จิตปรมัตถ์ ตอนที่ 125


    และวันหนึ่งๆ ถ้าเมตตายังไม่มากจริงๆ แม้จะระลึกถึงเมตตาบ้าง หรือว่าคิดถึงคนอื่นในทางที่ดี ก็ยังมีเหตุที่จะทำให้โทสะความขุ่นเคืองใจเกิดได้ ไม่ได้ปราศจากโทสะเลย เพราะว่าเชื้อปัจจัยที่จะให้เกิดโทสะยังมีอยู่มาก แต่สามารถพิจารณาได้ว่า วันหนึ่งๆ มีเมตตาเกิดเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ถ้ายังไม่มีเมตตาเพิ่มขึ้น แต่มีปัจจัยของโทสะเพิ่มขึ้น ต่อไปข้างหน้าก็ยังคงต้องมีโทสะมาก จนกว่าจะค่อยๆ อบรมเจริญเมตตา ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ใจคิดนึก ก็ย่อมประกอบด้วยเมตตาได้

    ถ้าเมตตาไม่มีในวันนี้ จะให้มีเมตตาถึงอุปจาระและอัปปนาสมาธิได้ไหม

    ท่านที่คิดว่าจะเจริญเมตตาให้ถึงอัปปนาสมาธิหรือฌานจิต ควรพิจารณาว่า วันนี้คิดถึงใคร ลองคิดถึงคนที่โกรธ เป็นการพิสูจน์การอบรมเจริญเมตตา คิดถึงคนที่เคยโกรธ และวันนี้ขณะที่กำลังคิดถึงจิตเป็นอย่างไร ถ้ายังโกรธเท่าเดิมแสดงว่า เมตตายังน้อยมาก แต่ถ้าระลึกถึงคุณความดี ถึงธรรมต่างๆ ด้วยประการทั้งปวงที่จะให้โกรธคนนั้นน้อยลง และระลึกบ่อยๆ ทุกวัน ถ้าความโกรธนั้นน้อยลงก็แสดงว่าเมตตาในคนนั้นเพิ่มขึ้น แต่ยังต้องเป็นผู้ที่มีสติระลึกได้ด้วยว่า แม้คนที่ไม่เคยโกรธ ก็อาจจะเกิดโกรธขึ้นมาเมื่อไรก็ได้อีกเหมือนกัน เพราะว่าความโกรธหรือโทสะนั้น ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท

    . พระโสดาบันท่านละกุกกุจจะได้เป็นสมุจเฉท ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ข้อความใน อัฏฐสาลินี แสดงว่า พระโสดาบันละกุกกุจจะ แต่ใน สัมโมหวิโนทนี สติปัฏฐานวิภังคนิทเทส แสดงว่า อนาคามิมรรคละกุกกุจจะ

    เพราะฉะนั้น พระโสดาบันบุคคลละกุกกุจจะตามระดับขั้นของพระโสดาบัน เช่นเดียวกับพระสกทาคามีที่ละความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อย่างหยาบ แต่ไม่ได้หมายความว่าดับหมดอย่างพระอนาคามี สำหรับส่วนที่หยาบ พระสกทาคามีท่านละได้ฉันใด พระโสดาบันบุคคลก็ละกุกกุจจะตามระดับขั้นของ ท่านได้ฉันนั้น

    . เจตสิกที่เกิดร่วมกับโทสะ ก็มีอิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่เกิดพร้อมกัน เวลาที่โทสะเกิด อาจจะไม่มีอิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะเกิดด้วยเลย หรืออาจจะมีกุกกุจจะเกิดร่วมด้วย แต่ไม่มีอิสสาและมัจฉริยะเกิดร่วมด้วย หรืออาจจะมีมัจฉริยะเกิดร่วมด้วย แต่ไม่มีอิสสาและกุกกุจจะเกิดร่วมด้วย

    . เมื่อทั้งสองแห่งขัดแย้งกัน เราจะถืออะไรเป็นที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ต้องถือข้อความในพระไตรปิฎกที่แสดงว่า พระอริยบุคคลละอกุศลธรรมที่เกิดร่วมกันโดยฐานะนั้นๆ สำหรับอิสสาและมัจฉริยะไม่มีปัญหาเพราะว่าข้อความตรงกันทุกแห่ง ข้อความที่ไม่ตรงกันมีเฉพาะกุกกุจจะเท่านั้น ซึ่งจะต้องละตามฐานะหรือตามระดับขั้นของพระอริยบุคคล

