พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 232


    ตอนที่ ๒๓๒

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙


    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้อะไร แล้วก็มีใครคนหนึ่งมาบอกให้เราทำจนกระทั่งเราทำแต่ว่าปัญญาไม่ได้รู้อะไร ไม่ได้ละการไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ทั้งๆ ที่สิ่งที่กำลังปรากฏกำลังมี รู้ยาก และละยาก ต้องอาศัยการฟัง ขณะนี้ไม่ใช่เรา มีความมั่นคงที่จะรู้ว่าไม่ใช่ขณะอื่น แต่ขณะที่มีสิ่งใดปรากฏแล้วไม่รู้ความจริง ขณะนั้นก็เป็นเราอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยทิฏฐิ (ความเห็นผิด) หรือว่าด้วยมานะ (ความสำคัญตน) หรือด้วยความพอใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่อย่าไปมุ่งหวังที่ว่าเราจะละโลภะโดยที่ว่าไม่เห็นกำลังของโลภะ แม้แต่จะรู้ว่าเราอยู่ในโลกของความฝันตลอดชีวิต เพราะว่าเป็นเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏทั้งหมด ไม่ได้รู้ตัวจริงคือธรรมที่เกิดดับที่ทำให้มีเรื่องราวต่างๆ ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรๆ จะมี ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นให้รู้ว่าทั้งหมดมาจากไหน วิชาการต่างๆ ความคิดต่างๆ ความก้าวหน้าทางโลก ทางเศรษฐกิจทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดมาจากสิ่งที่ปรากฏทางตา หุู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วไม่รู้ความจริงจึงเป็นเรื่องราวทั้งหมดเลย แต่ว่าลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ มีกำลังปรากฏ กว่าปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้นทีละเล็กทีละน้อยก็ยังดีกว่าไม่เข้าใจตลอดไป ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็ไม่เคยรู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมปรากฏแต่ละทาง เพราะเหตุว่ามีสภาพรู้หรือจิตเกิดขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏแล้วดับหมด ทั้งจิต และสิ่งที่ปรากฏโดยไม่มีอะไรเหลือ ถ้าฟังอย่างนี้ และก็เข้าใจจริงๆ ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ แต่สิ่งนั้นความจริงก็คือเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แค่นี้สามารถที่จะคลายความไม่รู้ความติดข้องพอสมควรเล็กๆ น้อยๆ บ้างได้ไหม ในเมื่อเริ่มเข้าใจถูกต้องว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้อย่างนี้ได้มาก และตลอดไปนานๆ เพราะเหตุว่าอวิชชากับโลภะที่สะสมมามากเหลือเกิน เพราะฉะนั้นก็เป็นปัจจัยที่จะให้อวิชชาเกิดมากกว่า เป็นปัจจัยที่จะให้โลภะเกิดมากกว่า แต่ปัญญาที่เกิดจากการฟังจะค่อยๆ เริ่มเจริญขึ้นจากการที่ฟังบ่อยๆ อบรมบ่อยๆ เริ่มรู้ว่าขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่ปรากฏ ความจริงก็คือเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏได้เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเหลือ แต่ว่าสิ่งอื่นซึ่งเกิดสืบต่ออย่างเร็วมาก

