พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 229


    ตอนที่ ๒๒๙

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘


    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมจึงศึกษาสิ่งที่กำลังมีให้เข้าใจในความละเอียดที่เกิดปรากฏ เช่น เดี๋ยวนี้เห็น หรือไม่ว่าจะเห็นเมื่อไร ที่ไหนก็ตาม จิตเห็นไม่ใช่กุศล เพราะเหตุว่าเป็นผลที่มีเหตุที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ในขณะที่กำลังเห็น เราจะไปรู้ถึงกับว่าเห็นขณะนี้เป็นกุศลวิบากหรือเป็นอกุศลวิบาก คือเป็นผลของกุศลกรรมหรือเป็นผลของอกุศลกรรมได้ไหม ขณะที่กำลังเห็นอย่างนี้ตามความเป็นจริง ถ้าคิดนึกเราอาจจะคิดว่าเราเห็นสิ่งที่สวยงาม เช่น ดอกไม้ เหล่านี้ก็เป็นกุศลวิบากนั่นคือคิดนึก แต่ตามความจริงแม้แต่เห็นขณะนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งเกิดแล้วจึงได้ปรากฏ จึงมีเห็นขณะนี้ซึ่งต้องไม่ลืมคำว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลเป็นธรรม การฟังธรรมจนกว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรม แต่ธรรมในขณะนี้ที่กำลังปรากฏก็ต่างกัน เช่น "เห็น" ไม่ใช่คิดนึก ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ เพราะฉะนั้นธรรมจริงๆ มีมากโดยไม่รู้จึงต้องอาศัยการฟังให้เข้าใจเสียก่อน แต่เมื่อเข้าใจแล้วไม่ลืมว่าหมายความถึงการที่จะรู้ธรรมจริงๆ นั้นต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็นขณะนี้โดยการศึกษา โดยการฟัง ทราบว่าเป็นผลของกรรม ถ้าเป็นผลของกรรม ภาษาบาลีใช้คำว่า “วิปากะ” ภาษาไทยก็พูดสั้นๆ คือวิบาก เพราะฉะนั้นก็เริ่มที่จะเข้าใจเรื่องราว แต่ลืมที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้สภาพที่เป็นวิบากที่เป็นจิตที่เป็นผลของกรรม ทำให้มีธาตุชนิดหนึ่งเกิดขึ้นกำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ยังไม่ต้องไปไกลถึงขนาดที่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ จิตเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก เพราะเหตุว่าการเข้าใจธรรมต้องเข้าใจตามลำดับ ขณะนี้ที่เห็นรู้ไหมว่าเป็นนามธรรม ฟังมาแล้วนานมาก ไม่ไขว้เขว จำได้ว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังเห็นเกิดขึ้นเป็นนามธรรมตอบได้ แต่ลักษณะสภาพที่ไม่ใช่ตัวตนที่เป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเห็นยังไม่รู้

    เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมต้องตามลำดับ คือ ก่อนอื่นต้องรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรม แล้วภายหลังสติปัญญาของใครจะมากพอที่จะรู้ลักษณะของรูปหรือว่าสิ่งที่ปรากฏ หรือกุศลจิตที่ต่างกัน เป็นกุศลวิบาก อกุศลวิบากโดยชื่อ แต่ว่าขณะที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมไม่มีชื่อเพราะเหตุว่ามีแต่ลักษณะซึ่งไม่ใช่ตัวตนกำลังปรากฏ แต่อาศัยการฟังๆ แล้วฟังอีกเพื่อที่จะให้รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม ก็จะรู้ความหลากหลายว่าขณะที่เห็นเป็นสภาพของนามธรรมซึ่งเป็นจิตซึ่งจะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้าเป็นจิตที่ดี เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็เป็นเจตสิกที่ดี แล้วที่จะกล่าวว่าเป็นจิตดีก็เพราะเจตสิกที่ดีเกิดร่วมด้วย แล้วขณะนี้รู้ลักษณะของเจตสิกหรือไม่ ก็ยัง แต่ตามความเข้าใจก็เริ่มที่จะเข้าใจในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วขณะนี้ที่เราได้ยินได้ฟังทั้งหมดเป็นชื่อต่างๆ ที่เรากล่าวถึงเช่นไม่ได้มีแต่จิตเห็นใช่ไหม เห็นแล้วหลังจากนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลนี่คือภาษาบาลี ถ้าเป็นภาษาไทยก็คือว่าเห็นแล้ว จิตที่เกิดต่อเป็นจิตที่ดีหรือเป็นจิตที่ไม่ดี นี่ก็ใกล้ชิดการที่จะรู้ว่าที่เคยเป็นเราดีหรือเราไม่ดี ก็คือเป็นสภาพของจิตที่ดีหรือจิตที่ไม่ดี ขณะที่กำลังฟังธรรมเป็นจิตที่ดี เพราะเหตุว่ามีการที่จะฟังสิ่งที่จะทำให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูก ไม่เข้าใจผิดเพราะความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ด้วยเหตุนี้ขณะนี้ทุกคนก็ตอบได้ หลังจากเห็นแล้วจิตดีเพราะว่ากำลังฟังเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เป็นกุศลจิต แต่ว่าลักษณะของจิตเป็นจิตที่ดีหรือจิตที่ไม่ดีพอที่จะรู้ได้จากขณะนี้ที่กำลังฟัง ไม่ได้ไปสนใจติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในเรื่องราวอื่น แต่กำลังมีศรัทธาความผ่องใสของจิตที่จะฟังเพื่อสะสมความรู้ถูก ความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น การรู้สภาพของจิตที่ดีไม่ใช่ไปรู้โดยชื่อ แต่สามารถจะรู้หลังเห็นนี้กำลังมีศรัทธาความผ่องใสของจิตที่จะฟังต่อไปอีกเพื่อจะได้เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ ลักษณะของจิตที่ดีก็เป็นไปในเรื่องความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจากการได้ฟังธรรม ซึ่งสภาพของจิตที่ดีในชีวิตประจำวันก่อนจะได้ฟังธรรมก็มี ขณะที่เป็นไปในทาน การให้ การช่วยเหลือบุคคลอื่นให้พ้นจากการทุกข์ยาก ซึ่งการให้ต่อไปก็จะทราบว่ามีหลายอย่าง ให้เพื่ออนุเคราะห์คนที่กำลังยากไร้ ให้เพื่อสงเคราะห์แม้ผู้ที่เสมอกันในขณะที่ไม่ได้ยากไร้ ให้ได้ไหม ได้ เมื่อจิตที่ดีงามเกิดขึ้น และให้เพื่อบูชาในคุณความดีของบุคคลอื่น และการให้ก็มีทั้งการให้อามิส ให้วัตถุสิ่งของต่างๆ ให้ธรรม ให้ความเข้าใจ พร้อมที่จะช่วยคนอื่นให้เข้าใจธรรมตามกำลังความสามารถ ถ้ามีเด็กเล็กๆ เราก็อาจจะกล่าวธรรมเรื่องของการเคารพผู้ใหญ่ ปู่ย่าตายาย ตามแต่ขณะนั้นมีอะไรเกิดขึ้น เราก็จะค่อยๆ บอกเป็นไปในทางกุศลโดยที่ว่าไม่จำเป็นต้องใช้คำซึ่งเด็กยังไม่รู้ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่านอกจากกุศลที่เคยมีมาก่อนการฟังธรรมเป็นเรื่องของทานบ้าง เป็นเรื่องของศีลบ้าง ก็ยังมีจิตที่กำลังเป็นจิตประเภทที่ดีงาม ในการที่จะได้เข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นี่ก็คือชีวิตประจำวันซึ่งเพียงเท่านี้ตอบได้แล้วใช่ไหม;ว่า " เห็น" ไม่ใช่จิตที่ดีงาม เพียงเห็น เกิดขึ้นเห็น แล้วจะรู้ว่าเห็นสั้นมาก เพราะว่าหลังจากเห็นดับไปแล้วก็มีจิตคิดนึกซึ่งจิตที่คิดนึกก็แล้วแต่ว่าอย่างหยาบๆ เราก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นจิตที่ดีหรือว่าจิตที่ไม่ดี ก็เริ่มเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพที่มีที่กำลังปรากฏ แต่ต้องไม่ลืมว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจลักษณะที่เป็นธรรมที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมในขณะนี้