    การคิดถึงคนที่เคยโกรธเป็นสิ่งที่ดี เพื่อที่จะได้รู้ว่า ความโกรธนั้นลดน้อยลงหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นอโยนิโสมนสิการก็ตรงกันข้าม คือ ยิ่งคิดยิ่งโกรธ ถ้าเป็น โยนิโสมนสิการจะเห็นว่า ไม่เป็นประโยชน์เลยในการที่จะให้ความโกรธนั้นเกิดขึ้นอีก

    ข้อความต่อไปมีว่า

    อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อการละพยาบาท คือ

    ๑. การเรียนเมตตานิมิต

    ๒. การประกอบเนืองๆ ในเมตตาภาวนา

    ๓. การพิจารณากัมมัสสกตา

    ๔. การกระทำการใคร่ครวญให้มาก

    ๕. ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร

    ๖. สัปปายกถา

    ท่านที่ไม่ชอบความโกรธ ควรพิจารณาธรรมที่เป็นไปเพื่อละความโกรธ เพราะถ้าไม่ชอบความโกรธและไม่รู้ว่าจะละอย่างไร ย่อมไม่สามารถที่จะละได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่อยากโกรธจริงๆ จะต้องสนใจในธรรม ๖ ประการ ซึ่งเป็นไปเพื่อการละพยาบาท

    จริงอยู่ แม้เมื่อเรียนเมตตาด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปสู่ทิศโดยเจาะจงและ ไม่เจาะจง อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมละพยาบาทได้

    . แผ่อย่างไร ที่ว่าเจาะจงไปทิศต่างๆ และไม่เจาะจงในทิศต่างๆ

    ท่านอาจารย์ เวลาที่คิดถึงใคร อาจจะคิดถึงคนโน้นคนนี้คนนั้นแต่ละสารทิศได้ไหม และเวลาคิดถึงแล้ว โกรธไหม เพราะฉะนั้น เวลาที่คิดถึงบุคคลต่างๆ อย่าคิดถึงเพียงคนเดียวซึ่งเราไม่โกรธ โดยเจาะจงหรือไม่เจาะจง หมายความถึงในขั้นที่เมื่อเรียนเรื่องเมตตาแล้วก็ควรทดสอบการเจริญเมตตาของตนเองว่า ได้เจริญเมตตาจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเรียนเฉยๆ รู้ว่าเมตตาเป็นธรรมที่ละพยาบาท เป็นธรรมฝ่ายตรงกันข้ามเท่านั้น นั่นไม่พอ แต่การที่จะไม่โกรธ ต้องด้วยการมีเมตตา เพราะฉะนั้น ในวันนี้โกรธใคร วันก่อนโกรธใคร ยังโกรธอยู่หรือเปล่า

    เมื่อเรียนเมตตาด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปสู่ทิศโดยเจาะจงและไม่เจาะจง อย่างใดอย่างหนึ่ง

    นี่เพียงในขั้นของการเรียน ยังไม่ถึงขั้นการมีเมตตาเจโตวิมุตติ คือ ถึงขั้น อัปปนาสมาธิที่จะแผ่ไปได้จริงๆ แต่เพียงในขั้นเริ่มต้นก่อน คือ การระลึกถึงบุคคล นั้นบ้าง บุคคลนี้บ้าง ในทิศต่างๆ อาจจะคิดถึงคนที่อยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ ก็ได้ เพื่อนฝูงที่อยู่ไกลก็ได้ อาจจะเคยโกรธเคืองมาก แต่เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร เพราะว่าจดหมายฉบับหนึ่งอาจจะทำให้โกรธได้ไหม ได้ ไม่เห็นหน้าเลย เพียงแต่อ่านจดหมายก็โกรธ

    เพราะฉะนั้น การที่จะพิจารณาว่า เป็นผู้ที่เจริญเมตตา เข้าใจเรื่องเมตตา และปฏิบัติจริงๆ คือ คิดดูว่าโกรธใครบ้าง และความโกรธลดลงไหม