    ลองคิดถึงว่าทำไมเราถึงอยู่ในโลกของเรื่องราวซึ่งเป็นเพียงความฝัน เพราะเหตุว่าลักษณะของสภาพธรรมก็เกิดแล้วดับแล้ว เพราะเหตุว่าสภาพนามธรรม และรูปธรรมเกิดดับเร็วที่สุด นึกถึงคำว่า “ที่สุด” ก็แล้วกันว่าเร็วขนาดไหน ขนาดที่ว่าไม่ทำให้มีการรู้ได้เลยว่าสภาพธรรมที่ปรากฏนี่เกิดแล้วดับ แล้วก็เป็นอย่างนี้ตลอดเวลาอย่างรวดเร็ว อย่างนายมายากล เขาทำสิ่งซึ่งขณะนี้ใครทำได้บ้างในห้องนี้ที่จะทำอย่างนายมายากล ถ้าไม่ได้ฝึกหัดพอสมควร ทำไม่ได้ แต่อะไรที่ล่อลวงกว่า และก็รวดเร็วกว่านายมายากลก็คือจิต เจตสิกซึ่งเกิดดับ และรูปก็เกิดดับด้วย เพราะฉะนั้นเราอยู่ในความลวงด้วยความไม่รู้ ด้วยโลภะที่ต้องการเพียงเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ แต่ละภพแต่ละชาติต้องการอะไร ต้องการเรื่องราวทั้งนั้น พอจบไปแต่ละชาติก็จบไปพร้อมกับเรื่องราวของแต่ละชาติ เพราะฉะนั้นเพียงขณะที่กำลังเข้าใจเป็นการเริ่มต้นของการที่จะมีความเห็นถูกว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเพราะเกิดแล้วจึงปรากฏ แล้วสิ่งนี้ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏได้แต่ละทางเท่านั้นเอง แทนที่จะไปคิดว่าทำอย่างไร หนทางมรรคมีองค์ ๘ ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจถูกว่ากิเลสมากมายมหาศาล แล้วจะทำอย่างไร มรรคมีองค์ ๘ จะทำแล้ว หามรรคมีองค์ ๘ แต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่ามรรคมีองค์ ๘ เริ่มจากความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในขั้นการฟังซึ่งขาดไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์บอกว่าความมั่นคง ความเข้าใจอย่างมั่นคง ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายขยายด้วย

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เห็นใช่ไหม เป็นธรรมหรือเป็นเรา ความเข้าใจ แต่ก่อนที่จะฟังเป็นเราตลอด กี่ภพกี่ชาติก็เป็นเรา แม้ชาตินี้ฟังแล้วก็ยังเป็นเรา เห็นไหมว่าหนาแน่นระดับไหน แม้ฟังแล้วก็ยังเป็นเรา ไม่ต้องพูดถึงชาติก่อนๆ ที่ยังไม่ได้ฟังว่าความเป็นเราจะมากสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นเพียงขั้นฟังเริ่มเข้าใจจะยังไม่สามารถที่จะเห็นตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา แต่มีหนทาง และหนทางนั้นก็คือฟังให้เข้าใจต่อไปอีกไม่ใช่ให้ทำอย่างอื่น เพื่อละความไม่รู้ เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่จะมั่นคงคือจากการฟัง ธรรมไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย เป็นธรรมทั้งหมดแต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นที่จะอบรมก็คืออบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกว่าธรรมขณะนี้มีลักษณะของธรรมนั้นที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ แล้วคิดถึงคน ฝันถึงเรื่องราวต่างๆ จากสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ฝันต่อไปอีก พรุ่งนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องราวต่างๆ ของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ฝันไปทุกวันโดยที่ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรเหลือเลย เห็นพระคุณไหม ถ้าสติปัฏฐานเกิดเมื่อไรเมื่อนั้นจะรู้ได้ ถ้าไม่มีการฟัง สติสัมปชัญญะที่จะรู้ลักษณะ และเริ่มเข้าใจลักษณะซึ่งไม่ใช่เพียงคำหรือชื่อจากตำรา เพราะเหตุว่าชื่อต่างๆ ทั้งหมดก็มาจากความจริงของลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้เอง เป็นความจริงตามที่ได้ทรงแสดงตามนัยต่างๆ แต่ว่าต้องอาศัยการที่จะเข้าใจว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นการฟังธรรมคือขณะนี้ฟังให้เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ นั่นจึงจะเป็นการศึกษาธรรม แต่ไม่ใช่ไปตอบได้ว่าขณะนี้จิตเห็นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท แล้วจะรู้อะไรตอบอย่างนี้ พูดอย่างนี้แต่ก็ไม่ได้รู้สภาพเห็น และก็ไม่รู้ความจริงว่าสิ่งที่ปรากฏก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่แค่ปรากฏกับผู้ที่มีจักขุปสาทเท่านั้น เริ่มที่จะศึกษาเข้าใจเพื่อละความไม่รู้จนกว่าจะถึงการประจักษ์แจ้ง นี่เป็นหนทางเดียว ถ้าไม่มีความเห็นถูก มรรคองค์หนึ่งองค์ใดซึ่งเป็นองค์ต้นคือสัมมาทิฏฐิที่เกิดพร้อมสติสัมปชัญญะก็มีไม่ได้ เพราะขณะนี้เป็นความเข้าใจถูก เป็นสัมมาทิฏฐิแต่ไม่ได้เกิดพร้อมสติสัมปชัญญะที่กำลังรู้ลักษณะ เฉพาะลักษณะที่ยังไม่ได้คิดเลย ลักษณะนั้นปรากฏ

