กรรม ตอนที่ 16


    สำหรับกัมมปัจจัย ก็จำแนกออกได้เป็น ๒ อย่าง คือ เป็นสหชาตกัมมปัจจัย ๑เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย ๑

    สำหรับ “สหชาตกัมมปัจจัย” ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตทุกดวง โดยเจตนาเจตสิกเป็นปัจจัย และจิต และเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมกันในขณะเดียวกันเป็นปัจจยุปบัน

    หมายความว่า ในจิตดวงหนึ่งที่มีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เมื่อเจตนาเจตสิกเป็นกัมมปัจจัย จิต และเจตสิกอื่นที่เกิดร่วมดับเจตนานั้นก็เป็นปัจจยุปบัน คือ เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะกัมมปัจจัยนั้น

    นอกจากนั้นรูปก็เป็นปัจจยุปบันด้วย เพราะเหตุว่าขณะใดที่จิต และเจตสิกเกิดย่อมมีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วย มิฉะนั้นแล้วการกระทำกุศลกรรม และอกุศลกรรมย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ที่มีการกระทำที่เป็นกุศลกรรมบ้าง หรือว่าอกุศลกรรมบ้าง ก็เพราะเหตุว่าเจตนาเจตสิกเกิดร่วมกับจิต และเจตสิกในขณะนั้น เป็นปัจจัยให้รูปที่เกิดเพราะจิตในขณะนั้นกระทำกายกรรม หรือวจีกรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล

    สำหรับสหชาตกัมมปัจจัย มีข้อสงสัยอะไรไหมคะ

    ได้แก่ เจตนาเจตสิกซึ่งเป็นกัมมปัจจัยเกิดพร้อมกับปัจจยุปบันนธรรม คือ เกิดพร้อมกับจิต และเจตสิกอื่นๆ ซึ่งเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาติกุศล อกุศล วิบาก กิริยาก็ตาม

    เพราะฉะนั้นสหชาตกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่เกิดกับจิต ๘๙ ดวง และเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมกันในขณะนั้น และรูปที่เกิดขึ้นเพราะจิต และเจตสิกในขณะนั้น ซึ่งก็ต้องเกิดเพราะเจตนาที่เกิดร่วมด้วยในขณะนั้นเป็นกัมมปัจจัยด้วย

    4116 รูปมีสมุฏฐาน ๔

    รูปมีสมุฏฐาน ๔ คือ บางรูปมีกรรมเป็นสมุฏฐาน บางรูปมีจิตเป็นสมุฏฐาน บางรูปมีอุตุเป็นสมุฏฐาน บางรูปมีอาหารเป็นสมุฏฐาน แต่ละกลุ่มๆ รูปใดซึ่งเกิดขึ้นเพราะกรรม รูปนั้นไม่ได้เกิดเพราะจิต หรือเพราะอุตุ หรือเพราะอาหาร รูปใดซึ่งเกิดขึ้นเพราะจิต รูปนั้นไม่ได้เกิดเพราะกรรม อุตุ อาหารเป็นสมุฏฐาน

    เพราะฉะนั้นแต่ละรูปแต่ละกลุ่มของรูปก็ต้องมีสมุฏฐานของตนๆ

    และสำหรับปัจจัยที่ ๑๓ ปัจจัยนี้ คือ กัมมปัจจัย บอกแล้ว แสดงแล้วว่ารูปซึ่งต้องเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย

    และในขณะที่จิตเกิดขึ้นดวงหนึ่งๆ เว้นทวิปัญจวิญญาณแล้ว มีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นในขณะที่จิตเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดแต่เฉพาะจิต มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ทั้งจิต และเจตสิกเป็นจิตตุปา เป็นสมุฏฐานที่จะให้รูปเกิดขึ้น เป็นจิตตชรูป

    4117 จิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวง

    ขณะนี้จิตเกิดขึ้นดวงหนึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ดวง สำหรับทวิปัญญจวิญญาณ ไม่เป็นสมุฏฐานให้เกิดรูป เพราะเหตุว่าเป็นจิตที่มีกำลังอ่อน

