ๔ นั้น อุปมาเหมือนคิดว่า จะเอาเท้าหยั่งถึงอเวจีมหานรก หรือจะเอามือจับภวัคพรหม แสดงว่าที่จะรู้สัจจะนั้นเป็นสิ่งที่ยาก แต่ทำไมพระสูตรที่อาจารย์ยกมาบอกว่า ทุกขสัจจะนั้นรู้ได้ง่าย

    ท่านอาจารย์ ที่กล่าวถึงนั้น หมายความถึงทุกข์ทั่วๆ ไป ไม่ได้หมายความถึงขั้นที่ เป็นทุกขลักษณะของสังขารธรรมทั้งหลาย ซึ่งการทรงแสดงธรรมนั้นต้องให้ผู้ฟังสามารถพิจารณาเข้าใจได้ตั้งแต่เบื้องต้นด้วย

    ไม่มีใครที่ไม่รู้จักทุกข์ ใช่ไหม

    เมื่อไม่มีใครที่ไม่รู้จักทุกข์ ก็หมายความว่า มีทุกข์ขั้นที่ทุกคนสามารถรู้ได้ว่า เป็นทุกข์ ซึ่งเป็นสัจธรรม เป็นของจริง เพราะไม่ว่าจะเป็นทุกขเวทนา หรือสังขารทุกข์ ก็เป็นสภาพธรรม

    ถ้ากล่าวถึงโดยลักษณะที่รู้ยาก ก็คือโดยขั้นที่ประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไป แต่ถ้าโดยขั้นที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ ก็คือขั้นที่ทุกคนพอจะรู้ได้ว่าทุกข์คืออย่างไร เพราะทุกคนล้วนแต่มีทุกข์ทั้งนั้น

    และการที่จะรู้ทุกขอริยสัจจะนั้นยังง่ายกว่าการที่จะรู้ทุกขสมุทยสัจจะที่จะเห็นว่า โลภะ ความยินดี ความเพลิดเพลิน ความพอใจในสิ่งใด เป็นเหตุของความทุกข์

    เวลาที่กำลังเพลิดเพลินยินดี ไม่เห็นหรอกว่าเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะกำลังพอใจ เมื่อเป็นความเพลิดเพลินยินดีก็ต้องการสิ่งซึ่งน่าเพลิดเพลินยินดีนั้น จึง ไม่สามารถเห็นได้ว่า โลภะหรือความยินดีความต้องการนั้น เป็นทุกขสมุทยสัจจะ

    . คำว่า ทุกข์ เป็นคำที่น่าศึกษามาก ผู้ที่ไม่ศึกษาหรือศึกษาอย่างผิวเผิน ก็เข้าใจว่า ทุกข์เป็นเพียงทุกขเวทนาเท่านั้น ซึ่งคำว่า ทุกขทุกข์ กับทุกขอริยสัจจะ มีความหมายแตกต่างกันมาก ทุกข์ในสามัญลักษณะ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น พอจะเข้าใจว่า เป็นทุกข์จากการเกิดดับ แต่ในทุกขอริยสัจจะ ในอริยสัจจ์ ๔ นั้น ขึ้นต้นด้วยทุกข์ ถ้าจะแปลว่าเกิดดับ อริยสัจข้อที่ ๒ สมุทัย รู้สมุฏฐานของการเกิดดับ หรือข้อที่ ๓ คือ นิโรธ การดับทุกข์ การดับของความเกิดดับ ก็รู้สึกจะซ้ำซ้อน จนกระทั่งนิโรธคามินีปฏิปทา ก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง เรียนถามว่า ทุกข์ไหนที่เป็น ทุกขอริยสัจจะ รวมทุกขทุกข์ด้วย ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ทุกข์ทุกอย่างดังที่กล่าวถึงแล้ว ทุกข์ ๗ ประการ คือ ๑. ทุกขเวทนา ที่เป็นทางกายและใจ เป็นทุกขทุกข์ ชื่อว่าทุกข์เพราะทนได้ยาก นี่ก็เป็นทุกข์ สุขเวทนาชื่อว่าทุกข์เพราะแปรปรวนไป นี่ก็เป็นทุกข์ อุเบกขาเวทนาและสังขารธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ที่เหลือ ชื่อว่าทุกข์แห่งสังขาร หรือสังขารทุกข์ เพราะเป็นสิ่งที่ถูกความเกิดความดับบีบคั้น ตลอดไปจนถึงทุกข์ประการที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ คือ ทุกข์โดยตรง ทุกข์โดยอ้อม ทุกข์ที่ปกปิด หรือทุกข์ที่ไม่ปกปิด เหล่านี้เป็นทุกข์ทั้งนั้น โดยสรุป คือ ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ทั้ง ๕ ขันธ์เป็นทุกข์

    . สำหรับขันธ์ ๕ ที่เป็นทุกข์นั้น ฟังแล้วเข้าใจว่า คือ การเกิดดับของนามธรรม ถูกไหม แต่ทุกข์ในอริยสัจจะนั้น ...