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายเพิ่มเติมในขณะที่รู้ลักษณะนั้น รู้ชื่อ หรือรู้เรื่องราวของสภาพธรรมได้อย่างไร เพราะว่าก็ฟังเรื่องราวมามาก

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าไม่สามารถรู้ชื่อ นึกถืงชื่อได้ แต่ขณะที่นึกถึงชื่อเป็นเรานึกหรือว่าเป็นสภาพนามธรรมซึ่งต่างกับเห็น "เห็น" เป็นนามธรรมขณะนี้ ไม่มีรูปร่าง แต่กำลังเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏ ในขณะที่กำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นไม่มีชื่อ แต่ว่าจิตเป็นสภาพที่รู้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น จิตสามารถที่จะคิดขณะนี้ที่เห็นเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ใครอาจจะคิดอย่างนี้ก็ได้ขณะนั้นเป็นจิต แต่ไม่ใช่ความรู้ที่สามารถที่จะรู้ความต่างของจิตเห็นกับกุศลจิตประเภทต่างๆ เพียงฟังเข้าใจเพราะว่ายังไม่ได้แยกที่จะรู้ว่าขณะนี้มีเห็นนี้แน่นอน แต่ว่ายังไม่มีการรู้เฉพาะลักษณะของสิ่งที่ปรากฏหรือสภาพธรรมที่เห็น เพราะเหตุว่าเห็นมีตลอดเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าเห็นไม่ดับ เมื่อเห็นดับไปแล้วสภาพธรรมอื่นก็เกิดต่อ เมื่อสภาพธรรมอื่นเกิดต่อขณะนั้นไม่ใช่เห็น

    เพราะฉะนั้น สติสัมปชัญญะ "ปฏิปัตติ" คือ การถึงเฉพาะด้วยความรู้ ความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมซึ่งต่างกันเป็นแต่ละอย่าง ปรากฏแต่ละทาง แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้คิดถึงชื่อ คิดถึงชื่อแต่ไม่ได้รู้ลักษณะที่เป็นชื่อที่กำลังกล่าวถึง เพราะว่าเราใช้หลายคำใช่ไหม จิต เจตสิก ขณะนี้รู้ลักษณะหรือถึงลักษณะของสภาพธรรมอะไร หรือว่ากล่าวเป็นชื่อออกมาที่กำลังกล่าวว่าขณะนี้ที่เป็นกำลังเห็นเป็นจิต แต่ถ้าในขณะที่เห็นจริงๆ ขณะนั้นไม่ใช่ในขณะที่กำลังกล่าวหรือนึกถึงคำว่า “เห็นเป็นจิต” เพราะเหตุว่าจะมีเฉพาะลักษณะของธรรมหนึ่งธรรมใดที่สติกำลังรู้ตรงนั้น และก็เลือกไม่ได้ บังคับให้สติเกิดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความยากของการที่ว่าฟังธรรมว่ายาก แต่การที่จะรู้ลักษณะจริงๆ ของธรรมย่อมยากกว่า แต่การฟังธรรมเพื่อที่จะได้มีความเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม ไม่ใช่เพียงแต่ชื่อของธรรม เพราะฉะนั้นการศึกษาหรือการฟังธรรมก็มีต่างกันตามลำดับ คือ ต้องอาศัยการฟังเข้าใจก่อนเป็นปัจจัยให้มีการรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมซึ่งใช้คำว่าสติ หมายความว่ากำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ต่อจากนั้นก็แล้วแต่จะเป็นสภาพธรรมอะไรก็ได้ เพราะว่าสภาพธรรมก็เกิดดับเร็วมาก