    ผู้ฟัง จากที่ท่านอาจารย์กล่าวว่าปรมัตถธรรมไม่มีชื่อ แต่ในบางขณะที่มีสติพอที่จะคิดหรือจะระลึกตรงนี้ อย่างแข็งก็ต้องคิดว่ารูปแข็ง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่คิด แข็งหายไปหรือแข็งยังอยู่ เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ยังอยู่

    ท่านอาจารย์ แล้วต้องคิดไหม หรือห้ามคิดไม่ได้ ไม่มีใครห้ามความคิดได้เลย เพราะคุ้นเคยกับความคิด ที่จะไปยับยั้งไม่ให้คิด อย่าหวัง ผิด ใครไม่คิด ใครจะไม่ให้คิด ก็เป็นความไม่รู้ ยึดถือว่ามีเราที่จะทำได้ แต่แข็งชั่วขณะที่กำลังปรากฏ ต้องรู้ความต่างของขณะที่สติไม่เกิดที่ใช้คำว่า “หลงลืมสติ” กับขณะที่ “สติเกิด” ถ้าไม่รู้ตรงนี้ ไม่มีการตั้งต้นที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นธรรมได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้แข็งเป็นธรรมดา เป็นปกติ และปกติหลังจากที่แข็งปรากฏแล้วก็ลืมลักษณะแข็ง ไปคิดถึงเรื่องอื่นทันที แต่ขณะที่ไม่หลงลืมคือรู้ว่านี่เป็นธรรม และก็จะเข้าใจลักษณะนั้นได้ เมื่อกำลังมีลักษณะนั้นปรากฏซึ่งต่างกับลักษณะอื่น ค่อยๆ สะสมความรู้ ความเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย น้อยมากจริงๆ แต่ก็เป็นความเห็นที่ถูกต้องเพราะว่ามีลักษณะของสภาพธรรมปรากฏให้รู้ได้จริงๆ