    แม้เมื่อเรียนเมตตาด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปสู่ทิศโดยเจาะจงและไม่เจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมละพยาบาทได้

    ท่านที่ต้องการจะเจริญเมตตา วันนี้ก็พิสูจน์ได้ ยังโกรธใครบ้างหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เป็นสหายธรรม อาจจะขุ่นเคืองใจบ้างก็ได้ เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ ลืมหรือยัง ถ้ายังไม่ลืม ที่เรียนเรื่องเมตตา อยู่ที่ไหน และที่จะแผ่ อยู่ที่ไหน

    แม้เมื่อเจริญเมตตาด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปสู่ทิศที่เจาะจงและไม่เจาะจง ก็ย่อมละพยาบาทได้

    แม้เมื่อพิจารณากัมมัสสกตาของตนและของผู้อื่นอย่างนี้ว่า ท่านโกรธเขา แล้วจะทำอะไรเขาได้ จักอาจเพื่อยังคุณมีศีลเป็นต้นของเขาให้พินาศไปได้หรือ เขามาด้วยกรรมของเขา เขาก็จักไปด้วยกรรมของเขานั่นแหละมิใช่หรือ ขึ้นชื่อว่าความโกรธผู้อื่น ย่อมเป็นเช่นกับผู้ต้องการจับถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลว จับซี่เหล็กอันร้อนและคูถเป็นต้น แล้วประหารผู้อื่น

    แม้บุคคลอื่นโกรธเราแล้วจักทำอะไรเราได้ จักอาจเพื่อยังคุณมีศีลเป็นต้นของเราให้พินาศไปได้หรือ เรามาด้วยกรรมของเรา แล้วก็จักไปด้วยกรรมของเราเท่านั้น ความโกรธนี้จักตกไปเบื้องบนเขาแน่นอน เหมือนกับของที่บุคคลไม่ยอมรับ และเหมือนกับกำธุลีซัดไปทวนลม ดังนี้ ก็ย่อมละความโกรธได้

    เป็นการพิจารณาถึงความที่ทุกคนมีกรรมเป็นของของตน และถ้าคิดอย่างนี้ จริงๆ ยังจะโกรธต่อไปไหม คนไหนโกรธ คนนั้นเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น คนที่ไม่โกรธ ไม่มีคนอื่นจะทำให้เดือดร้อนได้เลย

    ผู้ฟัง สมัยที่ยังไม่เรียนธรรม คนที่เราโกรธจัดๆ รวมแล้วเกือบ ๑๐ คน ก็เรียงลำดับว่า คนนี้เดี๋ยวนี้เรายังโกรธเขาอยู่แค่ไหน คนนั้นลดลงไปบ้างแล้วหรือยัง สมัยที่ยังไม่ได้เรียนธรรม ยังไม่รู้จักเมตตา ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องของกรรม สมัยนี้ก็ นึกถึงอยู่เหมือนกัน ซึ่ง ๗ – ๘ คน หรือ ๑๐ คนนั้น ผมก็ยังมีความโกรธอยู่บ้าง แต่น้อยลงไป ไม่ใช่เพราะอาศัยปัญญา แต่เพราะเวลาที่ห่างออกไปๆ จึงไม่โกรธ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาจริงๆ ว่า ที่หายโกรธนั้นเพราะอะไร เพราะลืม เพราะไม่สนใจ หรือเพราะรู้ว่าความโกรธไม่มีประโยชน์ เต็มไปด้วยโทษ เหมือนกับคนที่จับถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลว หรือจับซี่เหล็กอันร้อน และคูถ คือ ของสกปรก ของไม่สะอาด เป็นต้น แล้วประหารคนอื่น

    ผู้ฟัง บางทีไม่อยากโกรธ แต่คนเราอยู่ด้วยกัน ถ้าเราทำดีมากๆ เช่น มีอัธยาศัยดี มีความโอบอ้อมอารี มีความเผื่อแผ่ แต่เขาก็ไม่รู้จักคำว่า พอดี ถ้าเราทำโกรธบ้าง ให้เขารู้สึกว่าเขาทำความผิด เมื่อเราแสดงกิริยาโกรธโดยแสดงสีหน้าหรือท่าทาง ผู้ที่ถูกเราโกรธ เขาจะรู้สึกตัว และดีขึ้น