    ผู้ฟัง ในขณะที่ความเข้าใจในขั้นการฟังก็จะต้องเข้าใจเป็นลำดับอย่างที่ท่านอาจารย์อธิบายมาในลักษณะนี้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ การฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้จนกระทั่งถึงละความไม่รู้ และความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่คุณประทีปกล่าวเมื่อครู่นี้เป็นความจริง เพราะอะไร ขณะนี้สภาพธรรมปรากฏเพราะเกิดแล้ว และเรากำลังพูดถึงเรื่องของสภาพธรรมแต่ละลักษณะที่มีจริงๆ เช่น "เห็น" มีจริงเกิดแล้วปรากฏ "ได้ยิน" มีแล้วเกิดแล้วปรากฏ เรากำลังพูดถึงชื่อของสภาพธรรมในขณะนี้ที่กำลังมีจริงๆ แต่จะเห็นความยากของการที่สติสัมปชัญญะจะเกิด และรู้เฉพาะหรือถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง เพราะอะไร เพราะเราสะสมความเป็นเราไว้มาก แม้ว่าขณะที่กำลังฟังอย่างนี้มีความเข้าใจถูกต้องว่าปัญญาความเห็นถูก เห็นถูกในอะไร ต้องเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ สิ่งใดที่หมดแล้วดับแล้ว ไม่สามารถที่จะให้ความจริงได้ สิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นปัญญาจริงๆ คือความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เมื่อยังมีความเป็นตัวตนก็มีเราจะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งขณะนั้นเป็นการคิดถึงสิ่งที่ยังไม่มี ในเมื่อขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่ายังไม่ถึงกาลที่จะรู้ลักษณะของสติสัมปชัญญะซึ่งไม่ใช่ตัวตน แต่ว่าเป็นขณะที่กำลังเกิดขึ้น และก็รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งจริงๆ ที่ปรากฏ มิฉะนั้นก็จะมีความเป็นเราที่จะรู้เกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็คือไม่ได้รู้ว่าขณะนั้นเป็นตัวตนที่ยังคงมีที่จะรู้ ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของสติซึ่งเกิด และกำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ นี่ก็เป็นเรื่องการฟังที่ละเอียดที่จะต้องรู้ว่าสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ยังไม่รู้จึงฟังให้เข้าใจก่อน และเมื่อเข้าใจแล้วก็จะมีการรู้ลักษณะของสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏเกิดแล้วปรากฏแล้วตามปกติ แต่ส่วนใหญ่จะไปทำให้สิ่งที่ยังไม่เกิด ให้เกิด เช่นจะไประลึกหรือจะไปตั้งสติ หรืออะไรก็ตามแต่ นั่นคือมีความเป็นตัวตนทั้งๆ ที่ฟังว่าสภาพธรรมทั้งหมดไม่ใช่ตัวตน ถ้าไม่มีปัจจัยที่ควรแก่สภาพธรรมนั้นจะเกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏอย่างนี้ก็เกิดไม่ได้ นี่คือการฟังจนกว่าจะละความไม่รู้ และความเป็นเราซึ่งละเอียดขึ้น ขณะนี้ถ้าไม่ใช่การที่จะฟังให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นก็ไม่ใช่การฟังธรรม เป็นเรื่องอื่น แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏไม่ว่าจะเป็นเห็นมีจริง ได้ยินมีจริง โลภะมีจริง อโลภะคือกุศลสภาพที่ดีงามมีจริง ทุกอย่างมีจริงเกิดขึ้นดับไปโดยไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็คือว่าเพื่อได้รู้ความจริงของสิ่งนั้น ขณะนั้นต้องบอกไหมว่าเป็นจิตที่ดีงามที่ประกอบด้วยปัญญา