    ผู้ฟัง ตอนที่คิดหมายถึงว่าอยู่ในขั้นของการเจริญสติหรือไม่ เพราะว่าถ้าใช้คำว่า “คิด” กับคำว่า “เจริญสติ” มีความคิดว่าแตกต่างกัน แล้วก็ไม่ทราบว่าจะเป็นหนทางที่ถูกต้องหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ให้ใครยืนยัน หรือว่าเราฟังจนเราเข้าใจอย่างมั่นคง ขณะนี้สภาพธรรมมีจริงๆ กำลังปรากฏ แล้วไปให้คนอื่นรับรองหรือว่ามีจริงๆ เห็นนี่กำลังเห็นมีจริงๆ ให้คนอื่นรับรอง หรือว่าไม่ต้องมีใครรับรอง เพราะเหตุว่าจริง คำที่บอกว่าขณะนี้เห็นมีจริง ก็จริง เห็นเป็นธรรม เป็นสภาพที่มีจริง จึงมีเห็น ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่สามารถเห็น รูปไม่สามารถเห็น ลักษณะของรูปทุกประเภทไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้น มีสิ่งที่สามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ที่กำลังปรากฏ แต่ก่อนเคยเป็นเรา แต่พอฟังพระธรรมก็รู้ลักษณะนี้ ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงรู้ๆ ว่าเป็นสภาพธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับ นี่คือความต่างกันของปัญญาของผู้ไม่รู้กับผู้รู้ ความจริงก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้หรือผู้ไม่รู้ แต่ผู้ไม่รู้ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูก สภาพธรรมปรากฏกับผู้รู้ก็เหมือนกัน เห็นก็เห็นเหมือนกัน ได้ยินก็ได้ยินเหมือนกัน แต่ผู้ไม่รู้ก็ไม่รู้ว่าเห็นจริงๆ แล้วก็เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ส่วนผู้รู้สามารถที่จะรู้ได้ ก่อนเห็นต้องไม่มีเห็น ก่อนได้ยินต้องไม่มีได้ยิน ก่อนคิดนึกต้องไม่มีคิดนึก แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดมีได้อย่างไร อย่างเสียง ก่อนเสียงปรากฏ มีเสียงไหม ไม่มี แต่เสียงปรากฏ ผู้ไม่รู้ก็ไม่รู้ต่อไป แต่ผู้รู้สามารถที่จะเข้าใจถูก เห็นถูกว่า เสียงปรากฏได้อย่างไร ทำไมจึงมีเสียงปรากฏได้ ใครไปบังคับให้เสียงเกิดขึ้น ใครไปทำให้เสียงเกิด มีใครทำให้เสียงเกิดหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ มีใครทำให้ได้ยินเกิดหรือไม่ เมื่อครู่นี้ไม่ได้ยิน นี่คือความอัศจรรย์ของสิ่งซึ่งเป็นธรรมดา เป็นปกติ แต่ผู้ที่มีอวิชชาก็ยังคงมีความไม่รู้ และความติดข้องในสภาพธรรมไปเรื่อยๆ แต่ผู้รู้จะรู้ได้เลยว่า จากไม่มีกลายเป็นมีหรือเกิดมีขึ้นชั่วขณะที่ต่างกัน เป็นสภาพธรรมที่ต่างขณะ และขณะที่เห็นก็ไม่ใช่ขณะที่มีเสียงปรากฏ ไม่ใช่ขณะที่มีกลิ่นปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ แต่ละลักษณะซึ่งเกิดจึงได้ปรากฏ แต่ถ้าไม่กระทบกับปสาทก็ปรากฏไม่ได้ ด้วยเหตุนี้แม้เพียงจิตจะเกิดขึ้นเพียงหนึ่งขณะซึ่งมีการเกิดดับอย่างรวดเร็วมากเกินกว่าผู้ไม่รู้จะไปรู้ได้ แต่ผู้ที่อบรมพระบารมีมาสามารถที่จะรู้ความจริงได้ ว่าในหนึ่งขณะที่เกิดต่างกับขณะก่อนเพราะอะไร ขณะที่เสียงยังไม่ปรากฏ โสตปสาทรูปมี แต่ว่านี่เป็นผู้ที่ได้ทรงแสดงไว้จากการตรัสรู้ แต่ผู้ที่ไม่รู้จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าแม้เสียงไม่ปรากฏ โสตปสาทรูปก็เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย แต่ว่าขณะนั้นเสียงไม่ปรากฏ ไม่มีสิ่งที่มากระทบจักขุปสาท และก็ผัสสเจตสิกก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นกระทบ เพราะฉะนั้นเสียงจะปรากฏไม่ได้เลย ต่อเมื่อใดเวลาที่มีเสียงกระทบกับโสตปสาท มีจิต และเจตสิกเกิด ขณะนั้นเสียงปรากฏ ด้วยเหตุนี้แม้แต่สิ่งที่เป็นความจริงในชีวิตประจำวันด้วยความไม่รู้ก็ทำให้ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แล้วจะไปทำอะไร บอกวิธีทำให้ทำนี้เป็นไปได้ไหม นอกจากค่อยๆ ฟัง จนกว่าจะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรม และก็รู้ความต่างกันของขณะที่หลงลืมสติซึ่งหมายความถึงสติสัมปชัญญะ และสติปัฏฐาน ก็เป็นเรื่องที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ไม่ใช่ไปทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดแล้วไปคิดว่าจะรู้สิ่งที่เราทำให้เกิด ซึ่งเราทำก็ไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่การรู้สิ่งที่เกิดแล้วด้วย ถ้าสิ่งนั้นยังไม่เกิดจะปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้ไม่ลืมว่าสิ่งที่ปรากฏคือเกิดแล้ว แต่ไม่ประจักษ์การเกิด และดับ จนกว่าจะค่อยๆ รู้ลักษณะซึ่งไม่ใช่เพียงการคิดถึงเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็คงเลิกคิดว่าทำอย่างไร สอนวิธีทำหรือว่าให้ความมั่นใจ ต้องเป็นความเข้าใจของผู้ที่ฟัง และก็มั่นใจจริงๆ หรือไม่ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นความจริงๆ ที่ถูกต้อง ไม่ใช่คนอื่นรับรองหรือให้บอกเพื่อที่จะได้มั่นใจ มั่นใจหรือยัง

