กรรม ตอนที่ 07


    เพราะฉะนั้น กรรมที่เป็นเหตุแห่งวิบาก เพราะคติสมบัติหรือวิบัติ ๑

    คติสมบัติก็ได้แก่การเกิดในสุคติภูมิ คติวิบัติก็ได้แก่การเกิดในทุคติภูมิ ถ้าเป็นผลของกุศลก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ ถ้าเป็นผลของอกุศลก็ทำให้เกิดในทุคติภูมิ เพราะฉะนั้นคติก็มีส่วนสำคัญว่า จะทำให้กรรมใดๆ ที่ได้กระทำไปแล้วมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นทำกิจให้ผลเป็นอุปถัมภกกรรม หรือว่าอุปปีฬกกรรม หรือว่าเป็นอุปฆาตกกรรมแต่ไม่ใช่ว่ากรรมที่ทำไปแล้วจะไม่มีผล ตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ถึงขณะที่ปรินิพพาน กรรมใดที่ได้กระทำแล้วก็ยังมีโอกาสที่จะให้ผลอย่างหนึ่งอย่างใด คือ อาจจะเป็นอุปถัมภกกรรม หรือว่าอุปปีฬกกรรม หรือว่าเป็นอุปฆาตกกรรม

    ถ้าเกิดในสวรรค์ อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วก็ไม่มีโอกาสที่จะให้ผลเหมือนอย่างเกิดในภูมิมนุษย์ หรือในภูมิที่เป็นคติวิบัติ เช่น ในภูมินรก ในภูมิเปรต ในภูมิอสุรกาย ในภูมิสัตว์เดรัจฉาน

    นี่ก็เป็นความสำคัญของกรรมที่จะให้ผลว่า ย่อมแล้วแต่คติ คือ กำเนิดด้วย

    ไม่ทราบในเรื่องคติสมบัติ คติวิบัติ มีข้อสงสัยไหมคะ

    ถ้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นผลของอกุศลกรรม ทั้งๆ ที่ในชาติก่อนก็คงจะได้ทำบุญกุศลไว้เป็นอันมากด้วยในสังสารวัฏ แต่เมื่อเป็นคติวิบัติ คือ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ย่อมไม่สามารถจะได้รับผลของกุศลกรรมอื่นๆ เหมือนอย่างในภูมิมนุษย์ เพราะฉะนั้นก็คงจะเป็นเพียงมีผู้เลี้ยงดู และก็มีอาหารการบริโภคสมบูรณ์ แต่ก็ไม่สามารถที่จะอบรมเจริญกุศลอื่นๆ เช่น การฟังธรรม หรือการสนทนาธรรม การอบรมเจริญปัญญาที่จะพ้นจากสังสารวัฏได้ แต่ว่าก็ยังมีกุศลวิบาก คือ ไม่ต้องเดือดร้อน มีผู้ที่อุปถัมภ์เลี้ยงดูให้ได้ความสุขสบาย บางทีเกิดเป็นช้างที่มีรูปร่างลักษณะที่สมบูรณ์ ก็ทำให้ได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ได้เหมือนกัน นั่นก็เป็นเรื่องของผลซึ่งติดตามอุปถัมภ์หลังจากที่ปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว

    2883 อุปธิสมบัติ - อุปธิวิบัติ

    สำหรับกรรมเป็นเหตุแห่งวิบากเพราะอุปธิสมบัติหรือวิบัติ

    อุปธิก็หมายความถึงรูปร่าง หน้าที่ ทรวดทรง ผิวพรรณ การเกิดเป็นผู้มีรูปทรงหน้าตาผิวพรรณดี ย่อมเป็นเหตุนำมาซึ่งกุศลวิบากอื่นๆ ได้ ตรงกันข้ามกับการเกิดเป็นผู้พิกลพิการต่างๆ แทนที่จะได้สมบัติ ก็เป็นไม่ได้