    ท่านอาจารย์ ตอนแรกๆ ที่ยังไม่ได้พิจารณาธรรมโดยละเอียด จะคิดอย่างนี้ และจะทำอย่างนี้ แต่ถ้าเห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อยของความโกรธ ยังอยากจะทำอย่างนั้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ตอนแรกที่ยังไม่ได้ศึกษา คิดว่าจะต้องโกรธให้เห็น

    ท่านอาจารย์ โดยมากจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าศึกษาโดยละเอียดจริงๆ จะเริ่มเห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อยของความโกรธหรือของอกุศล และถ้าเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ยิ่งจะรู้ว่า เพียงแต่ต้องการแสดงอย่างนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควร เป็นการสะสม อกุศลธรรม ต้องพยายามขัดเกลาไปเรื่อยๆ จริงๆ ในทางโลกอาจจะคิดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ ในทางธรรม ต้องเป็นผู้ตรง คือ กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล และที่คิดว่าได้ผล ที่จริงถ้าได้ผลทั้งสองฝ่ายต้องเป็นกุศล ไม่ใช่เพราะอกุศลจึงทำให้ดีทั้งสองฝ่าย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะอกุศลดีไม่ได้ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ ไม่สามารถทำให้ได้รับผลที่เป็นสุข เพราะว่าอกุศลธรรมทั้งหลายทำให้เกิดทุกข์

    ข้อความต่อไปมีว่า

    เมื่อตั้งอยู่ในความใคร่ครวญ พิจารณากัมมัสสกตาทั้งสองก็ดี เมื่อ เสพกัลยาณมิตรผู้ยินดีในเมตตาภาวนาเช่นกับพระอัสสคุตตเถระก็ดี ย่อมละพยาบาทได้

    มีคำว่า ใคร่ครวญ เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาจริงๆ ให้เห็นว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล โดยเฉพาะเรื่องของกัมมัสสกตาทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ทั้งเขาและเรา ไม่ว่าเราจะเป็นผู้โกรธ หรือเขาจะโกรธเราก็ตาม เพราะถ้าเราโกรธคนอื่น ข้อความมีว่า ท่านโกรธเขาแล้วจะทำอะไรเขาได้

    ทำได้ไหม เวลาโกรธคนอื่นซึ่งไม่โกรธ แต่จะทำได้กับผู้ที่ยังโกรธอยู่

    ถ้าคนนั้นเป็นผู้ที่ไม่โกรธ เราจะทำอะไรเขาได้ เพราะทำอย่างไรๆ เขาก็ไม่โกรธ แม้จะทำอย่างไรก็ตามแต่ จักอาจเพื่อยังคุณมีศีลเป็นต้นของเขาให้พินาศไปได้หรือ

    ถ้าเขาเป็นผู้ที่มีศีล มีคุณ ความโกรธของเราสามารถจะทำให้เขาเป็นผู้ที่ หมดคุณ หมดศีล ได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความโกรธไม่มีประโยชน์เลย นอกจากนั้น ยังต้องได้รับผลจากความโกรธของตนเอง และเวลาที่คนอื่นโกรธท่าน ท่านไม่ควรโกรธตอบด้วย แต่ควรพิจารณาใคร่ครวญว่า แม้บุคคลอื่นโกรธเราแล้ว จักทำอะไรเราได้ จักอาจเพื่อยังคุณมีศีลเป็นต้นของเราให้พินาศไปได้หรือ

    ถ้าท่านเป็นคนดี และคนอื่นโกรธ คนที่โกรธท่านไม่สามารถทำให้ท่านเสื่อมจากคุณ จากศีลของตัวท่านได้เลย เพราะว่ายิ่งเขาโกรธ ก็ยิ่งเป็นโทษสำหรับเขา ต้องใคร่ครวญและอย่าลืมว่า เมื่อตั้งอยู่ในความใคร่ครวญ พิจารณากัมมัสสกตาทั้งสอง ก็ดี เมื่อเสพกัลยาณมิตรผู้ยินดีในเมตตาภาวนาเช่นกับพระอัสสคุตตเถระก็ดี ย่อมละพยาบาทได้