    ผู้ฟัง มั่นใจขึ้น แล้วก็เป็นความจริงอย่างที่อาจารย์กล่าว

    อ.นิภัทร เวลาโกรธเกิด ก็รู้ว่าโกรธใช่ไหม แต่ไม่รู้ว่าเรามีกิเลสหรือไม่รู้ว่าเราโกรธเป็นคนเลวท่านว่า แล้วทำอย่างไรถึงจะรู้ ไม่ใช่รู้ว่าโกรธ มีใครไม่รู้บ้างว่าโกรธเวลาโกรธ ทุกคนรู้ แต่รู้อย่างนี้ไม่เรียกว่ารู้ ท่านถึงบอกว่าเป็นคนเลว แต่ต้องเจริญสติปัฏฐาน โกรธไม่ใช่เรา เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมที่เราจะควรละ รู้ขณะที่มันโกรธ แล้วโกรธนี่ใครทำให้โกรธ โกรธเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยฉันใด สติมีใครทำให้เกิด เขาก็เกิดได้โดยมีเหตุปัจจัยของเขา เพราะฉะนั้นอย่าไปถามให้ใครรับรอง

    ผู้ฟัง ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายลักษณะจริงๆ แล้วแม้ตื่นขึ้นมาก็เหมือนกับอยู่ในความฝัน

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาจำอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง จำท่านอาจารย์ได้

    ท่านอาจารย์ เป็นอัตตสัญญาหรือว่าเป็นอนัตตสัญญา สัญญาความจำว่าเป็นอัตตามีคุณสุกัญญาแล้วก็มีคนอื่นด้วย มีคน และเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้นที่จำไว้ทั้งหมดเป็นอัตตสัญญาหรือว่าเป็นอนัตตสัญญา

    ผู้ฟัง เป็นอัตตสัญญา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจริงไหม มีอัตตาหรือไม่ แล้วจำอะไรไว้ เป็นเรื่องเป็นราวทั้งหมดเลย ก็เหมือนฝันไหม ในฝันก็จำได้ ฝันว่าอะไรก็จำได้ ไม่ได้ต่างกัน เพราะว่าถ้าพูดถึงความจำก็เป็นแต่เพียงความจำ ขณะนี้ไม่ได้รู้ลักษณะของธรรมที่เกิดแล้วดับสักอย่างเดียว ในฝันก็ไม่ได้รู้ลักษณะสภาพธรรมใดๆ ที่เกิดแล้วดับด้วย เพราะฉะนั้นขณะนี้จำเรื่องราวเหมือนฝันก็จำเรื่องราว และเรื่องเดียวกันด้วย คืนนี้คุณสุกัญญาอาจจะฝันถึงดิฉันก็ได้เพราะขณะนี้จำว่ามีดิฉันอยู่ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นก็จำ ถึงจากโลกนี้ไปแล้วก็มีคนที่ฝันถึงคนที่ล่วงลับไปแล้วได้เพราะจำ ยังเหมือนมีคนนั้นอยู่ ตลอดชาติเหมือนฝันหรือเปล่า ในเมื่อความจริงไม่มีใคร มีแต่สภาพธรรมที่เกิดดับ แต่เรื่องราวจำไว้มั่นคง ไม่ได้เริ่มรู้ลักษณะที่เป็นอนัตตาของสภาพธรรมแต่ละอย่างที่จะค่อยๆ ละอัตตสัญญาเพราะรู้ว่าจริงๆ แล้วไม่มีอัตตาเลย มีแต่สภาพธรรม เพราะฉะนั้นขณะใดที่สติปัฏฐานยังไม่เกิด เหมือนอยู่กับความฝันหรืออยู่ในความฝัน หรือกำลังฝันอยู่หรือไม่ ฝันสุข ฝันทุกข์ เป็นเรื่องหมด แต่ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับเป็นทุกข์จริงๆ ไม่ได้รู้เลย แต่ว่าเป็นเรื่องที่เหมือนฝันตลอด ฝันว่ามีพี่มีน้อง วันนี้ทำอะไรบ้าง เมื่อวานนี้ทำอะไรบ้าง หมดไปแล้ว ก็ยังจำไว้ได้ เหมือนสิ่งที่จำได้ในความฝัน