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ ทุกข์ในอริยสัจจะพ้นจากขันธ์ ๕ ได้ไหม

    . ก็ไม่พ้นขันธ์ ๕

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สรุปว่า ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ได้ไหม

    . ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ แน่นอนอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ ง่ายกว่าที่จะนึกถึงทุกข์อื่นๆ ใช่ไหม ถ้าคิดเพียงว่า ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์

    ผู้ฟัง คำว่า ทุกข์ ที่คนทั่วไปเข้าใจนั้น มักจะเข้าใจแต่ทุกขเวทนา เช่น เมื่อนั่งนานๆ ก็พยายามยืนขึ้นเพื่อให้ทุกข์นั้นหายไป เมื่อยืนนานๆ ก็เมื่อย ก็นั่งลง อะไรอย่างนั้น มีคนเข้าใจคำว่า ทุกข์ เพียงเท่านี้ไม่น้อยทีเดียว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้โดยเพียงรู้ทุกข์อย่างนั้น

    . เมื่อกี้อาจารย์กล่าวว่า ทุกข์ทุกอย่างเป็นทุกข์หรือ

    ท่านอาจารย์ ใช่ ทั้ง ๗ ประการ หรือจะกล่าวว่า ...

    . ก็แค่ ๗ ประการเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ จะอย่างที่ ๑ ก็ได้ จะอย่างที่ ๒ ก็ได้ จะอย่างที่ ๓ ก็ได้ จะอย่างที่ ๔ ก็ได้ จะอย่างที่ ๕ ก็ได้

    . ทุกข์ต้องเกิดดับ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    . สิ่งที่ไม่เกิดดับ ไม่ใช่ทุกข์

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะฉะนั้น ทุกข์ทุกอย่าง

    . ยกเว้นนิพพาน

    ท่านอาจารย์ ข้อความใน สัมโมหวิโนทนี ได้แสดงถึงทุกข์ทั้งหลายที่เป็น ทุกขอริยสัจจะ เช่นที่ถามว่า ก็ชาตินี้เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์ชนิดไหน เพราะว่าชาติ ความเกิดเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงมีคำถามว่า ก็ชาตินี้เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์ชนิดไหน เฉลยว่า ชาตินี้เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งทุกข์ทั้งหมด คือ ทุกข์ที่เกิดในอบาย ในมนุษย์ และในภูมิอื่นๆ สภาพธรรมทั้งหลายที่มีการเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในภูมิใดทั้งสิ้น โดยชาติ คือ การเกิด ย่อมนำมาซึ่งทุกข์ทั้งปวง

    . การเจริญอานาปานสติ ผมระลึกที่ลมหายใจ รู้สึกว่าลมหายใจ แผ่วเบาลง และมีอาการตึงที่หน้าผาก เป็นอาการของจิตหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ความรู้สึกเป็นจิต ลักษณะที่ตึงเป็นรูป เพราะจิตตึงไม่ได้ แต่รูปตึงได้ ในขณะที่รู้สึกตึง ความรู้สึกนั้นเป็นจิต เป็นกายวิญญาณ เพราะเป็นสภาพที่รู้สิ่งที่ปรากฏที่กาย

    . สิ่งนั้นควรยึดไหม

    ท่านอาจารย์ การเจริญภาวนาประเภทหนึ่งประเภทใด ควรประกอบด้วยเหตุผลอย่างละเอียดจริงๆ ก่อนที่จะเจริญภาวนาประเภทนั้น อย่าเพียงคิดว่า อยากจะทำ

    มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งบอกว่า เวลาที่ท่านโกรธ ท่านก็ไม่ใส่ใจ แต่ไปจ้องอยู่ที่อื่น ซึ่งในขณะนั้นรู้สึกว่าความโกรธหายไป ชอบที่จะทำอย่างนั้นบ้างไหม

    ทุกคนไม่ชอบความโกรธ เวลาที่เกิดโกรธก็หาวิธี เช่น จ้องที่หนึ่งที่ใดเพื่อที่จะไม่โกรธ และในขณะนั้นก็ไม่โกรธจริงๆ เพราะว่าไม่ใส่ใจในสิ่งที่ทำให้โกรธ ไปเพ่งจ้องสิ่งอื่นเพื่อที่จะให้ไม่โกรธ ทำอย่างนั้นจะดีไหม