    นอกจากนั้นจะต้องอาศัยกาลสมบัติหรือกาลวิบัติด้วย ในการที่กรรมแต่ละกรรมจะให้ผล

    เพราะฉะนั้นแต่ละบุคคลประมาทไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ได้สะสมบุญกุศลมาแล้วในอดีตก็จริง แต่ถ้าอยู่ในสมัยของกาลวิบัติ อกุศลกรรมย่อมมีโอกาสที่จะให้ผลได้ เป็นผู้ที่ไม่ควรประมาทว่า เมื่อเป็นผู้ที่สั่งสมกุศลอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่มีอกุศลวิบาก แต่เมื่อเป็นกาลวิบัติแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่เคยสะสมบุญกุศลมาไว้มาก และเป็นกาลวิบัติ ก็ย่อมมีปัจจัยที่จะให้อกุศลที่ได้สะสมมาแล้วมีโอกาสที่จะให้ผล

    2884 กรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก

    สำหรับกรรมเป็นเหตุแห่งวิบากเพราะปโยคสมบัติหรือวิบัติ ก็ได้แก่ ความเพียรกระทำในสิ่งที่ถูกต้องทำให้ได้สมบัติ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ฉลาด ไม่มีความเพียรกระทำในทางที่ถูกต้อง ก็เป็นปโยควิบัติ ไม่สามารถจะได้รับผล

    มีท่านผู้ฟังมีข้อสงสัยหรือเปล่าคะในเรื่องนี้ หรือมีตัวอย่างเกี่ยวกับกรรมในชีวิตประจำวัน

    ถาม ขอถามเรื่องปโยคสมบัติ ปโยควิบัติ คำว่า “ปโยคสมบัติ หรือ ปโยควิบัติ” หมายถึง ชวนะที่เป็นกุศล หรืออกุศล หรือกิริยา ใช่ไหมครับ เพราะว่าปโยคหมายถึงการกระทำ ใช่ไหมครับ อย่างเมื่อกี้ท่านผู้ฟังท่านหนึ่งถามว่า พูดโดยไม่คิด ก็หมายความว่า ไม่เป็นกรรม แต่คนไม่ชอบ ก็ทำให้เราได้ยินหรือได้พบสิ่งที่ไม่ดี หรือถ้าพูดผิดหูคนอื่น เขาอาจจะว่าเรา ส่วนการที่พูดอย่างนั้นได้ เพราะมีจิตเป็นปัจจัย

    ท่านอาจารย์ แล้วอย่างไรคะ

    ถาม คือ ปโยคสมบัติ ปโยควิบัติ หมายถึงจิตใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ท่านผู้ฟังสงสัยเรื่องของคติ อุปธิ กาล และปโยค ใช่ไหมคะ ซึ่งข้อความในมโนรถปุรณี อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ฉกนิบาต มีข้อความว่า

    คติ อุปธิ กาล และปโยค ชื่อว่า ฐานะของวิบาก ส่วนกรรมเป็นเหตุของวิบาก

    เพราะฉะนั้นคติ การเกิดในภพภูมิต่างๆ หรืออุปธิ การที่จะมีรูปร่างทรวดทรงต่างๆ หรือกาลที่จะเป็นสมัยที่เหมาะที่ควร หรือสมัยที่ไม่เหมาะไม่ควร หรือแม้ปโยคก็เป็นฐานะของวิบาก คือการสะสมมา

    ขอกล่าวถึงข้อความในมโนรถปุรณี ทสกนิบาต พรรณนาโกศลสูตรที่ ๑ ซึ่งเป็นข้อความสั้นๆ แต่ก็น่าจะพิจารณา เช่น ข้อความที่ว่า

    ผ้าที่เกิดขึ้นแล้วในเมืองพาราณสี ชื่อว่า พาราณเสยยกัง ผ้าเมืองพาราณสี ได้ยินว่า ในเมืองพาราณสีนั้น ฝ้ายก็อ่อนนุ่ม สตรีปั่นฝ้ายก็ฉลาด สตรีทอผ้าก็ชำนาญ แม้น้ำก็ใสสะอาด จืดสนิท เพราะฉะนั้นผ้าของพาราณสีจึงต่างกับผ้าของที่อื่น

