แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1751


    ครั้งที่ ๑๗๕๑


    สาระสำคัญ

    ขณะที่จิตอยู่ในฌานจะเจริญวิปัสสนาได้ไหม

    ทรงพิจารณาการเกิดดับของฌานจิต

    โมหวิโนทนี พระวิภังคปกรณ์ - อรรถของสัจจะ คือ อริยสัจจะ


    ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๓๑


    . การที่จะรู้สภาพของรูปธรรมและนามธรรมที่ปรากฏเกิดขึ้นตาม ความเป็นจริงตามปกติในชีวิตประจำวันนี้ บางท่านบอกว่า ปกตินี่รู้ไม่ได้ ต้องไปอยู่ในห้องปฏิบัติหรือเข้าที่ปฏิบัติ เพราะว่านามธรรมและรูปธรรมจะเกิดตอนนั้น ผมก็เคยไปเข้าห้องปฏิบัติเพื่อจะให้เห็นนามธรรมและรูปธรรมเป็นเวลาหลายเดือนเหมือนกัน โดยคิดว่า รูปธรรมนามธรรมจะโผล่มาให้เห็น

    เป็นความเข้าใจที่รู้สึกว่า น่าสงสารจริงๆ เพราะไม่ตรงตามคำสอนของ พระพุทธองค์เลย เนื่องจากว่ารูปธรรมนามธรรมไม่จำเป็นต้องไปหา มีอยู่เป็นปกติแล้ว ที่จะต้องหานั้น คือ ความเข้าใจ ไม่ได้เข้าใจอย่างนั้นแต่แรกก็เลยหลงผิดอยู่ตั้งนาน

    มีเรื่องหนึ่งที่ข้องใจอยู่นาน คือ ผู้ที่ได้ฌานและท่านมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิปัสสนาดี ในขณะที่จิตท่านอยู่ในฌาน ท่านจะเจริญวิปัสสนาได้ไหม

    สุ. ไม่ได้ เพราะว่าวิปัสสนาญาณทุกวิปัสสนาญาณไม่ใช่รูปาวจรจิต หรืออรูปาวจรจิต

    . ในอดีตที่ล่วงมานานแล้ว อย่างท่านดาบสต่างๆ ที่ท่านเจริญฌาน จนได้สมาบัติ เหาะเหินเดินอากาศมีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั้น ที่ท่านไม่สามารถบรรลุ มรรคผลได้ ก็เพราะท่านไม่เข้าใจวิธีการเจริญวิปัสสนา

    สุ. ถ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่ทรงแสดงพระธรรม ฤๅษีเหล่านั้นก็ไม่รู้หนทาง และบางท่านก็สิ้นชีวิตไปก่อน เช่น ท่าน อาฬารดาบสและอุทกดาบส เพราะฉะนั้น ท่านทั้งสองก็หมดโอกาสเจริญปัญญารู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคล เพราะว่าท่านเกิดในอรูปพรหมภูมิ ไม่มีการได้ยินธรรมใดๆ ทั้งสิ้น

    . เจริญสติปัฏฐานในขณะที่จิตเป็นฌานไม่ได้ ต้องออกจากฌาน ถ้าอย่างนั้นที่เขาพูดกัน หมายความว่าอย่างไร

    สุ. ผู้ที่ได้ฌานแล้วและเป็นผู้ที่เข้าใจการเจริญสติปัฏฐานย่อมรู้ว่า การเจริญสติปัฏฐานเพื่อละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมทั้งหมดในชีวิตประจำวัน ว่าเป็นตัวตน และจะมีการเกิดอีกเพียง ๗ ชาติ คิดดู เคยเกิดมามากมายแสนโกฏิกัปป์ นับไม่ถ้วน แต่จะเหลือการเกิดอีกเพียง ๗ ชาติเท่านั้น ปัญญาจะต้องรู้อะไร

    เพราะฉะนั้น ในอดีต ในสมัยพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผู้ที่ได้อบรมเจริญสมถภาวนาบรรลุฌานจิตมากมาย และเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ท่านก็เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน เพราะว่าฌานจิตดับกิเลสไม่ได้ ดับความยินดีพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะไม่ได้ ซึ่งการที่จะดับโลภะ ความยินดีใน รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะได้ ต้องบรรลุคุณธรรมถึงความเป็น พระอนาคามีบุคคล เนื่องจากการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันนั้น ยังไม่ได้ดับความยินดีพอในในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

    ผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนารู้หนทางเพียงระงับความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยไม่ให้เห็น เมื่อเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว จิตจะแนบแน่นอยู่ในอารมณ์ที่ทำให้จิตสงบทางมโนทวารทวารเดียว แต่ไม่มีปัญญาที่จะรู้ความจริง คือ การเกิดขึ้นและดับไปของสิ่งซึ่งเคยเป็นที่พอใจเพลิดเพลินยิ่งนักตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    นี่คือความต่างกัน เพราะฉะนั้น เหตุกับผลต้องตรงกัน ถ้าปัญญายังไม่เกิด ที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับ ไม่มีทางเลยที่จะละคลายความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจได้

    . ในขณะเป็นฌานจิตนั้น เจริญวิปัสสนาไม่ได้แน่ๆ หรือ

    สุ. ขณะที่กำลังเป็นฌานจิต เป็นมหัคคตจิต มีอารมณ์ของสมถะที่ทำให้จิตสงบเพียงอย่างเดียวทางมโนทวาร ไม่เห็น จะศึกษาลักษณะสภาพของรูปธรรมที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้จนรู้ว่าเป็นแต่เพียงสีต่างๆ เท่านั้นได้อย่างไร

    . ที่ว่าออกจากฌาน หมายความว่าต้องไม่อยู่ในฌานใดฌานหนึ่ง ใช่ไหม ที่จะเจริญวิปัสสนา

    สุ. คนที่ไม่ได้ฌาน เห็นแล้วก็คิด ใช่ไหม ได้ยินแล้วก็คิด ได้กลิ่นแล้วก็คิด ลิ้มรสแล้วก็คิด กระทบสัมผัสแล้วก็คิด แม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ก็คิด ตัดความคิดออกไม่ได้เลย และความคิดของคนที่ไม่ได้ฌานก็คิดในเรื่องของ รูปบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง โผฏฐัพพะบ้าง คิดถึงเรื่องคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง คิดถึงเรื่องสิ่งนั้นสิ่งนี้บ้างในวันหนึ่งๆ นี่คือปกติของผู้ที่ไม่ได้ฌาน ซึ่งสติปัฏฐานของบุคคลนั้นจะต้องเกิดตามรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยินในขณะนี้ตามปกติ

    สำหรับผู้ที่ได้ฌาน ถ้าไม่เป็นผู้ที่มีวสี ฌานจิตก็ไม่ได้เกิดอีก ไม่ได้เป็นผู้ที่ มีความคล่องแคล่วที่จะนึกถึงฌานในขณะไหนก็ได้ ณ สถานที่ใดก็ได้ เนื่องจาก ยังไม่ชำนาญ เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นซึ่งเข้าใจเรื่องสติปัฏฐานและเป็นผู้มีปกติ เจริญสติปัฏฐาน ฌานจิตก็ไม่เกิดให้ระลึกรู้ แต่สำหรับผู้ที่มีวสีมีความคล่องแคล่วมาก มีปัจจัยให้ฌานจิตเกิดฌานจิตดับ คือ ไม่เกิดสืบต่อกัน สติปัฏฐานจึงเกิดระลึกลักษณะของฌานที่เกิดสลับได้ ซึ่งการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงพิจารณาการเกิดดับของฌานจิต

    ผู้ฟัง ในขณะที่เข้าฌานอยู่ วิปัสสนาไม่ได้แน่ ซึ่งทราบกันอยู่ และจะยกขึ้นวิปัสสนาได้ต้องเป็นผู้ได้วสีด้วย

    สุ. ความเข้าใจต้องถูก และต้องละเอียดจริงๆ ถ้าใช้คำว่า ยกขึ้น หมายความว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง หมายความว่ามีอยู่แล้ว และยกขึ้น ใช้คำว่า ตามระลึก ก็แล้วกัน ตามระลึกถึงฌานที่ดับไปในปัจจุบันนั้น

    สุ. และเกิดสลับ เหมือนการเห็น การได้ยินในขณะนี้ ก็เกิดสลับกัน

    ผู้ฟัง จึงเจริญวิปัสสนาได้ เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน

    สุ. สติปัฏฐานสามารถเกิดระลึกลักษณะของฌานจิตได้ เช่นเดียวกับ กำลังระลึกลักษณะของจิตที่เห็นในขณะนี้ หรือจิตที่ได้ยิน

    ผู้ฟัง คนที่ได้ฌานแล้ว และสติปัฏฐานเอาฌานนั้นเป็นอารมณ์

    สุ. เอาฌานนั้นมาเป็นอารมณ์ก็ไม่ได้ ไม่มีทาง แล้วแต่สติปัฏฐานจะเกิดหรือไม่เกิด จะระลึกหรือไม่ระลึก ไม่ใช่มีใครจงใจตั้งใจจะเอาฌานเป็นอารมณ์

    ผู้ฟัง คือ เมื่อเจริญวิปัสสนาได้แล้ว

    สุ. จะรู้ความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น จะไม่มีการทำอะไร ยกอะไรทั้งนั้น

    . เมื่อรู้เห็นแล้ว จะออกจากวิปัสสนาเข้าฌานได้ไหม

    สุ. ไม่มีออก ไม่มีเข้า ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ปัญญาที่ได้สะสมมาแล้วสามารถรู้ในความเป็นอนัตตานั้นยิ่งขึ้น

    . หมายความว่าจากฌานเป็นวิปัสสนานั้นได้ คนที่ได้วิปัสสนาแล้วเข้าฌานไปสู่นิโรธสมาบัติ หรือสัญญาเวทยิตนิโรธ

    สุ. แล้วแต่เหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัยที่สภาพธรรมใดจะเกิด สภาพธรรมนั้นก็เกิด

    . พูดง่ายๆ ว่า จากฌานไปสู่วิปัสสนา นี่เรารู้กันแล้ว

    สุ. หรือจากวิปัสสนาไปสู่ฌาน แล้วแต่เหตุปัจจัย

    ถ. ก็ได้ ใช่ไหม

    สุ. ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

    . ที่มีคำกล่าวอ้างพระพุทธพจน์ว่า เมื่อเจริญสมาธิมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมยังปัญญาให้เกิด ย่อมเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ซึ่งโดยทั่วๆ ไปเขาก็บอกว่า ทำสมาธิแล้วปัญญาก็เกิด

    ผมคิดว่า คำพูดนี้อาจจะแยกได้ แต่ส่วนมากเราฟังแล้วอาจจะคิดว่า เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเป็นสมาธิแล้วจะรู้อะไรได้ถ้าไม่เจริญสติ ผมคิดว่า มองได้ ๒ แง่ คือ เขาเข้าใจผิด และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คำกล่าวของพระผู้มีพระภาคที่ตรัสว่า เป็นสมาธิแล้วเจริญ ย่อมยังปัญญาให้เกิดเห็นแจ้งได้ จะผิดอย่างนั้นหรือ และอาจารย์ก็ตอบท่านผู้ฟังเมื่อกี้ว่า ในมรรคก็มีสัมมาสมาธิ …

    สุ. ขอประทานโทษ ถ้านอกจากสัมมาสมาธิที่เกิดร่วมกับสัมมาทิฏฐิ และสัมมาสติ จะมีสมาธิใดที่เป็นบาทให้ปัญญาเกิด

    . และที่กล่าวว่า เมื่อมีสมาธิแล้วย่อมเห็นแจ้งตามความเป็นจริง

    สุ. พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพุทธพจน์นี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า แม้ขณะที่วิปัสสนาญาณเกิดก็ไม่ได้ปราศจากสมาธิ ไม่ใช่ว่าต้องไปทำสมาธิอื่น

    . ถ้าอย่างนั้น ต้องเห็นแจ้งก่อนจึงมีสมาธิ

    สุ. มรรคมีองค์ ๘ เกิดร่วมกัน ไม่ปราศจากกัน

    . พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีสมาธิแล้วจึงเห็นแจ้ง

    สุ. ถ้าโดยปัจจัยก็อาศัยซึ่งกันและกัน เป็นสหชาตปัจจัย

    . สักครู่นี้พูดถึงเรื่องการเจริญสมถะวิปัสสนาที่ว่า วิปัสสนาเกิดสลับกับฌาน ตอนนี้มีการปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง คือ กสิณ ก่อนที่จะเจริญจนปฏิภาคนิมิตเกิด จะต้องมีดินสีอรุณหรือวัตถุต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ไฟ ลม ผู้เจริญสติปัฏฐานรู้ว่า นั่นคือรูปธรรม ขณะที่นิมิตเกิดขึ้น เขาบอกว่า สติปัฏฐานสามารถเกิดได้ โดยพิจารณานิมิตนั้นว่าเป็นรูปธรรม

