พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 231


    ตอนที่ ๒๓๑

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙


    ท่านอาจารย์ แต่ถ้ามีเรากำลังจงใจ กำลังต้องการที่จะให้รู้เฉพาะตรงนี้ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมอื่นก็เกิดดับ แต่ด้วยความเป็นตัวตนก็ทำให้ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมอื่นๆ ซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ฉะนั้นปัญญาจะเจริญไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องของตัวตนที่ฟังแล้วก็พยายามทำทุกอย่างให้ผิดปกติ แต่ว่าเป็นการที่รู้ว่าสติสัมปชัญญะเกิดกำลังรู้อะไรตามปกติ เพราะฉะนั้นเวลาที่มีการรู้ทั่ว ที่กล่าวว่าเมื่อเห็น สติสัมปชัญญะก็รู้ และก็แม้ว่าสภาพธรรมอื่นเกิดต่อเป็นอย่างไร สติสัมปชัญญะก็รู้ต่อได้ เพราะเหตุว่าไม่มีตัวเราที่จะไปพยายามให้รู้เฉพาะสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ นี่คือปัญญาที่อบรมเจริญขึ้น

    อ.นิภัทร เดี๋ยวนี้เรากำลังศึกษาเรื่องราว เพื่อจะให้เข้าถึงการศึกษาธรรม อย่างกุศลจิตก็เป็นชื่อ ขณะที่กุศลจิตจริงๆ เกิด เราก็ยังไม่ได้ศึกษา เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่รู้ตัวเองว่ามีจิตเป็นกุศลเมื่อไร ท่านบอกว่าเป็นคนเลวทราม ขณะที่จิตเป็นกุศล ไม่มีชื่อเรียก แต่สภาพที่เป็นกุศล ลักษณะสภาวะที่เป็นกุศลเกิด เราศึกษาหรือไม่ สุดท้ายเราศึกษาแต่ชื่อ ถ้าเรายังไม่ศึกษาตรงนี้ ท่านก็บอกว่าเป็นบุรุษเลวทราม รวมผมด้วยนะเป็นบุรุษเลวทราม บุรุษแปลรวมๆ ว่าเป็นคน เป็นคนเลวทราม ท่านหมายถึงทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไม่ใช่หมายเฉพาะแต่ผู้ชายอย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ กุศลจิตก็คือขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ที่กำลังมีศรัทธาที่จะได้ฟังพระรัตนตรัยเพื่อที่จะเข้าใจ เพราะเหตุว่าการที่จะเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏไม่ง่าย เพราะเหตุว่าการฟังต้องเป็นการค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และก็พิจารณาว่าเป็นความจริง ซึ่งตามที่เคยกล่าวไว้ก็คือว่า ทุกคนมีชีวิตอยู่เหมือนฝัน เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้เกิดแล้วดับ หมดไปแล้วทุกขณะ เพราะฉะนั้นก็มีแต่ความทรงจำเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ไม่ฟังพระธรรมเลย ทั้งชาติก็คือเหมือนฝันที่ไม่เคยตื่นขึ้นมารู้ความจริงว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่ เป็นเพียงธรรมที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทุกขณะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้ยินได้ฟังต้องค่อยๆ พิจารณาจนกว่าจะค่อยๆ เข้าถึงความจริง เพราะเหตุว่าที่กล่าวว่าธรรมทุกอย่างที่เกิดมีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดแล้วก็ดับ แค่นี้จริงแค่ไหน คือฟังแล้วก็จริง แต่ว่าแค่ฟัง ใช่ไหม ฟังแล้วก็จริง แต่ก็ต้องจริงจนกระทั่งสามารถที่จะมีความมั่นคงที่จะเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ มิฉะนั้นก็เหมือนเลื่อนลอย ได้ฟังมาเพียงว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ แต่ในขณะนี้ก็ไม่ได้มีความเข้าใจในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นจะไปประจักษ์การเกิดดับอะไรได้ในเมื่อสิ่งที่ปรากฏเพราะเกิดแล้วดับ แต่ถ้ายังไม่ปรากฏ ไม่เกิด แล้วแค่คิดนี้ก็ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ เมื่อฟังแล้วมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะเป็นผู้ที่ตรงต่อพระธรรม แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตาม โดยเป็นผู้ที่อดทน ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง ตราบใดที่ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม เพียงแต่เข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรมไม่พอ ไม่สมอย่างที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อให้ผู้อื่นได้ประจักษ์จริงๆ แทงตลอดสภาพธรรมได้จริงๆ แต่ต้องเป็นผู้ที่มีความมั่นคงอย่างยิ่งที่จะรู้ว่า เมื่อขณะที่กำลังไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ จะไปฝืนให้เด็กเล็กๆ ไปทำการผ่าตัดที่ไหนก็คงจะไม่ได้ เพิ่งแรกเกิดแล้วก็จะให้ไปทำกิจที่จะทำอย่างผู้ที่ได้สะสมปัญญามามากที่จะแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมได้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นสัจจธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ทุกคนสามารถที่จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงโดยไม่หลอก แต่อาศัยพระธรรมที่จะนำทางไปสู่ความเห็นที่ถูกต้องที่จะไม่หันเหไปสู่ความเห็นผิดด้วยโลภะ เพราะเหตุว่า กว่าโลภะจะให้ใครได้มาฟังพระธรรม ลองคิดดู ตั้งแต่เช้ามาก็มีผู้ที่มีศรัทธาฟังธรรมทางวิทยุ นั่นก็คือว่าเป็นโอกาสของการสะสมมาในชาติปางก่อน อีกไม่นานก็ถึงชาติหน้า ทีละปีๆ ไป เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นชาติปางก่อนที่กำลังสะสมที่ชาติหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ว่าเราจะไปคำนึงถึงเพียงชาติปางก่อนซึ่งเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ชาตินี้เองเป็นชาติปางก่อนที่ใครจะสะสมกุศลมากเท่าไร มีปัญญาที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม เห็นประโยชน์ของกุศลที่ค่อยๆ สะสมไป เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีกุศลที่สะสมขัดเกลาอกุศลไปทีละเล็กทีละน้อยที่จะให้ปัญญาสามารถที่จะละคลายกิเลส ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่ได้ เพราะต้องรู้ว่าอกุศลมีเมื่ออวิชชายังมี เพราะฉะนั้นการที่จะกิเลสน้อยลง หรือสามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ ก็ต่อเมื่ออวิชชาบางลงจางลงด้วยความรู้อย่างเดียว ไม่ใช่ไปด้วยการทำอย่างอื่น