    นี่แสดงให้เห็นถึงหลายอย่าง ใช่ไหมคะ คติ อุปธิ กาล และปโยค เพราะเหตุว่าแม้น้ำก็ใสสะอาด เพราะฉะนั้น ฝ้ายก็อ่อนนุ่ม สตรีปั่นฝ้ายก็ฉลาด สตรีทอผ้าก็ชำนาญ ต้องประกอบกันทั้งหมด ถ้าน้ำใสสะอาด ฝ้ายก็อ่อนนุ่ม แต่สตรีปั่นฝ้ายไม่ฉลาด หรือว่าสตรีทอผ้าไม่ชำนาญ ผ้าพาราณสีนั้นก็จะเป็นผ้าพาราณสีซึ่งมีคุณภาพดีไม่ได้ ใช่ไหมคะ

    ผู้ถาม ความฉลาดหรือความชำนาญก็คือจิตนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ คือ ปโยคสมบัติ มีฝ้าย แต่ปโยคสมบัติไม่มี จะปั่นฝ้ายให้ฉลาดก็ทำ ไม่ได้ จะทอผ้าให้ชำนาญก็ทำไม่ได้ เพราะขาดปโยคสมบัติ

    คติสมบัติ คือการเกิดเป็นมนุษย์ อุปธิสมบัติ ในที่นี้ไม่ได้กล่าวถึง แต่กาลสมบัติก็เป็นขณะที่กำลังอุดมสมบูรณ์ เช่น น้ำก็ใสสะอาด ปโยคสมบัติ ก็คือ สตรีปั่นฝ้ายก็ฉลาด สตรีทอผ้าก็ชำนาญ

    เพราะฉะนั้นแต่ละอย่างที่จะสำเร็จออกมาได้ ก็ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง

    2885 อุปธิ ๔

    อดิศักดิ์ อุปธิสมบัติ เป็นเรื่องของฝ่ายดีนี่ ผมเคยอ่านเจอว่า อุปธิมันคือกิเลสนี่ครับ

    ท่านอาจารย์ ความหมายของอุปธิ คือ สภาพธรรมซึ่งทรงไว้ซึ่งทุกข์ ในอรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค นันทิสูตร กล่าวถึงอุปธิ ๔ มีข้อความว่า

    บทว่า อุปธิ ในบทว่า อุปธี หิ นรัสส นันทนา ได้แก่ อุปธิ ๔ อย่าง คือ กามูปธิ อุปธิ คือ กาม ๑ ขันธูปธิ อุปธิ คือ ขันธ์ ๑ กิเลสูปธิ อุปธิ คือ กิเลส ๑ อภิสังขารูปธิ อุปธิ คือ อภิสังขาร ๑

    สำหรับกามูปธิ อุปธิ คือ กาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งชาวโลกถือว่ากามเป็นที่อาศัยของความสุข หรือว่ากามเป็นที่อาศัยแห่งสุข

    นี่เป็นชีวิตประจำวันที่ทุกท่านแสวงหา เพราะคิดว่าความสุขของท่านอาศัยกาม ถ้าปราศจากกามแล้ว คือ ปราศจากรูป ปราศเสียง ปราศกลิ่น ปราศรส ปราศโผฏฐัพพะที่ดีๆ ชีวิตย่อมไม่มีสุข

    นี่คือความรู้สึกของชาวโลก คือ เห็นว่ากามเป็นที่อาศัยแห่งสุข แต่ตามความจริงแล้ว กามเป็นที่อาศัยแห่งทุกข์ เพราะเหตุว่ากามไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืน

    เพราะฉะนั้นบางครั้งทรงแสดงว่า กามมุสา คือ แสดงสภาพเหมือนเป็นสุข โดยที่แท้แล้วเป็นสภาพที่เป็นทุกข์ ถึงจะกล่าวว่าอย่างนี้ ทุกท่านก็ยังคงต้องการหรือแสวงหากามูปธิ อุปธิ คือ กาม อยู่นั่นเอง เพราะเหตุว่ายังไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะที่เป็นทุกข์ของกาม คือ สภาพที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นก็ให้ทราบด้วยว่า อุปธิ คือ สภาพซึ่งทรงไว้ซึ่งทุกข์ สามารถจะจำแนกออกได้หลายนัย เช่น โดยนัย ๔ สภาพธรรมใดๆ ก็ตามซึ่งเป็นทุกข์ ทรงไว้ซึ่งสภาพแห่งทุกข์ ย่อมนำมาซึ่งทุกข์ สภาพนั้นเป็นอุปธิ เช่น กาม เป็นกามูปธิ