    สุ. ประทานโทษ นี่เป็นการสับสนปะปนกันอย่างมาก ขอความกรุณา ช่วยพูดเป็นลำดับขั้นด้วย จะเจริญอะไร

    . จะเจริญวิปัสสนาโดยมีสมถะเป็นบาท

    สุ. แม้เพียงขั้นต้นก็ควรพิจารณาว่า จะเจริญวิปัสสนาโดยมีสมถะเป็นบาท เลือกอย่างนี้ คิดอย่างนี้ ถูกหรือผิด

    เวลานี้เห็นมีแล้ว จะเจริญวิปัสสนาโดยมีสมถะเป็นบาท ขณะนี้ได้ยินก็กำลังมี แต่จะเจริญวิปัสสนาโดยมีสมถะเป็นบาท เข้าใจถูกหรือเปล่า

    . คือ หารูปนาม ทำรูปนามขึ้นมา

    สุ. ทำรูปนามขึ้นมา ไม่มีใครสามารถทำนามธรรมหรือรูปธรรมได้เลย นามธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย รูปธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่ไม่มีใครเคยรู้หรือเคยพิจารณาว่า เกิดมาได้อย่างไร มีตามาได้อย่างไร ถ้าไม่มีกรรม

    เมื่อเกิดมาแล้วมีทุกอย่าง ก็เลยรวบรัดมาเป็นของเราโดยที่ไม่รู้สาเหตุเลยว่า มาจากไหน ตาเมื่อวานก็ดับแล้ว รูปเมื่อวานก็ดับแล้ว หูเมื่อวานก็ดับแล้ว จมูกเมื่อวานก็ดับแล้ว หรือไม่ต้องถึงเมื่อวาน แม้ขณะเดี๋ยวนี้เองดับแล้วก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้และบอกว่าจะทำให้รูปนามเกิดขึ้น ใครเป็นคนสามารถทำให้ รูปนามเกิดขึ้นได้ เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ได้เข้าถึงอรรถที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่เข้าถึงอรรถนี้แล้วจะเจริญวิปัสสนาได้อย่างไร ต้องเข้าใจว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา จึงจะเจริญวิปัสสนาได้

    . ถ้าให้ผู้ปฏิบัติแบบนี้ฟังการเจริญสติปัฏฐาน เพิ่งเริ่มฟังใหม่ๆ คือ เป็นคนชอบเพ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จน ...

    สุ. ขอประทานโทษ เป็นคนที่ชอบเพ่งสิ่งต่างๆ จะสนทนาธรรมกันก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมากจึงจะรู้ว่าส่วนใดผิด ส่วนใดถูก และรีบทิ้งส่วนผิดเสีย เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า ชอบเพ่งสิ่งต่างๆ ขอทราบว่า สิ่งต่างๆ นั้นคืออะไรที่ชอบเพ่ง

    . เช่น ดวงแก้วกลมๆ ใสๆ

    สุ. เพ่งทำไมดวงแก้ว เพ่งแล้วเกิดอะไรขึ้น

    . ถ้าดวงแก้วอยู่ในความคิดของใจและชัด จะเกิดความสบายใจ

    สุ. จะชัดไม่ได้ เพราะไม่มีดวงแก้ว ใน สัมโมหวิโนทนี พระวิภังคปกรณ์ อรรถของสัจจะ คือ อริยสัจจะ มีข้อความว่า

    ภาวะใด เมื่อบุคคลเพ่งอยู่ด้วยปัญญาจักษุ ย่อมไม่วิปริตเหมือนมายากล ไม่ลวงตาเหมือนพยับแดด ไม่เป็นสภาวะที่ใครๆ หาไม่ได้เหมือนอัตตาของ พวกเดียรถีย์ โดยที่แท้เป็นโคจร (อารมณ์) ของอริยญาณ