    นอกจากนั้น

    ย่อมละพยาบาทได้ แม้ด้วยสัปปายกถาอันอาศัยซึ่งเมตตาเป็นต้น ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ธรรม ๖ ย่อมเป็นไปเพื่อการละพยาบาท ดังนี้ ภิกษุนั้นย่อมทราบชัดว่า พยาบาทอันละด้วยธรรม ๖ เหล่านี้ ไม่เกิดต่อไปด้วยอนาคามิมรรค ดังนี้

    ถึงแม้ว่าจะศึกษาธรรม ใคร่ครวญธรรม พิจารณาธรรม และเจริญเมตตา แต่ ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ถึงแม้ว่าโทสะจะไม่เกิดบ่อยอย่างที่เคย หรือว่าลดน้อย เบาบางลงไปก็ตาม แต่ยังไม่หมดความขุ่นเคืองใจแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ โดยสิ้นเชิง จนกว่าจะบรรลุความเป็นพระอนาคามีบุคคล นี่คือการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    และอกุศลทั้งหลาย คือ อกุศลเจตสิก ย่อมเกี่ยวข้องสัมพันธ์เป็นปัจจัยแก่กันและกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงรากของความโกรธใน ขุททกนิกาย มหานิทเทส สารีปุตตสุตตนิทเทสที่ ๑๖

    ข้อความมีว่า

    รากแห่งความโกรธ ในคำว่า พึงขุดรากความโกรธและความดูหมิ่นนั้นดำรงอยู่ เป็นไฉน อวิชชา อโยนิโสมนสิการ อัสมิมานะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ เป็นรากแห่งความโกรธ

    รากแห่งความดูหมิ่นเป็นไฉน อวิชชา อโยนิโสมนสิการ อัสมิมานะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ เป็นรากแห่งความดูหมิ่น

    เพราะฉะนั้น ขณะใดที่โกรธเกิดขึ้น ผู้ที่มีสติซึ่งได้ศึกษาธรรมและได้ฟัง พระธรรมโดยละเอียดจะระลึกได้ว่า ในขณะนั้นไม่ได้มีแต่โทสะอย่างเดียว ยังมีกิเลสอื่นๆ อยู่อีกมาก คือ ทั้งอวิชชา อโยนิโสมนสิการ อัสมิมานะ อหิริกะ อโนตตัปปะ และอุทธัจจะด้วย

    เพียงอกุศลธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกได้ว่า แม้ อกุศลธรรมอื่นๆ ก็ยังมีอยู่มากด้วย จึงเห็นความน่ารังเกียจของอกุศลธรรมที่มีอยู่ ในตนได้ เพราะมักจะรังเกียจอกุศลธรรมที่มีอยู่ในบุคคลอื่น แต่ผู้ที่ฉลาดต้องรังเกียจอกุศลธรรมที่มีอยู่ในตน

    ข้อ ๙๔๖ มีข้อความว่า

    ... อกุศลธรรมทั้งหลายเป็นฝักฝ่ายมาร เป็นบ่วงมาร เป็นเบ็ดมาร เป็น เหยื่อมาร เป็นวิสัยมาร เป็นเครื่องให้เดือดร้อนของมาร เป็นอาหารมาร เป็นเครื่องผูกของมาร เป็นฝักฝ่ายอกุศล เป็นเครื่องให้เกิดทุกข์ เป็นสภาพมีวิบากเป็นทุกข์ เป็นเหตุให้ไปนรก เป็นเหตุให้เกิดเป็นดิรัจฉานและเปรตวิสัย

    คงไม่มีใครอยากเกิดที่นั่นแน่ แต่ถ้ายังมีกิเลส ยังมีอกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ แสดงให้เห็นว่า ยังมีอาหารของมาร ยังมีเครื่องผูกของมาร ยังเป็นเยื่อของมาร เป็นวิสัยของมาร เป็นฝักฝ่ายอกุศล เป็นเครื่องให้เกิดทุกข์ เป็นสภาพมีวิบากเป็นทุกข์ เป็นเหตุให้ไปนรก เป็นเหตุให้เกิดเป็นดิรัจฉานและเปรตวิสัย

    โกรธเกิดขึ้นขณะเดียวคิดว่าไม่มาก แต่ทีละขณะ สองขณะไปเรื่อยๆ ย่อมเป็นเหตุที่สามารถไปสู่อบายภูมิได้