    สำหรับขันธ์ก็เช่นเดียวกัน ขันธ์ก็เป็นที่อาศัยแห่งทุกข์ เป็นสภาพที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์ เป็นสภาพซึ่งนำมาซึ่งทุกข์ เป็น ขันธูปธิ ซึ่งทุกท่านก็ยังคงต้องการขันธ์อีก คือ ต้องการที่จะเห็น ต้องการที่จะได้ยิน ต้องการรูป ต้องการเวทนา ต้องการสัญญา ต้องการสังขาร ต้องการวิญญาณ เพราะเหตุว่ายังไม่ประจักษ์ลักษณะที่เป็นทุกข์ของขันธ์ เพราะเหตุว่าขันธ์ทั้งหมดเป็นที่อาศัยแห่งทุกข์

    นอกจากนั้นแล้ว กิเลสก็เป็นอุปธิ คือ เป็นกิเลสูปธิ เพราะเหตุว่ากิเลสเป็นที่อาศัยแห่งทุกข์ในอบาย ถ้าใครยังมีโลภะ ยังมีโทสะ ยังมีโมหะ อันเป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรม ย่อมไม่พ้นจากอบาย เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะนำไปสู่อบาย นอกจากกิเลส ทุกคนมีโลภะ มีโทสะ มีโมหะ เพราะฉะนั้นทุกคนก็ยังมีกิเลสซึ่งเป็นที่อาศัยแห่งทุกข์ในอบาย ถ้าได้กระทำอกุศลกรรมเพราะโลภะ หรือเพราะโทสะ หรือเพราะโมหะก็ตาม เมื่อเป็นกรรมย่อมสามารถที่จะทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิได้ เพราะฉะนั้นกิเลสก็เป็นกิเลสูปธิ

    นอกจากนั้นแล้วก็ยังมี อภิสังขารูปธิ อุปธิ คือ อภิสังขาร ได้แก่ เจตนาซึ่งเป็นกรรม เป็นที่อาศัยของทุกข์ในภพ เพราะเหตุว่าเจตนาซึ่งเป็นกุศลกรรมก็มี เจตนาซึ่งเป็นอกุศลกรรมก็มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเจตนาซึ่งเป็นกุศลหรือเจตนาที่เป็นอกุศลก็เป็นอภิสังขาร คือ เป็นอุปธิที่เป็นที่อาศัยแห่งทุกข์ในภพ

    ตราบใดที่ยังมีกุศลย่อมให้ผลเป็นกุศลวิบาก ทำให้เกิดในสุคติ ก็ยังไม่พ้นไปจากสังสารวัฏ ยังไม่พ้นไปจากทุกข์ได้ การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสุคติภูมิ มีความสุขมากไหมคะ เกิดเป็นมนุษย์ หรือว่าบางท่านจะพอเห็นทุกข์บ้างแล้ว ของการเกิดเป็นมนุษย์ แต่ถึงว่าจะเห็นทุกข์บ้าง ก็ยังไม่ใช่ทุกข์แท้จริง เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสุคติภูมิ ก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ในภพ ยังจะต้องมีการเกิดอีก ยังจะต้องมีการตายอีก อยู่เรื่อยๆ แม้ในสุคติภูมิก็ตาม หรือถึงแม้ว่าจะเกิดในสวรรค์ ก็จะต้องถึงกาลที่สิ้นสุดของการเป็นเทพในสวรรค์ เพราะเหตุว่ายังไม่พ้นจากอภิสังขารูปธิ เจตนานั้นก็ยังเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่

    นี่คืออุปธิ ๔

    3096 อุปธิ ๑๐

    ข้อความในขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส ข้อ ๑๕๔ แสดงถึงอุปธิ ๑๐