    เพราะฉะนั้นที่จิตจะเป็นปัจจัยให้รูปเกิดขึ้นได้ ต้องเป็นจิตที่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากกว่า ๗ ดวง เพราะเหตุว่าจิตซึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๗ ดวง ได้แก่ ทวิปัญจวิญญาณเท่านั้น ซึ่งเป็นจิตที่มีกำลังอ่อน ไม่เป็นสมุฏฐานให้รูปเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นอย่างโลภมูลจิตเกิดขึ้น มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากกว่า ๗ ดวง ในขณะนั้นมีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นในขณะนั้นที่โลภมูลจิตเกิด มีจิตตชรูปเกิดพร้อมอุปาทขณะของโลภมูลจิต ซึ่งเจตสิกทุกดวงที่เกิดพร้อมโลภมูลจิตนั้น ก็เป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้นจิตตชรูปเกิดเพราะจิต และเจตสิกเป็นสมุฏฐาน ไม่ใช่เพราะจิตเป็นสมุฏฐานอย่างเดียว

    นี่ค่ะ ชีวิตประจำวันจริงๆ

    4118 เจตนาเป็นสหชาตกัมมปัจจัยต่อจิตตชรูป

    ประวิทย์ ถ้าเป็นชวนจิต เจตนาในชวนจิตเป็นกัมมปัจจัยของรูปด้วยหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ตัวเจตนาเป็นกัมมปัจจัย แต่รูปเป็นรูปซึ่งเกิดเพราะจิต และเจตสิกทั้งหมด เพราะฉะนั้นจิตตชรูปในขณะนั้นต้องเกิดเพราะเจตนาเจตสิกเป็นปัจจัยด้วย ถ้าจะกล่าวโดยเป็นกัมมปัจจัย โดยเป็นสหชาตกัมมปัจจัย

    ใช้คำว่า “กรรม” “กัมมปัจจัย” แต่เป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิด ถูกไหมคะ เพราะเหตุว่าในความหมายของสหชาตกัมมปัจจัย

    4119 กัมมปัจจัย ๒ อย่าง

    ยังมีข้อสงสัยอะไรอีกไหมคะ ในเรื่องของสหชาตกัมมปัจจัย

    ถ้าจะให้จำง่ายๆ เจตนาเจตสิกเป็นกัมมปัจจัย แต่กัมมปัจจัยจำแนกออกเป็น ๒ อย่าง เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจกัมมปัจจัยทั้ง ๒ อย่างให้ละเอียด คือ เจตนาเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง เป็นสหชาตกัมมปัจจัยแก่จิต และเจตสิกอื่นๆ ซึ่งเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    นี่ตอนหนึ่งนะคะ และนอกจากจะเป็นปัจจัยให้จิต และเจตสิกอื่นๆ เกิดร่วมด้วยแล้ว ยังเป็นปัจจัยให้รูปเกิดร่วมด้วย และรูปซึ่งเกิดในขณะนั้น คือ จิตตชรูป เพราะเหตุว่าจิตเป็นสมุฏฐานให้เกิดรูปได้ นอกจากทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง ซึ่งแม้ว่าจะมีเจตนาเจตสิกเกิดกับทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวงก็จริง แต่ว่าลักษณะสภาพของทวิปัญจวิญญาณเป็นจิตที่อ่อน ไม่มีกำลัง เพราะเหตุว่าเกิดเพราะเจตสิกเพียง ๗ ดวงเท่านั้นเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นแม้ทวิปัญจวิญญาณจะมีเจตนาเจตสิกเป็นกัมมปัจจัย แต่ก็ไม่เป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิด

    เวลาที่จิตซึ่งมีกำลัง ไม่ใช่ทวิปัญจวิญญาณเกิดขึ้น จะเป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิด แล้วก็มีเจตนาเจตสิกเป็นกัมมปัจจัย เพราะฉะนั้นเจตสิกนั้นซึ่งเป็นกัมมปัจจัย ก็เป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิดด้วย

    ชื่อว่าจิตตชรูป แต่เกิดขึ้นเพราะจิต และเจตสิกทั้งหมด ซึ่งก็หมายความว่าต้องเกิดเพราะเจตนาเจตสิกซึ่งเกิดร่วมด้วยเป็นกัมมปัจจัยด้วย แต่เป็นสหชาติกัมมปัจจัย