    เวลาที่ความโกรธเกิดขึ้น ถ้าพิจารณาจะเห็นได้ว่า ผู้ที่ยังโกรธ เพราะว่ายังมีความติด ความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความโกรธมาก แสดงว่า เป็นผู้ที่ติดมากในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งข้อความใน ขุททกนิกาย มหานิทเทส ปุราเภทสุตตนิทเทสที่ ๑๐ แสดงบุคคลที่โกรธเพราะเหตุต่างๆ คือ

    ข้อ ๔๑๐

    พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า บุคคลย่อมโกรธเพราะไม่ได้ลาภอย่างไร

    ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ยังโกรธ ขัดเคือง แค้นใจ ทำความโกรธ ความ ขัดเคือง และความไม่ยินดีให้ปรากฏว่า เราย่อมไม่ได้สกุล ไม่ได้คณะ ไม่ได้อาวาส ไม่ได้ลาภ ไม่ได้ยศ ไม่ได้สรรเสริญ ไม่ได้สุข ไม่ได้จีวร ไม่ได้บิณฑบาต ไม่ได้เสนาสนะ ไม่ได้คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ไม่ได้บุคคลเป็นคิลานุปฐาก เราเป็นผู้มีชื่อเสียงไม่ปรากฏ บุคคลย่อมโกรธเพราะไม่ได้ลาภอย่างนี้

    นี่เป็นชีวิตประจำวัน ถ้าได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในขณะนั้นจะมีความ ชื่นชมยินดีเพลิดเพลินพอใจ จะไม่เป็นปัจจัยให้เกิดความโกรธเลย แต่ในวันหนึ่งๆ พิจารณาดูว่า ที่ความโกรธ ความไม่พอใจ ความขุ่นเคืองใจ ความเสียใจ ความน้อยใจเกิด ก็เพราะไม่ได้ลาภ แม้เป็นภิกษุก็ยังมีความแค้นใจ ขัดเคือง ขณะที่รู้สึกว่า ไม่ได้สกุล ไม่ได้คณะ ไม่ได้อาวาส ไม่ได้ลาภ ไม่ได้ยศ ไม่ได้สรรเสริญ ไม่ได้สุข ไม่ได้จีวร ไม่ได้บิณฑบาต ไม่ได้เสนาสนะ ไม่ได้คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ไม่ได้บุคคลเป็นคิลานุปฐาก เราเป็นผู้มีชื่อเสียงไม่ปรากฏ บุคคลย่อมโกรธเพราะไม่ได้ลาภอย่างนี้ แต่ถ้าไม่ติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ก็ไม่เดือดร้อน เมื่อไม่ได้ ก็ไม่ได้

    การที่จะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะอะไร ต้องมีเหตุ ไม่ใช่ว่าธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ ต้องเป็นผลของกุศลที่ได้กระทำแล้ว ฉะนั้น ถ้าไม่ได้ทำกุศล และอยากได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ และบางคนเมื่อได้แล้วก็กลับเป็นโทษได้

    ข้อ ๓๘๕ มีข้อความว่า

    ... ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สะดุ้ง หวาดเสียว สยดสยอง ภิกษุนั้นย่อมสะดุ้ง หวาดเสียว สยดสยอง กลัว ถึงความสะดุ้งว่า เราไม่ได้สกุล ไม่ได้ หมู่คณะ ไม่ได้อาวาส ไม่ได้ลาภ ไม่ได้ยศ ไม่ได้สรรเสริญ ไม่ได้สุข ไม่ได้จีวร ไม่ได้บิณฑบาต ไม่ได้เสนาสนะ ไม่ได้คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ไม่ได้บุคคลผู้พยาบาลในคราวเป็นไข้ เราจะไม่เป็นผู้มีชื่อเสียงปรากฏ