    เพราะฉะนั้นธรรมจะแสดงโดยนัยหนึ่งก็ได้ ๔ ก็ได้ ๑๐ ก็ได้ ถ้าเข้าใจความหมายของอุปธิว่า หมายความถึง สภาพธรรมซึ่งทรงไว้ซึ่งทุกข์ จะจัดประเภทหมวดหมู่ของอุปธิได้หลายอย่าง ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็น ๔ เสมอไป เพราะเหตุว่าสภาพธรรมใดๆ ซึ่งทรงไว้ซึ่งทุกข์ จะแสดงโดยอุปธิ ๑๐ ก็ได้ เช่นในขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส ข้อ ๑๕๔ มีข้อความว่า

    คำว่า อุปธิ ในอุเทศว่า "อุปธินิทานา ปภวนฺติ ทุกฺขา" ดังนี้ ได้แก่ อุปธิ ๑๐ ประการ คือ

    เมื่อกี้ก็ดูว่ามากแล้วนะคะ ทั่วไปในชีวิตประจำวัน หนีไม่พ้นอุปธิ ๔ คือ กามูปธิ ทุกวันๆ ขันธูปธิ ก็ทุกขณะที่ได้เห็น ที่ได้ยิน เป็นต้น กิเลสูปธิ เมื่อเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ก็เกิดโลภะบ้าง โทสะบ้าง อภิสังขารูปธิ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะโลภะ โทสะ ยังเกิดเจตนาที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ที่จะกระทำกรรมที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ทุกวัน ทุกๆ วัน ในชีวิตประจำวัน แล้วแต่ว่าภพหนึ่งชาติหนึ่งของแต่ละท่านจะมีกี่วัน ถ้าแตกย่อยออกไปก็เป็นกี่ชั่วโมง แตกย่อยออกไปอีกก็เป็นกี่นาที จนถึงกี่ขณะจิต

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่พ้นจากอุปธิเลย แต่แม้กระนั้นก็ยังมีอุปธิ ๑๐ ที่แสดงละเอียดออกไปอีก คือ

    ๑. ตัณหูปธิ อุปธิ คือ ตัณหาหรือโลภะนั่นเอง
    ๒. ทิฏฐูปธิ อุปธิ คือ ทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด
    ๓. กิเลสูปธิ อุปธิ คือ กิเลส
    ๔. กัมมูปธิ อุปธิ คือ กรรม
    ๕. ทุจจริตูปธิ อุปธิ คือ ทุจริต
    ๖. อาหารูปธิ อุปธิ คือ อาหาร
    ๗. ปฏิฆูปธิ อุปธิ คือ ปฏิฆะ คือ โทสะ
    ๘. อุปธิ คือ อุปาทินนธาตุ ๔
    ๙. อุปธิ คือ อายตนะภายใน ๖
    ๑๐. อุปธิ คือ หมวดวิญญาณ ๖

    ทุกข์แม้ทั้งหมดก็เป็นอุปธิ เพราะอรรถว่า ยากที่จะทนได้ เหล่านี้เรียกว่าอุปธิ ๑๐

    คำว่า ทุกฺขา คือ ชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ และทุกข์ย่อย ไม่มีอะไรเป็นสรณะ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เหล่านี้เรียกว่าทุกข์ ทุกข์เหล่านี้มีอุปธิเป็นนิทาน หรือนิทานะ คือ แดนเกิด มีอุปธิเป็นเหตุ มีอุปธิเป็นปัจจัย มีอุปธิเป็นการณ์ ย่อมมี ย่อมเป็น เกิดขึ้น เกิดพร้อม บังเกิด ปรากฏ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ทุกข์ ทุกข์ทั้งหลายมีอุปธิเป็นเหตุย่อมเกิดขึ้น

    เต็มไปหมดเลยนะคะ อุปธิทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็ทุกข์ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่า สามารถจะพิจารณาธรรมละเอียดขึ้น เข้าใจชัดขึ้น เห็นสภาพที่แท้จริงของธรรมนั้นๆ มากขึ้น แต่ไม่เพียงขั้นเข้าใจ แต่ต้องประกอบกับสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมจนประจักษ์แจ้งในสภาพที่เป็นอุปธินั้นๆ ด้วย