    4120 จิตตชรูปเกิดแม้ในขณะที่นอนหลับ

    ขณะที่กำลังนอนหลับ มีจิตตชรูปเกิดไหมคะ มี เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ นี่ต้องจำไว้เลยค่ะ สำหรับปฏิสนธิจิตไม่มีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วย หมดปัญหาไปแล้ว เพราะเหตุว่าขณะปฏิสนธิดับไปเนิ่นนานแล้ว ไม่ใช่ชีวิตประจำวัน แต่ชีวิตประจำวันมีทวิปัญจวิญญาณ คือ จิตเห็นทางตา จิตได้ยินทางหู จิตได้กลิ่นทางจมูก จิตลิ้มรสทางลิ้น จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย รวม ๑๐ ดวง เกิดอยู่บ่อยๆ เป็นประจำ จิต ๑๐ ดวงนี้เท่านั้น ในชีวิตประจำวันที่ไม่มีรูปเกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้นในขณะที่นอนหลับสนิท ก็ต้องมีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วย

    ในขณะที่ฝันมีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วยไหมคะ มี

    ในขณะนี้ มีจิตตชรูปเกิดร่วมด้วยไหมคะ มี และในจิตต่างๆ เหล่านี้ ก็มีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นกัมมปัจจัย

    เพราะฉะนั้นเจตนาเจตสิกที่เป็นกัมมปัจจัย และเจตสิกอื่นๆ และจิตเป็นปัจจัยให้จิตตชรูปเกิด

    สำหรับสหชาตกัมมปัจจัย ก็คงไม่มีอะไรยุ่งยาก หมายความถึงเจตนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตทุกดวง

    ชื่อว่าสหชาตกัมมปัจจัย เพราะเหตุว่าเกิดพร้อมกันกับปัจจยุปบัน

    4176 เจตนาเจตสิกเป็นกัมมปัจจัย

    กัมมปัจจัยอีกประเภทหนึ่ง คือ “นานักขณิกกัมมปัจจัย” ได้แก่ เจตนาเจตสิกซึ่งเป็นกัมมปัจจัยทำให้ปัจจยุปบัน คือ ผลของกัมมปัจจัยนั้นเกิดขึ้นต่างขณะกัน คือไม่ใช่เกิดพร้อมกับเจตนาเจตสิกเหมือนอย่างสหชาตกัมมปัจจัย แต่ว่าทำให้ผลของเจตนาเจตสิกซึ่งเป็นกัมมปัจจัยเกิดขึ้นต่างขณะกัน ไม่ใช่ในขณะเดียวกัน จึงชื่อว่า “นานักขณิกกัมมปัจจัย”

    เป็นกัมมปัจจัยที่ทำให้ผลคือ วิบากจิต และเจตสิก และกัมมชรูปเกิดขึ้นในภายหลัง เมื่อเจตนาซึ่งเป็นกรรมนั้นดับแล้ว

    เพราะฉะนั้นสำหรับนานักขณิกกัมมปัจจัย ก็ได้แก่ เจตนาในกุศลจิต และในอกุศลจิตเท่านั้น ไม่ใช่เจตนาในจิตซึ่งเป็นวิบาก หรือเจตนาในจิตซึ่งเป็นกิริยา

    ถ้าเจตนาในจิตซึ่งเป็นวิบากหรือเจตนาในจิตที่เป็นกิริยาแล้ว เป็นสหชาตกัมมปัจจัย

    แต่ถ้าเป็นเจตนาในกุศลจิต และอกุศลจิตแล้ว เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย เพราะเหตุว่าเมื่อจิต และเจตนาเจตสิกอื่นๆ นั้นดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้วิบากจิต และเจตสิกเกิดขึ้นในภายหลัง ต่างขณะกัน ไม่ใช่ในขณะเดียวกัน

    มีข้อสงสัยอะไรไหมคะในเรื่องนานักขณิกกัมมปัจจัย

    4177 กรรมทำให้วิบากจิต และเจตสิกเกิด

    กรรมซึ่งเป็นนามธรรม เป็นเจตนาเจตสิกเป็นปัจจัย ทำให้ปัจจยุปบัน คือ วิบากจิต และรูปเกิดขึ้น