    ผู้ฟัง ก็คงไม่ต้องบอก โอกาสที่จะรู้ตัวจริงของสภาพธรรมก็คงมีไม่ได้ในขั้นการฟัง มีเช่นนี้ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็พิสูจน์ได้ ขณะนี้ตัวจริงของธรรมทั้งนั้นเลย ทางตาก็จริง มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ เห็นก็จริง ได้ยินก็จริง แล้วรู้หรือไม่ รู้หรือยัง นี่คือการที่เราจะฟังธรรมจากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่งเพื่อให้มีความเข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่าได้มีศรัทธาแล้วในการที่จะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มิฉะนั้นแล้วก็จะมีการเกิดการตาย การเกิดการตาย ด้วยการไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเหมือนกับอยู่ในกรงของกิเลสซึ่งอยู่ในความมืดคืออวิชชา กรงก็คือสังสารวัฏ ออกจากกรงไม่ได้เลย ถ้าไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่าไม่มีเรา ไม่มีตัวตนเลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ เมื่อฝันกำลังฝันเหมือนกับมีจริง แต่พอตื่นขึ้นมีอะไรบ้าง ฝันว่าได้เงินทอง พระพุทธรูป ดอกไม้ อาหารอร่อย พอตื่นขึ้นมีอะไรอยู่หรือไม่ ไม่มี เพราะฉะนั้นขณะเมื่อครู่นี้ซึ่งเหมือนมีสาระ เป็นแต่เพียงขณะที่เดี๋ยวนี้หมดไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดถึงขณะเดี๋ยวนี้กับเมื่อครู่นี้ ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ก็ตรัสรู้ตามความเป็นจริงว่าขณะก่อนที่ดับไปก็เหมือนฝัน ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ดับไปหมดไม่กลับมาอีกเลย ก็เหมือนฝันซึ่งเมื่อตื่นขึ้นก็ไม่มีอะไรเหลือ

    เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ เราอาจจะคิดว่าเรามีการสูญเสียบางวัน แต่ว่าความจริงไม่รู้ว่าสูญเสียสภาพธรรมที่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไปทุกขณะ ไม่มีอะไรเหลือจนกว่าจะถึงขณะสุดท้าย ก็จะรู้ความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เหมือนเป็นของเราก็คือสิ่งที่ไม่สามารถที่จะติดตามไปได้ เหมือนฝัน โดยทั่วไปก่อนศึกษาธรรม เราเข้าใจว่าฝันคือขณะที่หลับสนิท ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสนั้นขณะหนึ่ง หลับสนิทไม่ใช่ฝัน แต่เวลาที่หลับแล้วฝันไม่เหมือนกับหลับสนิท ถ้าหลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่คิดนึกด้วย ไม่รู้อะไรเลย โลกนี้ไม่ปรากฏ หลับสนิท โลกนี้ปรากฏหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ อยู่ที่ไหน หลับสนิท รู้ไหม อยู่ที่บ้านอย่างเดิมหรือไม่ หรือว่าไปอยู่ที่โรงแรมต่างจังหวัดหรือที่ไหน ไม่สามารถจะรู้ได้เลย เพราะว่าไม่มีอะไรปรากฏให้รู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่คือหลับสนิท แต่ยังมีจิตเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ ยังไม่ตาย ยังไม่จากโลกนี้ไป ขณะที่หลับสนิท จิตเป็นกุศลหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เราจะต้องพิจารณาจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเราเองในความหมายของกุศลคือจิตที่ดีงาม ในขณะที่หลับสนิท จิตเป็นกุศลหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็น จิตเป็นอกุศลหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ขณะใดเป็นอกุศล ขณะนั้นไม่ได้หลับสนิท ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นก็ไม่ได้หลับสนิท เพราะฉะนั้นขณะที่หลับสนิทจริงๆ คือขณะที่โลกนี้ไม่ได้ปรากฏ เป็นจิตชาติไหน ถ้าไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล หลับสนิทเป็นจิตชาติไหน เพราะว่าชาติของจิตคือการเกิดขึ้นของจิตจะต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๔ อย่าง หรือที่ใช้คำว่า ๔ ชาติคือเป็นกุศลหนึ่ง อกุศลหนึ่ง เป็นวิบากหนึ่ง เป็นกิริยาหนึ่ง กุศลเป็นจิตที่ดีงามให้ผลเป็นสุข เมื่อเหตุมีดับไปแล้วก็สะสมสืบต่อ เมื่อพร้อมด้วยปัจจัยก็ให้ผลเป็นกุศลวิบากคือจิตประเภทที่เป็นผลของกุศลที่ได้กระทำแล้ว สามารถที่จะเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี ได้กลิ่นที่ดี ได้ลิ้มรสที่ดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสที่ดี นี่เป็นผลของกุศล กำลังหลับสนิทเป็นจิตชาติไหน เป็นชาติวิบาก เป็นผลของกรรม ยังไม่ทำให้จากโลกนี้ไป ยังไม่ทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ทั้งๆ ที่ขณะเกิดขณะแรกก็เหมือนกับขณะที่กำลังหลับสนิทเพราะว่าอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ เป็นจิตชาติวิบากซึ่งเกิดขึ้นทำกิจปฏิสนธิ แล้วแต่ว่าจะเป็นจิตปฏิสนธิในที่ไหน และเมื่อปฏิสนธิแล้วไม่ใช่มีเพียงแค่เกิด เกิดแล้วก็เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แล้วแต่ผลของกรรม แล้วก็มีกุศลหรืออกุศลที่สะสมมาเรื่อยมาเป็นชีวิตประจำวัน แต่ขณะที่นอนหลับสนิทเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม ยังไม่ทำให้จุติ เพื่อที่จะต้องรับวิบากอื่นที่จะต้องเกิดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้นในขณะนั้นก็เป็นจิตที่ไม่ใช่กุศลจิต และไม่ใช่อกุศลจิต ต้องท่องหรือไม่ ไม่ต้องท่อง เพราะฉะนั้นฝันเกิดขึ้นในขณะที่ไม่ใช่หลับสนิท เพราะเหตุว่ามีการคิดนึกทางใจ เวลาที่ใช้คำว่า “ฝัน” หมายความว่าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังกระทบสัมผัสกาย แต่คิดนึก แล้วฝันมาจากไหน ถ้าไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน วันนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มากมาย คืนนี้อาจจะฝันถึงสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่นก็ได้ เพราะฉะนั้นฝันก็เกิดจากการจำสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องราวต่างๆ แล้วก็เกิดคิดนึกทางใจโดยไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ขณะนั้นใช้คำว่า “ฝัน” หรือ “นิมิต” ก็เป็นความหมายหนึ่งของคำว่านิมิต แต่ความหมายของนิมิตยังมีอย่างอื่นอีก เช่น ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาดับหรือไม่

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ เห็นการดับของสิ่งที่กำลังปรากฏหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เห็น แต่เข้าใจได้ เพราะเห็นกับได้ยินต้องต่างกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏเสมือนไม่ดับใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏเป็นนิมิตของสิ่งที่เกิดดับสืบต่อ เพราะฉะนั้นถ้าคิดลึกๆ พิจารณาลึกๆ เราอยู่ในโลกที่เราไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เหมือนอยู่ในฝัน เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เกิดแล้วดับทันทีเร็วมาก แต่ก็มีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดดับสืบต่อเสมือนไม่ดับ รู้ความจริงหรือไม่ เมื่อไม่ใช่ความจริง สิ่งที่กำลังปรากฏก็เหมือนกับสิ่งที่ปรากฏในฝัน เป็นนิมิตของสิ่งที่เกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรมจะเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งมีความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ไม่คลาดเคลื่อน ก็จะรู้ว่าการฟังพระธรรมเพื่อให้มีความเข้าใจยิ่งขึ้น ถูกต้องขึ้นในสิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นธรรม และก็เป็นอนัตตาทั้งหมด นี่ก็เป็นอีกความหมายหนึ่งของนิมิต

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้ช่วยอธิบายเพิ่มเติมก็ทำให้เข้าใจได้ว่าในขณะที่มีสิ่งที่ปรากฏ และรู้ได้ สิ่งๆ นั้นต้องเกิดแล้ว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 154
    12 ม.ค. 2567