    ถ้าท่านผู้ฟังค้นคว้าต่อไปในพระไตรปิฎก ก็จะมีอุปธิในนัยอื่นอีกได้ไหมคะ แล้วแต่จะทรงแสดงไว้โดยหมวดเท่าไร

    อดิศักดิ์ เท่าที่ฟังอาจารย์มา อุปธิก็เป็นกิเลสทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นไม่ใช่ ๑๐

    ท่านอาจารย์ เป็นกรรมก็มีค่ะ แล้วเป็นวิบากก็มี

    ผู้ถาม ทุกอย่างก็จะเป็นอุปธิไปหมด

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เป็นสภาพซึ่งทรงไว้ซึ่งทุกข์ เพราะเหตุว่าท่านผู้ฟังอาจจะพิจารณาถึงทุกข์บางอย่างซึ่งพอจะเห็นได้ เช่น คำว่า ทุกฺขา คือ ชาติทุกข์ ความเกิดเป็นทุกข์ เริ่มเห็น หรือเริ่มพิจารณาหรือยัง ความเกิดเป็นทุกข์ ถ้ากำลังมีความทุกข์อยู่อย่างหนึ่งอย่างใด ให้ทราบว่า ถ้าไม่เกิด ทุกข์นั้นไม่มี ไม่ว่าจะเป็นทุกข์กาย หรือทุกข์ใจ เวลาที่ทุกข์กายยังไม่เกิด ก็ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ แต่เวลาที่ทุกข์กายเกิดขึ้นแล้ว จะปวดหัว ตัวร้อน หรือว่าอะไรก็ตามแต่ ให้ทราบว่า ถ้าไม่เกิดขึ้น คือ ไม่มีชาติ คือความเกิด ปวดหัว ตัวร้อน ก็มีไม่ได้ ทุกข์ซึ่งเกิดเพราะชาติ ความเกิด ก็ย่อมมีไม่ได้ แต่ที่ทุกข์ทั้งหลายมี ก็เพราะมีการเกิด

    เพราะฉะนั้นการเกิดเป็นทุกข์จริงๆ เพราะเหตุว่านำมาซึ่งทุกข์อื่นๆ ด้วย เช่น ชราทุกข์ บางท่านที่อายุยืนมากๆ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเลย แต่ก็เป็นผู้ไม่มีกำลังเลย พยายามที่จะออกกำลังให้มากขึ้น เพื่อที่จะให้มีกำลังขึ้น แต่แม้อย่างนั้นเมื่อชราขึ้น เรี่ยวแรงก็หมดไป นี่ก็เป็นทุกข์เพราะชรา ซึ่งถ้าไม่มีการเกิด ชราทุกข์ก็มีไม่ได้ หรือแม้แต่พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ ทั้งหมดนั้น ข้อความในเมตตคูมาณวกปัญหานิทเทส แสดงว่าทุกข์ทั้งหมดนั้นไม่ใช่สรณะ และไม่ใช่ที่พึ่งทั้ง ๑๐ ประการ

    พราะฉะนั้นก็ต้องพิจารณาจริงๆ จนกว่าที่จะเห็นว่า สภาพธรรม คือ ตัณหาเป็นอุปธิ ทิฏฐิเป็นอุปธิ กิเลสเป็นอุปธิ กรรมเป็นอุปธิ ทุจริตเป็นอุปธิ อาหารเป็นอุปธิ ปฏิฆะเป็นอุปธิ อุปาทินนกธาตุเป็นอุปธิ อายตนะภายในเป็นอุปธิ วิญญาณเป็นอุปธิ