    โดยมากทุกท่านมักจะเห็นผลของกรรมเฉพาะแต่รูป ไม่ได้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรม ซึ่งรับผลของกรรม ซึ่งเป็นวิบากนั้น มี แต่เวลาที่ท่านผู้ฟังมักจะพูดกันว่า นี่เป็นผลของกรรม หรือนั่นเป็นผลของกรรม ท่านก็จะนึกถึงในด้านของวัตถุ เช่นในเรื่องของรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ โภคสมบัติ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม หรือถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็มักจะคิดถึงในเรื่องของรูปธรรมเท่านั้น คือ ในเรื่องของรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ หรือว่าความวิบัติของโภคทรัพย์ต่างๆ แต่ให้ทราบว่าสภาพธรรมที่เป็นปัจจยุปบัน เป็นผลของกรรม เป็นนามธรรมด้วย คือ จิต และเจตสิกซึ่งเป็นวิบากจิต

    มีข้อสงสัยในเรื่องของนานักขณิกกัมมปัจจัยไหมคะ

    4178 นานักขณิกกัมมปัจจัย

    มีข้อสงสัยอะไรไหมคะในเรื่องนานักขณิกกัมมปัจจัย

    ถ้าทราบว่า เหตุ คือ เจตนาเจตสิกเกิดร่วมกับกุศลจิต หรืออกุศลจิต เป็นเหตุให้เกิดกายกรรม และวจีกรรมที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง มี แม้ว่าดับไปแล้ว ใครจะคิดว่าไม่ให้ผล ก็เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่า กรรมได้แก่เจตนาเจตสิกซึ่งเกิดกับกุศลจิต และอกุศลจิต แต่ถ้าเข้าใจว่า กรรม คือ เจตนาเจตสิกที่เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย ต้องเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม แม้ว่าดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นในภายหลัง ผู้นั้นก็ย่อมเป็นผู้ที่เชื่อในเรื่องของกรรม และในเรื่องผลของกรรมว่า เป็นสิ่งซึ่งเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะเหตุว่าเมื่อเหตุมี เมื่อปัจจัยมี ปัจจยุปบัน คือ ผลของเหตุนั้นก็ต้องมีด้วย

    4179 ไม่พ้นไปจากกรรม

    ข้อความในอัฏฐสาลินี จิตตุปปาทกัณฑ์ มีข้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ไม่ว่าในอากาศ ไม่ว่าในกลางทะเล ไม่ว่าจะเข้าไปสู่ในระหว่างภูเขา ย่อมไม่มีภูมิประเทศที่สัตว์สถิตอยู่แล้ว จะพึงพ้นไปจากบาปกรรมได้ แม้นี้ชื่อว่า “กัมมนิยาม” นั่นเอง

    สำหรับเรื่องที่กระทำให้พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้คือ

    ไม่ว่าในอากาศ ไม่ว่าในกลางทะเล ไม่ว่าจะเข้าไปสู่ระหว่างภูเขา ย่อมไม่มีภูมิประเทศที่สัตว์สถิตอยู่แล้ว จะพึงพ้นไปจากบาปกรรมได้

    มีข้อความแสดงว่า สำหรับ ไม่ว่าในอากาศ คือ

    ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไฟไหม้บ้านใกล้ประตูเมืองสาวัตถุ ต่อนั้นกระจุกหญ้าติดไฟขึ้นไปสวมคอกาซึ่งบินไปทางอากาศ กานั้นร้องตกตายบนแผ่นดิน

    ซึ่งเมื่อภิกษุได้กราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าในพระวิหารเชตวัน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ข้อนี้มิใช่ผู้อื่นกระทำ เป็นกรรมที่เขาเหล่านั้นแหละกระทำไว้

    แล้วได้ทรงนำเอาอดีตนิทาน คือ เรื่องในครั้งก่อนมาตรัสแสดงว่า

    กาเป็นคนในชาติก่อน เมื่อไม่สามารถจะฝึกโคโกงตัวหนึ่งได้ ก็ผูก ใช้คำว่า เขน็ดใบไม้แห้งสวมคอ แล้วจุดไฟ โคตายด้วยไฟนั้นแหละ บัดนี้ กรรมนั้นไม่อาจจะปล่อยกานั้น แม้ไปอยู่ทางอากาศ