    นี่เป็นเรื่องเหตุผลซึ่งจะต้องพิจารณาโดยละเอียด ในขณะที่จ้องที่อื่นเพื่อจะ ไม่โกรธ ขณะนั้น คือ ให้มีโลภะที่จะจดจ้องที่อื่นแทนโทสะ ถูกไหม ไม่ใช่เรื่องของปัญญา แต่เป็นการหาวิธีที่จะไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้นมาก ซึ่งการอบรมเจริญภาวนา อย่าลืมว่า ต้องเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ คือ ต้องประกอบด้วยปัญญา

    ท่านผู้ฟังท่านหนึ่งบอกว่า เวลาที่ท่านจะเจริญพุทธานุสสติ ระลึกถึง พระพุทธคุณ ยากและก็ยาว เพียงแต่พุทโธก็จะต้องนึกถึงพระคุณต่างๆ กว่าจะได้รู้ว่า นั่นคือมหากุศลจิตซึ่งเป็นไปในการระลึกถึงพระพุทธคุณ แสดงให้เห็นว่า การที่จะให้กุศลจิตเกิดจริงๆ ไม่ใช่เพียงท่องเฉยๆ แต่ผู้ใดก็ตามที่ได้ศึกษาธรรมอย่างซาบซึ้งในพระธรรม ไม่ว่าจะในพระสูตร ในพระอภิธรรม ในพระวินัย ในอรรถกถา หรือในชาดกต่างๆ เมื่อได้ระลึกถึงพระมหากรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ ที่ได้ทรงแสดงพระธรรมไว้เป็นอันมาก เพียงคำว่า พุทโธ คำเดียว สามารถที่จะเกิดปีติอย่างล้นเหลือได้ เช่นเดียวกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเมื่อได้ยินคำว่า พุทโธ เพราะฉะนั้น แต่ละบุคคลก็สังเกตจิตในขณะที่ระลึกถึงคำว่า พุทโธ

    เมื่อเริ่มศึกษาธรรมก็ทราบว่า พุทโธ เป็นคำที่กล่าวถึง หรือระลึกถึง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงระลึกถึง ก็เหมือนกับการคิดถึงคนอื่น ใช่ไหม แต่จะต่างกันมากน้อยแค่ไหนอย่างไรขึ้นอยู่กับ เวลาที่ได้ศึกษาพระธรรมและ เข้าใจ เป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานก็มีปัญญายิ่งขึ้น แม้แต่ขณะที่สวดมนต์ เพียงระลึกถึงพุทโธด้วยจิตที่เป็นกุศลก็เพิ่มกำลังขึ้นได้ ซึ่งในขณะนั้นจะมีลักษณะของกุศลที่ประกอบด้วยความสงบ และจะรู้ว่าการที่จิตจะสงบต้องระลึกถึงสิ่งที่ทำให้ จิตสงบโดยอาการอย่างไร

    ท่านผู้นั้นได้ถามถึงเรื่องอานาปานสติว่า ท่านระลึกที่ลมหายใจ ทำอย่างไรจึงจะให้เป็นกุศล ก็ยังเป็นผู้ตรงที่รู้ว่า ขณะระลึกที่ลมหายใจไม่ใช่จะเป็นกุศลเสมอไป ไม่ใช่ว่าเด็กเล็กๆ ระลึกที่ลมหายใจโดยไม่รู้อะไรและจะเป็นกุศล แต่การที่ผู้ใดจะระลึกที่ลมหายใจด้วยกุศลจิต ต้องเป็นผู้ที่พร้อมด้วยสติสัมปชัญญะคือปัญญาจริงๆ ที่รู้ว่าเพราะอะไรขณะที่ระลึกที่ลมหายใจแล้วจิตเป็นกุศลได้ ซึ่งดิฉันได้เรียนให้ทราบว่า เพียงการระลึกที่ลมหายใจและจิตจะเป็นกุศลในขั้นต้นยังยากอย่างนี้ ที่จะให้เป็น อานาปานสติสมาธิจะยิ่งยากขึ้นอีกสักเท่าไร เพราะเพียงขั้นต้นที่จะระลึกด้วยจิตที่สงบ ก็ยังไม่ทราบว่า จะระลึกอย่างไรกุศลจิตจึงจะเกิดและสงบ

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่การไปจดจ้องอยู่ที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดและเข้าใจว่า ในขณะนั้นเป็นภาวนาที่เป็นภาวนามัย คือ กุศลที่สำเร็จด้วยการอบรมเจริญทางใจ เป็นเรื่องที่ละเอียด มิฉะนั้นจะเป็นมิจฉาสมาธิ ทิ้งไป ถ้าในขณะนั้นไม่ประกอบด้วยปัญญา