    เมื่อวานนี้ก็มีข้อความในพระสูตรที่กล่าวถึงผู้ที่ทุศีลกับผู้ที่ไม่ทุศีล และก็ศีลที่พระอริยะใคร่ต้องต่างกับศีลอื่น เพราะเหตุว่าศีลที่พระอริยะใคร่คือศีลที่ไม่กลับไปล่วงศีล เป็นศีลที่มั่นคง แต่ที่จะเป็นอย่างนั้นได้เพราะเหตุว่าปัญญารู้ความจริง จนถึงปัญญาที่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคล พ้นจากภาวะของความเป็นปุถุชน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเจตนาที่จะกระทำทุจริตทางกาย วาจาที่จะล่วงเป็นศีล ๕ ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าเราทราบตามความเป็นจริงด้วยความมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สิ่งนี้ลืมไม่ได้ แล้วเราก็จะเป็นผู้ที่ตรงว่าขณะนี้เป็นธรรม ได้ยินได้ฟังว่าธรรมในขณะนี้เป็นอนัตตา ผู้ตรงก็คือว่า แล้วรู้ความจริงนี้แล้ว หรือยัง แต่ว่าได้ฟังเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ที่สภาพธรรมปรากฏ หนทางที่จะทำให้รู้ความจริงว่าเป็นธรรม สิ่งนี้มีการอบรมได้เมื่อมีการฟังพระธรรม แต่ถ้าชาติไหนไม่ได้มีการฟังพระธรรม เราก็จะมีกุศลระดับอื่น คือ กุศลที่เป็นไปในทานบ้าง กุศลเป็นไปในศีลเพียงชั่วขณะจิตบ้าง กุศลเป็นไปในขณะที่จิตสงบจากอกุศล เป็นความสงบในขั้นของสมาธิที่ประกอบด้วยความสงบบ้าง แต่จะไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นก็ไม่ทราบว่าอีกกี่ชาติที่จะได้ฟัง จะได้เข้าใจถูก ค่อยๆ สะสมความมั่นคงซึ่งเป็นสัจจธรรมที่จะทำให้ไม่หลงไปทางอื่น หรือไม่หลงทางที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นการฟังไม่ว่าจะฟังน้อยฟังมาก หรือฟังข้อความในพระไตรปิฎก และอรรถกถา ก็เพื่อให้เป็นผู้ที่มีความมั่นคง มีความเห็นถูกในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ซึ่งแม้ขณะนี้เอง แม้กุศลจิตเกิด ถ้าไม่ทรงแสดงก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนี้การฟังธรรมเป็นกุศลที่เมื่อมีปัญญาเกิดร่วมด้วย ก็จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาที่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เป็นหนทางที่ประเสริฐในบรรดาของสังขารธรรมทั้งหลาย สังขตธรรมทั้งหลาย มรรคคือหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมต้องเป็นหนทางที่ประเสริฐ และก็ประเสริฐกว่ากุศลอื่นๆ