    สำหรับในเรื่องของ ไม่ว่าในกลางทะเล

    เป็นเรื่องของหญิงผู้หนึ่งซึ่งโดยสารมาในเรือลำหนึ่ง เรือลำนั้นไม่สามารถจะแล่นต่อไปได้ หยุดนิ่งอยู่ในมหาสมุทร ทุกคนไม่ทราบว่า ทำอย่างไรจึงจะรอดชีวิตได้ ก็ได้เสี่ยงจับสลากหาผู้ที่เป็นกาลกัณณี สลากนั้นก็ตกไปในมือของภรรยาของนายเรือ ซึ่งทำให้ผู้หญิงคนนั้นถูกจับโยนลงน้ำไป แต่นายเรือกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถจะเห็นนางนี้ลอยอยู่ในน้ำได้ จึงให้เอาหม้อบรรจุทรายผูกคอ แล้วให้โยนลงไป ทันใดนั้นเองเรือก็แล่นออกไปได้ เหมือนดังลูกศรซึ่งซัดไปฉะนั้น

    เมื่อพระภิกษุกราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาค พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์อดีตกรรมของผู้หญิงนั้นว่า

    ในชาติก่อนหญิงนั้นก็เป็นหญิงคนหนึ่ง มีสุนัขเลี้ยงตัวหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะไปที่ไหน สุนัขนั้นก็ติดตามไป จนกระทั่งพวกชาวบ้านพากันเยาะเย้ยว่า พรานสุนัขของพวกเราออกแล้ว ซึ่งทำให้ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกอึดอัด เพราะว่าไม่สามารถห้ามสุนัขนั้นไม่ให้ติดตามได้ ก็เลยเอาหม้อบรรจุทรายผูกคอสุนัขโยนลงน้ำไป

    เพราะฉะนั้นกรรมนั้นจึงไม่ให้เพื่อจะปล่อยเธอลงในกลางทะเล ก็ต้องถูกหม้อบรรจุทรายผูกคอแล้วโยนลงน้ำ

    สำหรับข้อความที่ว่า ไม่ว่าจะเข้าไปสู่ระหว่างภูเขา

    พระผู้มีพระภาคตรัสแสดงอดีตกรรมของภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งภิกษุรูปนี้อยู่ในถ้ำ แล้วมียอดภูเขาใหญ่ตกมาปิดปากถ้ำไว้ ในวันที่ ๗ ยอดภูเขาใหญ่ที่ตกลงมาปิดประตูนั้นจึงได้กลิ้งออกไปได้

    ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสแสดงอดีตกรรมของภิกษุรูปนี้ว่า เคยเป็นเด็กเลี้ยงโคในชาติก่อน แล้วได้ปิดปากประตูขังเหี้ย ซึ่งเข้าไปในรู แล้วในวันที่ ๗ ก็มาเปิดให้ เหี้ยก็ตกใจกลัวตัวสั่นออกไป แต่เขาก็ไม่ได้ฆ่า เพราะฉะนั้นกรรมนั้นก็ไม่ได้เพื่อให้จะปล่อยภิกษุนั้นผู้เข้าไปสู่ซอกภูเขา นั่งอยู่ ยังติดตามให้ผลได้

    แม้นี้ชื่อว่า “กัมมนิยาม” นั่นเอง เพราะเหตุว่า นิยามมี ๕ อย่าง ได้แก่

    พืชนิยาม หรือพีชนิยาม กำหนดที่แน่นอนของพืช ๑

    อุตุนิยาม กำหนดที่แน่นอนของฤดู ๑

    กัมมนิยาม กำหนดที่แน่นอนของกรรม ๑

    ธัมมนิยาม กำหนดที่แน่นอนของธรรมดา ๑

    จิตตนิยาม กำหนดที่แน่นอนของจิต ๑

    ตามข้อความในจิตตุปาทกัณฑ์ ในอัฏฐสาลินี

    4180 นิยาม ๕ ..กรรมนิยาม

    อยากทราบเรื่องของนิยาม ๕ อย่าง ใช่ไหมคะ

    ข้อความในอัฏฐสาลินี อรรถกถาพระธัมมสังคิณีปกรณ์ จิตตุปปาทกัณฑ์ ว่าด้วย นิยาม มีข้อความว่า นิยามมี ๕ อย่าง คือ