    . เข้าใจแล้ว ผมเป็นผู้ปฏิบัติใหม่ ขอถามต่อไปว่า การที่ผมอ่านหนังสือและระลึกที่ลมหายใจ เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ

    ท่านอาจารย์ ระลึกอย่างไรจิตจึงสงบ การระลึก สามารถระลึกที่หนึ่งที่ใดก็ได้ ที่กายที่กระทบ ที่ลมที่กระทบกาย ระลึกถึงคนนั้นคนนี้ก็ได้ แต่ในขณะนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่า จิตสงบหรือไม่สงบ เพราะว่าสภาพที่ระลึกมีจริง แต่สภาพที่ระลึกที่เป็นอกุศลก็มี สภาพที่ระลึกที่เป็นกุศลก็มี ถ้ายังแยกลักษณะสภาพที่ระลึกที่เป็นกุศลกับสภาพที่ระลึกที่เป็นอกุศลไม่ได้ ก็อย่าทำอะไร เพราะไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นเรื่องการอบรมเจริญด้วยปัญญาพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ

    . การอ่านหนังสือและระลึกที่ลมหายใจนั้น ถือว่ามีสติหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เวลาที่กระทบหนังสือและรู้ว่าแข็ง มีสติหรือเปล่า เวลาที่ได้ยินเสียง เสียงปรากฏ มีสติหรือเปล่า

    . มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นมีสติทั้งวัน นี่เป็นสิ่งซึ่งจะต้องพิจารณาว่า ขณะที่กำลังรู้แข็ง กับขณะที่สติระลึกที่แข็ง ขณะที่กำลังรู้ลมที่กระทบ กับขณะที่ระลึกที่ลักษณะของลมที่กระทบด้วยปัญญา อย่าทิ้งคำว่าด้วยปัญญา ไม่ใช่ระลึกเฉยๆ ถ้าระลึก เฉยๆ ไม่ใช่การอบรมเจริญสมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนา เพราะการเจริญภาวนาต้องเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ คือ ประกอบด้วยปัญญา

    เพราะฉะนั้น ในวันหนึ่งๆ ควรจะพิจารณาว่า ขณะที่ประกอบด้วยปัญญา ต่างกับขณะที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา จึงจะอบรมเจริญภาวนาได้

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์กล่าวว่า ผู้ที่จะเจริญพุทธคุณนั้นใช้เวลานาน นั่นคือผมเอง ผมสังเกตว่า ก่อนที่จิตจะเป็นกุศลเพราะระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้น ผมต้องนึกใคร่ครวญว่า พระองค์มีพระมหากรุณาคุณมากเหลือเกิน เมื่อตรัสรู้ใหม่ๆ นั้น ก็นึกถึงปัญจวัคคีย์ซึ่งอยู่ไกลถึง ๑๕๐ กม. จากพุทธคยาถึงพาราณสี ๑๕๐ กม. พระองค์ต้องเสด็จดำเนินไปเพื่อที่จะโปรด เมื่อเสด็จดำเนินไปโปรดพระปัญจวัคคีย์แล้ว โปรดพระยสะแล้ว ก็กลับมาที่พุทธคยามาโปรดชฎิลดาบสอีก ผมนึกนานกว่าจะ รู้สึกว่าจิตเป็นกุศล นี่เป็นความจริง เมื่ออาจารย์บอกว่า บางคนได้สะสมเหตุปัจจัย ในเรื่องของกุศลมามากเพียงแต่ได้ยินว่า พุทโธ เท่านั้น จิตก็เป็นกุศล ตรงนี้ผมเข้าใจหลักสมถะได้ลึกซึ้งทีเดียว

    ท่านอาจารย์ ท่านผู้หนึ่งเล่าให้ฟังถึงชีวิตประจำวันของท่านว่า ท่านเป็นผู้ที่สนใจในการฟังธรรม และในการเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน แต่สติก็เป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ แล้วแต่ว่าขณะใดมีปัจจัยที่สติจะเกิดสติก็เกิด วันหนึ่งขณะที่ท่านลงบันได สติเกิดระลึกที่แข็ง ตอนแรกระลึกแข็งที่เท้าที่กระทบพื้น ต่อจากนั้นระลึกแข็ง ที่มือที่จับราวบันใด ซึ่งท่านถามว่า เป็นการถูกต้องไหม

    ขณะนั้นสติเกิดระลึกลักษณะของแข็ง แต่ขอให้สังเกตว่า สำหรับผู้ที่เริ่มอบรมเจริญสติปัฏฐาน สภาพธรรมเกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็ว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 20
    24 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