    บางทีก็กลัวไปถึงอนาคตว่า จะไม่เป็นอย่างนั้น จะไม่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่มีความหวาดกลัว แม้แต่คฤหัสถ์ก็ยังกลัวอนาคตได้ว่า ต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะไม่ได้หมู่คณะ ไม่ได้ลาภ ไม่ได้ยศ ไม่ได้สรรเสริญ ไม่ได้สุขต่างๆ ซึ่งแสดงถึงความห่วงใยในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่ตามความจริงถ้าเป็นผู้ที่มั่นคงในกรรมก็หมดห่วงได้ เพราะว่าอารมณ์ที่ดีทั้งหลายต้องเป็นผลของกุศลกรรม เมื่อถึงเวลาที่กุศลกรรมให้ผลสิ่งต่างๆ ที่ดีย่อมกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย แม้ว่าจะปรารถนาหรือไม่ปรารถนาก็ตาม แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็ตรงกันข้าม

    เรื่องความสรรเสริญเป็นสิ่งซึ่งทุกคนติดอย่างมาก บางคนไม่อยากได้ลาภหรือยศ แต่ยังเป็นผู้ที่ปรารถนาความสรรเสริญ ซึ่งข้อความใน ปสูรสุตตนิทเทสที่ ๘ ข้อ ๒๗๗ มีว่า

    คำว่า เป็นผู้ใคร่ความสรรเสริญ กล่าวว่าตนเป็นคนฉลาด มีความว่า เป็นผู้ใคร่ความสรรเสริญ คือ เป็นผู้ใคร่ความสรรเสริญ ต้องการความสรรเสริญ ประสงค์ความสรรเสริญ มุ่งหมายความสรรเสริญ เที่ยวแสวงหาความสรรเสริญ

    คำว่า กล่าวว่าตนเป็นผู้ฉลาด คือ พูดว่าตนเป็นคนฉลาด พูดว่าตนเป็นบัณฑิต พูดว่าตนเป็นนักปราชญ์ พูดว่าตนเป็นผู้มีญาณ พูดว่าตนเป็นผู้มีเหตุ พูดว่าตนเป็นผู้มีลักษณะ พูดว่าตนเป็นผู้มีการณะ พูดว่าตนเป็นผู้มีฐานะ ด้วยลัทธิของตน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้ใคร่ความสรรเสริญ กล่าวว่าตนเป็นผู้ฉลาด

    เป็นโลภะนั่นเอง และถ้าไม่ได้อย่างนี้ ก็เป็นเหตุให้เกิดโทสะ ความขุ่นเคืองใจ ถ้าไม่ต้องการความสรรเสริญ จะกล่าวว่าตนเป็นผู้ฉลาดไหม ทำไมจึงกล่าวว่า ตนเป็นผู้ฉลาด ถ้าคิดกลับกันก็จะรู้ได้ว่า เพราะเป็นผู้ที่ใคร่ความสรรเสริญ และ ถ้าไม่ได้ก็ต้องเกิดความขุ่นเคืองใจ

    ปสูรสุตตนิทเทสที่ ๘ ข้อ ๒๘๐ มีคำอธิบายว่า

    คำว่า เมื่ออยากได้ความสรรเสริญ ย่อมเป็นผู้ลังเลใจ มีความว่า เมื่ออยากได้ความสรรเสริญ คือ เมื่ออยากได้ ยินดี ปรารถนา ชอบใจ รักใคร่ ความสรรเสริญ คือ ความชม ความมีเกียรติ ความยกย่องคุณ

    คำว่า ย่อมเป็นผู้ลังเลใจ คือ ก่อนแต่โต้ตอบย่อมเป็นผู้มีความสงสัย ลังเลใจ คือ ก่อนแต่โต้ตอบย่อมเป็นผู้สงสัยลังเลใจอย่างนี้ว่า เราจักมีชัยหรือไม่หนอ หรือเราจักปราชัย เราจักข่มเขาอย่างไร จักทำลัทธิของเราให้เชิดชูอย่างไร จักทำลัทธิของเราให้วิเศษอย่างไร จักทำลัทธิของเราให้วิเศษเฉพาะอย่างไร จักทำความผูกมัดเขาอย่างไร จักทำความปลดเปลื้องอย่างไร จักทำความตัดรอบวาทะเขาอย่างไร เราจักขนาบวาทะเขาไว้อย่างไร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเมื่ออยากได้ความสรรเสริญ ย่อมเป็นผู้ลังเลใจ

    นี่เป็นการแสดงทิฏฐิต่างๆ ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงให้เว้นการโต้เถียงกันในเรื่องทิฏฐิ หรือไม่ควรวิวาทในเรื่องของทิฏฐิ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 20
    24 ต.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