    พืชนิยาม หรือ พีชนิยาม ๑ อุตุนิยาม ๑ กัมมนิยาม ๑ ธัมมนิยาม ๑ จิตตนิยาม ๑

    ในบรรดานิยามทั้ง ๕ นั้น การที่พืชนั้นๆ ให้ผล เหมือนกันกับพืชนั้นๆ เช่น ดอกทานตะวันหันหน้าไปหาพระอาทิตย์ ชื่อว่า “พืชนิยาม” คือ เป็นธรรมดา หรือธรรมเนียมของพืชชนิดนั้นๆ ไม่เปลี่ยนแปลง

    สำหรับ “อุตุนิยาม” มีคำอธิบายว่า การที่ต้นไม้นั้นๆ ติดดอกผล และใบอ่อนพร้อมกันในสมัยนั้นๆ ชื่อว่า อุตุนิยาม หน้าทุเรียน หน้ามะม่วง ไม่สลับกัน นั่นคือ อุตุนิยาม

    สำหรับ “กัมมนิยาม” คือว่าการที่กรรมนั้นๆ ให้วิบากเหมือนกันกับกรรมนั้นๆ นั่นเทียว อย่างนี้ คือ ถ้ากุศลกรรมประกอบด้วยปัญญา ก็ให้ผลเป็นวิบากที่ประกอบด้วยปัญญา หรือว่ากุศลกรรมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ก็ให้ผล คือ วิบากที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา นี่ชื่อว่า “กัมมนิยาม”

    นอกจากนั้นก็ได้แสดงเรื่อง “กัมมนิยาม” อีกอย่างหนึ่ง คือ วิบาก ย่อมเป็นไปตามกรรม ดังที่ได้กล่าวถึงแล้วที่ว่า มีไฟไหม้ใกล้ทวารกรุงสาวัตถี มีกระจุกหญ้าติดไฟขึ้นไปสวมคอกาที่บินไปทางอากาศ นั่นก็เป็น “กัมมนิยาม”

    สำหรับ “ธัมมนิยาม” คือ ในกาลที่พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายทรงถือปฏิสนธิ ในกาลที่ทรงออกจากครรภ์พระมารดา ในกาลที่ทรงตรัสรู้พระอภิสัมโพธิญาณ ในกาลที่พระตถาคตเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักร ในกาลที่ทรงปลงพระชนมายุสังขาร ในกาลที่ปรินิพพาน หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว ชื่อว่า “ธัมมนิยาม”

    สำหรับ “จิตตนิยาม” มีข้อความว่า

    เมื่ออารมณ์กระทบกับปสาทรูป ใครๆ ที่จะเป็นผู้กระทำหรือผู้สั่งให้กระทำว่า “เจ้านะ จงชื่อว่าอาวัชชนะ ... ตลอดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง ... เจ้านะจงชื่อว่าชวนะ” ดังนี้ ย่อมไม่มี คือ สภาพธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเป็นไปโดยธรรมดาของตนๆ นั่นเอง ตั้งแต่กาลที่อารมณ์กระทบกับปสาท จิตก็เกิดดับสืบต่อกัน ชื่อว่า “จิตตนิยาม”

    ยังมีข้อสงสัยอะไรอีกไหมคะ ในเรื่องนิยาม

    ถาม ผมเข้าใจว่า เจตนาดวงเดียว เป็นได้ทั้งสหชาตกัมมปัจจัย และนานักขณิกกัมมปัจจัย

    ท่านอาจารย์ สำหรับที่เกิดกับกุศลจิต และอกุศลจิต เจตนาในขณะที่เกิดขึ้นเป็นสหชาตกัมมปัจจัยแล้วดับ แล้วก็เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย เมื่อวิบัติจิตเกิดขึ้นภายหลัง



    หมายเลข 3
    4 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