    ผู้ฟัง อย่างนี้แสดงว่าสิ่งที่เกิดในชีวิตประจำวันก็เป็นสิ่งที่เป็นจริงแต่ก็ไม่จริงใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เป็นสมมติจากสิ่งที่มีจริง เพราะว่าเวลาที่มีการเห็นแล้ว สัญญาจำ และสัญญาจำทุกอย่างเพราะเกิดกับจิตทุกขณะ ทุกทวาร เพราะฉะนั้นสัญญาก็จำหมดเลย รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ จำได้ไหม เวลาเห็น นั่นคือลักษณะของสัญญา เสียงแต่ละภาษา แต่ละคำ จำความหมายได้ไหม จำลักษณะของเสียงได้ด้วย นั่นก็คือสัญญา เพราะฉะนั้นก็จำเรื่องทั้งหมด แต่ว่าตัวจริงๆ ของธรรมไม่เคยจำว่าเป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละลักษณะ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่าที่แล้วๆ มามีแต่อัตตสัญญา เพราะว่าไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่เกิดดับแต่ละอย่าง ไม่ใช่ให้เลือก ไม่ใช่ให้จงใจ ขณะนี้ทั้งหมดเป็นธรรมที่มีลักษณะจริงๆ ปรากฏแต่ละทาง เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัญญาจากขั้นการฟังก็จะทำให้เกิดรู้ลักษณะนั้นที่กำลังมีจริงๆ อย่างแข็ง ปกติพอแข็งปรากฏแล้วก็เป็นช้อนส้อม เป็นถ้วยชาม เป็นจับแขนเพื่อนหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จำไว้ แต่ว่าถ้าจะรู้ตรงลักษณะ และมีความเข้าใจถูกว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งจะปรากฏทุกชาติที่มีกายปสาท และความจำของสัตว์กับความจำของเรา สัตว์ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าแข็งเป็นธรรม แต่สามารถจะรู้ลักษณะของแข็งอย่างเรา แต่ว่าจากปฏิสนธิที่ต่างกันก็ไม่เป็นพื้นฐานที่จะทำให้มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ไม่สามารถที่จะฟังรู้เรื่องในสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นก็เป็นความต่างของบุคคลซึ่งมีความต่างที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังธรรมที่จะทำให้ค่อยๆ สะสมอนัตตสัญญาโดยที่ฟังเข้าใจ และก็มีความมั่นคงที่จะศึกษาต่อไป วันนี้ขณะนี้ไม่เหมือนฝัน แต่เมื่อถึงพรุ่งนี้ วันนี้เดี๋ยวนี้ก็เป็นฝันไปแล้วเพราะว่าไม่มีอะไรเหลือ

    ผู้ฟัง แต่จริงๆ คิดไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ให้คิด ให้เข้าใจก่อน คุณสุกัญญาอยากคิดได้ ที่ถามนี้บังคับความคิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็เรื่องอะไรจะต้องไปอยากจะคิดให้ได้ในเมื่อบังคับความคิดไม่ได้ จะบังคับให้คิดให้ได้เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นจะให้เข้าใจว่าในชีวิตประจำวันในขณะที่ตื่นอยู่คือความฝันก็ยังเข้าใจไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าสามารถจะเข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรมที่เกิดดับเร็วจนกระทั่งปรากฏเสมือนว่ามีคน มีสัตว์ตลอดเลยตั้งแต่เกิดจนตาย จะรู้ความจริงว่าอกุศลของเรา และความไม่รู้ของเรามากแค่ไหน สิ่งนี้เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ที่จะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ก็เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า ไม่ใช่จะให้ใครมาบอกเราให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วปัญญาจะเกิด ปัญญาอะไร ปัญญาของใคร ปัญญารู้อะไร ไม่เป็นสิ่งที่ถูกต้องเลยในเมื่อไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏจากขั้นฟังเข้าใจ เพราะฉะนั้นเมื่อฟังอย่างนี้แล้ว อีกไกลไหม นี่เป็นหนทางละ โลภะที่อยากเร็ว และอยากใกล้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางอื่นเลย สัญญาจำอะไรในเมื่อเกิดกับจิตทุกขณะ จิตต้องมีอารมณ์ใช่ไหม สัญญามีอารมณ์ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ สัญญาจำอารมณ์อะไร จำอารมณ์ที่จิตกำลังรู้ ไม่ใช่ไปจำอารมณ์ที่จิตไม่ได้รู้เพราะว่าสัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ เพราะฉะนั้นจิตขณะนั้นมีอะไรเป็นอารมณ์ สัญญาก็จำอารมณ์นั้น จิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ จิตนั้นมีอารมณ์อะไร สัญญาเจตสิกที่เกิดกับจิตนั้นก็จำอารมณ์นั้น หมดปัญหาไหม

    ผู้ฟัง ค่ะ ขอบพระคุณค่ะ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 154
    12 ม.ค. 2567