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ดูเหมือนว่าเข้าใจเพียงเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ แล้วเหมือนเดิมๆ ก็คือความเข้าใจนั้นไม่ใช่พ้นไปจากความเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เหมือนเดิมคือไม่พ้นจาก ๖ ทาง แต่สิ่งที่ปรากฏแต่ละขณะไม่เหมือนเดิม และก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะต่อไปอะไรจะปรากฏ แต่ปัญญาที่สะสมมาแล้วจากการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็จะทำให้ไม่ว่ามีปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมใดเกิดขึ้นปรากฏ ปัญญาก็สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริงได้

    เพราะฉะนั้น การศึกษา การฟังธรรม ก็เป็นความอดทนที่จะฟังเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งตลอดชาติ กี่ภพ กี่ชาติ ก็ไม่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้จะทีละเล็กทีละน้อย ลองคิดถึงจิตเกิดดับสืบต่อมาแล้วนานเท่าไร แสนโกฏิกัปป์น้อยไป หรือเปล่า เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีความไม่รู้อยู่ ก็ต่อไปอีกนานแสนนานด้วยความไม่รู้ ไม่มีทางที่จะพ้นไปจากความมืด คือ ความไม่รู้ เพราะแม้แต่ที่จะรู้ว่าขณะนี้เหมือนฝัน ในฝันมีทุกอย่าง ตื่นขึ้นไม่มีอย่างที่มีในฝันเลย เพราะฉะนั้นขณะนี้ปรมัตถธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แต่เมื่อไม่สามารถที่จะเข้าถึงสภาพที่เป็นธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ก็เป็นการที่จำเรื่องราวของสภาพธรรมด้วยความเป็นตัวตนด้วยความเป็นเรา และจำอย่างนี้ตั้งแต่เกิดไปจนตายทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเหลือเลย เหมือนกับขณะใดที่สติสัมปชัญญะเกิด ขณะนั้นมีสิ่งที่มีจริงๆ กำลังปรากฏให้รู้ แม้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏด้วยแต่ไม่รู้ นี่คือความต่างกัน เพราะฉะนั้น ก็จะเข้าใจความหมายของอวิชชา การที่ไม่สามารถจะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ปัญญา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน แต่ อวิชชา แม้สภาพธรรมกำลังเผชิญหน้าก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ ต่อเมื่อใดที่สติสัมปชัญญะเกิดมีลักษณะจริงๆ กำลังปรากฏ และเริ่มที่จะเข้าใจลักษณะนั้น นั่นคือการที่จะรู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วขณะอื่นก็เหมือนฝัน คือว่าลักษณะของสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏ เพียงแต่จำเป็นเรื่องเป็นราว จนกว่าขณะใดที่สภาพธรรมปรากฏ แล้วมีความเข้าใจในความเป็นปรมัตถธรรม ขณะนั้นจึงต่างกับขณะที่เหมือนฝัน สุข ทุกข์ไปในความฝัน และก็ไม่มีอะไรเหลือเลย จากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ก็จะเห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาที่สามารถแทงตลอดความจริงของสภาพธรรม ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เห็นในพระบริสุทธิคุณ เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว เห็นเลยว่า กว่าสัตว์โลกอื่นๆ จะรู้ตามได้ ถ้าไม่มีพระมหากรุณาจะมีใครไปให้เขาเกิดปัญญาที่สามารถที่จะรู้ความจริงจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ และได้เห็นพระมหากรุณา ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ไกล แต่ว่าได้สะสมเหตุที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็มีพระมหากรุณาที่จะเสด็จไปแสดงธรรม เพราะเหตุว่าการที่จะช่วยให้คนอื่นซึ่งอยู่ในความมืด แล้วก็อยู่ในกรงของกิเลสด้วย ไม่ใช่มืดเปล่าๆ แต่มืดสนิท เพราะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม และก็ล้อมรอบด้วยกิเลสซึ่งไม่เคยปล่อยออกไปเลย แม้แต่โลภะ ที่คอยเอื้อมมือดึงให้กลับมาสู่กำลังของโลภะ ถ้าประกอบด้วยความเห็นผิด กว่าจะปล่อยความเห็นผิดไปสู่ความเห็นถูก แม้เพียงชั่วขณะ หรือว่าจะมากกว่านั้น กำลังของโลภะก็จะมีติดตามไปที่จะให้เกิดความเห็นผิดเมื่อไรก็ได้ ตราบใดที่ยังไม่มีความเข้าใจอย่างมั่นคงในหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

    ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ทรงมีพระมหากรุณาอย่างนั้น ทรงแสดงพระธรรมโดยที่ไม่คำนึงว่าบุคคลนั้นเป็นใคร อยู่ที่ไหน และก็สะสมเหตุปัจจัยมาพอที่สามารถจะช่วยให้เขาพ้นจากความมืด และกรงกิเลสของสังสารวัฏได้ ก็ทรงพระมหากรุณาที่จะทรงแสดงพระธรรมซึ่งเป็นพุทธกิจในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็คงจะซาบซึ้งในพระมหากรุณาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เป็นผู้ที่มั่นคงที่จะรู้ว่า กว่าจะทรงตรัสรู้ความจริง ต้องบำเพ็ญพระบารมีมากกว่าบุคคลอื่น และเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมจนถึงบุคคลในยุคไหนๆ ก็ตามที่ได้สะสมบุญมาแล้วที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง และก็สะสมความเห็นถูกต่อไป

    ผู้ฟัง การติดข้องในกุศลว่าในขณะที่มีกุศลเกิด บางครั้งคิดว่าเป็นกุศล แต่จากการศึกษาธรรม แล้วพิจารณาจริงๆ ก็เห็นอกุศลชัดเจนในกุศลนั้นๆ

    ท่านอาจารย์ แสดงว่าถ้ายังไม่มีปัญญาที่จะละความเป็นเรา ความยึดถือสภาพธรรม โลภะก็ติดได้ทุกอย่าง แสดงให้เห็นความจริงว่าแม้กุศลก็มีเราที่ต้องการ จนกว่าจะละความเป็นเรา

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าอย่าประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อย กุศลที่ประกอบด้วยปัญญายังห่างไกล แต่ว่าลักษณะของกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ว่ามีอกุศลสลับมีประโยชน์ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ จะทำอะไร ที่เราต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้ แม้ขณะที่ฟังพระธรรม ก็ยังต้องการกุศลประเภทไหน โดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วกุศลก็คือจิตที่ดีเกิดขึ้น ดีก็คือไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟัง เราฟังเพื่อที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่ฟังไปเพื่อเตรียมแผนการณ์ ว่าวันนี้เราจะทำกุศลประเภทไหน จะให้กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเกิด หรือเวลาที่กุศลไม่ประกอบด้วยปัญญาเกิด แล้วจะทำอย่างไร ไม่ใช่อย่างนั้น นี่คือการฟังด้วยความเป็นเราจะทำ แต่ว่าไม่ได้ฟังเพราะรู้ว่าเป็นธรรม เราไม่สามารถที่จะบังคับให้สภาพธรรมใดเกิดได้ แต่สภาพธรรมใดที่เกิดแล้วสามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะมีปัจจัยเกิดแล้ว เพราะฉะนั้นการฟังบ่อยๆ จะทำให้เราไม่คิดเรื่องอื่น แต่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพราะว่ากำลังมีลักษณะ ซึ่งขณะใดที่ระลึกได้ ขณะนั้นคือไม่นึกเป็นไปเรื่องอื่น เพราะเหตุว่าถ้านึกไปเรื่องอื่น ขณะนั้นไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่อาจจะฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจะทำให้รู้ว่าขณะไหนกำลังรู้ตรงลักษณะที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่การคิดเรื่องราว

    ผู้ฟัง ความคิดในเรื่องราว แม้การตรึกในธรรมในช่วงที่อกุศลเกิด

    ท่านอาจารย์ เวลาที่โลภะเกิดแล้วก็พูดว่าโลภะ อย่างนั้นหรือ

    ผู้ฟัง ลักษณะของกุศล เวลาเรามาฟังธรรม เราก็รู้โดยความเข้าใจเวลาที่เราฟังธรรมว่าย่อมมีกุศลจิตเกิดบ้าง แต่ว่าขณะฟังธรรมมีความพอใจในการฟังธรรม และก็เข้าใจขึ้น และก็รู้ว่าเป็นกุศลอย่างนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นตัวเราแน่นอน