    3097 กรรมที่ไม่ประกอบด้วยปุพพเจตนา

    ถาม ในเรื่องของกรรมที่ผมเคยอ่านเคยเรียนมาเล็กน้อย เป็นคนละภาคกับที่อาจารย์บรรยายในมโนรถปุรณี เกี่ยวกับกรรม ๑๒ ประการ เรียกว่า กรรม ๑๒ และผมเคยอ่านพบว่า พระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุว่า ภิกษุทั้งหลาย เราถือว่า เจตนานั้นเป็นกรรม แต่อ่านไปพบกรรมอีกจำนวนหนึ่งใน ๑๒ ประการนั้น ปรากฏว่ามีกรรมชนิดหนึ่งที่ผู้ทำปราศจากเจตนา ที่เรียกว่า กฏัตตากรรม หรือกฏัตตาวาปนกรรม ผมเคยนำเรื่องนี้เรียนถามผู้รู้บางท่าน ท่านกล่าวว่า กรรมชนิดนี้ถึงแม้จะขาดเจตนา แต่ก็ให้ผล เพราะฉะนั้นพระพุทธพจน์ที่พระองค์ทรงกล่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย เราถือว่า เจตนานั้นเป็นกรรม ท่านยกเว้นเอากรรมตัวนี้ เพราะกรรมตัวนี้ย่อมให้ผล แม้ว่าจะขาดเจตนาก็ตาม และผู้กล่าวในการธัมมสากัจฉากัน ท่านก็อธิบายยกตัวอย่างเช่น เราโยนของแข็ง จะเป็นขวดเหล้าก็ตาม ขวดเบียร์ก็ตาม โยนออกไปนอกหน้าต่าง โดยปราศจากเจตนา คนเดินผ่านมาก็ถูกสิ่งเหล่านั้นเข้า เป็นเหตุให้เขาบาดเจ็บหรืออาจจะถึงตาย สิ่งเหล่านั้นมีผลคือความเจ็บปวดหรือความตายเกิดขึ้น การตายนี้จะต้องสนองแก่ผู้กระทำ แม้ว่าผู้นั้นขาดเจตนาก็ตาม กระผมอยากจะทราบคำอธิบายโดยละเอียดในทัศนะนี้จากอาจารย์ครับ ขอบคุณครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีจิตสักขณะหนึ่งที่เกิดขึ้นได้โดยปราศจากเจตนาเจตสิก เจตนาเป็นเจตสิกดวงหนึ่งซึ่งเป็นสัพพจิตตสาธารณเจตสิก หมายความถึงเป็นเจตสิกซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกดวง ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิตขณะใด ขณะนั้นต้องมีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นอกุศลจิตขณะใด ขณะนั้นต้องมีเจตนาเจตสิกเกิดร่วม ไม่ว่าจะเป็นวิบากจิต ซึ่งไม่ใช่กุศลจิต และอกุศลจิต ก็ต้องมีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย แม้ว่าจะเป็นจิตของพระอรหันต์ คือ กิริยาจิต ซึ่งไม่ใช่กุศลจิต และไม่ใช่อกุศลจิต ก็ต้องมีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นเจตนาจึงมีทั้งที่เป็นกุศล ที่เป็นอกุศล ที่เป็นวิบาก ที่เป็นกิริยา

    เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าเป็นกรรมที่ปราศจากเจตนา น่าจะหมายความถึง กรรมที่ปราศจากปุพพเจตนา หมายความถึงเจตนาก่อนที่จะทำกรรมนั้น เช่น ความตั้งใจที่จะทำกุศลหรืออกุศล โดยปกติที่จะกระทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมย่อมมีปุพพเจตนา ความตั้งใจที่จะทำก่อนที่การกระทำนั้นจะสำเร็จลง เช่น คิดที่จะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่ใคร เป็นกุศลนะคะ แต่ยังไม่ได้ให้ แต่ปุพพเจตนามีแล้ว แล้วก็มีการตระเตรียม เช่น การถวายภัตตาหาร ก็จะต้องมีการซื้อหา มีการจัดเตรียมปรุงที่จะถวาย เหล่านี้ก็เป็นปุพพเจตนา แต่ถ้ายังไม่ได้ถวายแม้ว่าอาหารเสร็จแล้ว จัดว่าเป็นทาน การให้ หรือยัง กุศลยังไม่สำเร็จ ใช่ไหมคะ ต่อเมื่อใดได้มีการให้ คือ การถวายแล้ว ขณะนั้นก็เป็นมุญจนเจตนา คือ เจตนาในขณะที่กำลังทำกุศล



    หมายเลข 3
    4 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