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดไม่ว่าพอใจที่จะฟัง หรืออะไรทั้งหมด ก็ไม่ใช่การรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นจะพอใจ แล้วจะไปพยายามไปรู้ความพอใจก็ไม่ได้ พยายามไปคิดถึงว่าพอใจนี่เป็นอะไร ก็ไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรมจริงๆ เท่านั้นที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น การฟังก็เพื่อที่จะไม่คิดด้วยความต้องการที่จะรู้ แต่ว่ามีสิ่งที่เกิดแล้ว และถ้าไม่รู้ก็ดับไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ลืมที่จะรู้ว่าเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่คือประโยชน์ของการฟัง ไม่ใช่ให้เราเลือกว่าเป็นกุศลประเภทไหน แต่ขณะนี้เป็นสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ไม่เหมือนกันสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เสียง ไม่ใช่แข็ง นี่คือลักษณะจริงๆ แต่ว่ายังไม่รู้ในความเป็นธรรมของลักษณะนั้นๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะคิดที่จะพิจารณาว่าขณะนั้นเป็นกุศล หรือเป็นอกุศลก็เป็นธรรมแต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่จะรู้ได้ว่าเป็นธรรมก็คือ ๖ ทาง ไม่ว่าจะเป็นเห็นก็เป็นสภาพที่สามารถเห็นสิ่งที่ปรากฏได้ รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น เวลาคิดนึกก็ต้องเหมือนกับขณะเห็น คือขณะนั้นเป็นสภาพรู้คำเป็นคำๆ คิดถึงแต่ละคำซึ่งต่างกับเห็น ต่างกับได้ยิน

    ผู้ฟัง ในฐานะที่เรายังเป็นปุถุชนอยู่ในขณะนี้ เราจะดำเนินชีวิตในมรรค ๘ ได้อย่างไรโดยไม่ตึง และไม่หย่อน ไม่ขวาสุด และไม่ซ้ายสุด ให้ดำรงทางสายกลาง หรือให้พอดีนั้นอย่างไรคือพอดี

    ท่านอาจารย์ จะเข้าใจ หรือจะทำ

    ผู้ฟัง ขอความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจก็คือต้องทราบว่าขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ ถ้าไม่มีความเข้าใจจากขั้นการฟังการพิจารณา การไตร่ตรอง สติสัมปชัญญะจะเกิดรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจพอหรือไม่ เป็นเครื่องที่จะรู้ได้เวลาที่สติเกิด ขณะนั้นแสดงว่ามีการฟัง และการเข้าใจที่จะทำให้สติเกิดในขณะนั้นได้ที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏโดยไม่ข้ามไป เช่นแข็งก็มี ขณะนี้ก็ฟัง และแข็งก็ปรากฏนิดหนึ่ง ทุกอย่างทีละเล็กทีละน้อยมาก เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งนามธรรม และรูปธรรมสั้นมากเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ความเป็นเราทำให้จดจ้อง ทำให้ต้องการ ทำให้คิดที่จะทำต่างๆ นาๆ เพราะเหตุว่าปัญญาไม่ถึงความสมบูรณ์ที่จะคลายความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นปัญญาต้องเจริญตามลำดับ และก็รู้ว่าหนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเป็นหนทางละอกุศล เป็นไปเพื่อการละ แต่บอกว่าจะทำอย่างไร ขณะนั้นจะละ หรือว่าจะทำเพื่อได้อะไร แต่ขณะที่กำลังฟังเข้าใจ ความเข้าใจนั้นละความไม่เข้าใจ ละความไม่รู้ ค่อยๆ ละไปด้วยความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น นี่เป็นหนทางเดียวที่จะค่อยๆ ทำลายโลภะได้ เพราะเหตุว่าโลภะนี่มีกำลังมาก อย่างที่กล่าวไว้ว่า แม้แต่เพียงจะให้ฟัง หรือให้มาฟังก็ยาก กลับไปก็โลภะพากลับ นี่ก็แสดงให้เห็นว่ากว่าเราจะมีโอกาสได้อบรมเจริญปัญญาทีละเล็กทีละน้อยต้องรู้กำลังของโลภะ และก็รู้กำลังของอวิชชาด้วย ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้อะไร แล้วก็มีใครคนหนึ่งมาบอกให้เราทำจนกระทั่งเราทำแต่ปัญญาไม่ได้รู้อะไรเลย ไม่ได้ละการไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ทั้งๆ ที่สิ่งที่กำลังปรากฏกำลังมี รู้ยาก และละยาก


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 154
    12 ม.ค. 2567