    เพราะฉะนั้น ต้องเป็นของจริง แต่ดวงแก้วมีหรือเปล่า

    . ไม่มี

    สุ. ไม่มีแล้วไปทำอะไรที่ดวงแก้ว ไปเพ่งทำไม ไม่เกิดปัญญาอะไรเลย และบอกว่าชอบเพ่ง ก็หมายความว่า ไม่ชอบของจริง ไม่ชอบสัจจธรรม ไม่ชอบอริยสัจจธรรม

    . ถ้าไปเพ่งของไม่จริง ก็ไม่เห็นสักทีว่าเกิดดับ

    สุ. แน่นอน ปัญญาไม่เกิดเลย ไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเลย

    . และคิดเทียบเอาว่าเป็นรูป

    สุ. คิดได้อย่างไร สิ่งที่ไม่มีก็ไปคิดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

    . เห็นในใจ

    สุ. เห็นได้อย่างไรในเมื่อไม่มี

    . ลูกแก้วปรากฏทางใจเหมือนกับของจริง

    สุ. เวลานี้ใครมีลูกแก้วในใจบ้าง

    . เดี๋ยวนี้ไม่มี

    สุ. เดี๋ยวนี้ไม่มี เพราะฉะนั้น ไม่จริง เห็น มีไหม

    . มี

    สุ. จริงไหม

    . จริง

    สุ. ดวงแก้วไม่มี

    . ต้องทำก่อน

    สุ. นึกได้ แต่ทำไม่ได้ เป็นความคิดเท่านั้นเอง ยังไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็น จิตชนิดหนึ่งซึ่งคิดและดับไป

    . อย่างนี้ก็เข้าใจผิดว่าเป็นรูปธรรม

    สุ. ไม่มีลักษณะปรากฏที่จะศึกษาให้รู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ทราบยังจะมีใครจะทำอะไรกันอีกหรือเปล่า

    . ขอเรียนถามว่า สภาพธรรมของคำว่า ฉันทะ ศรัทธา และโลภมูลจิต ลักษณะสภาพธรรมใกล้เคียงกันไหม

    สุ. โลภะเป็นสภาพที่ติดข้อง ศรัทธาเป็นสภาพที่ผ่องใสจากอกุศล ฉันทะเป็นสภาพที่พอใจที่จะกระทำ

    . ลักษณะของฉันทะกับโลภะ พอใจที่จะกระทำกับติดข้อง อาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายให้ละเอียดด้วย

    สุ. โลภะเป็นสภาพที่ติดข้อง ฉันทะเป็นสภาพที่พอใจที่จะกระทำ เพราะฉะนั้น ฉันทเจตสิกเกิดกับโลภเจตสิกได้ ฉันทเจตสิกเป็นปกิณณกเจตสิก เกิดกับกุศลก็ได้ เกิดกับอกุศลก็ได้ แต่โลภเจตสิกเป็นอกุศล เกิดกับกุศลไม่ได้เลย

    บางท่านมีฉันทะในการให้ทาน เป็นกุศลหรือเปล่า ในขณะนั้นเป็นฉันทะ มีความพอใจในการให้ บางท่านมีฉันทะในอกุศล คือ ชอบมีโลภะเยอะๆ ชอบ อยากจะมี นั่นคือฉันทะ รู้ว่าเป็นโลภะ รู้ว่าเป็นอกุศล แต่ก็ยังมีฉันทะ พอใจที่จะกระทำอย่างนั้น

    ศรัทธาเป็นโสภณเจตสิก เป็นสภาพที่ผ่องใส เพราะว่าไม่เศร้าหมองด้วยอกุศล

    ผู้ฟัง พูดกันถึงเรื่องสมาธิ ผมก็เคยประพฤติปฏิบัติสมาธิมามากพอสมควร และการนึกเอารูปนามก็ท่องจนชำนาญเหมือนกัน อย่างขับรถไปเห็นไฟแดงก็สีเป็นรูป เห็นเป็นนามจนคล่อง คิดว่าตัวเองได้เห็นรูปเห็นนาม ต่อมาได้ฟังอาจารย์มากขึ้นๆ ก็เข้าใจว่า การเจริญสมถภาวนาที่แล้วๆ มานั้นเป็นการเจริญโลภมูลจิตตลอด และ ได้เข้าใจว่า สติสัมปชัญญะในขั้นนึกคิดไม่ใช่สติปัฏฐาน ขณะที่ตั้งใจจะไปเจริญสมถะหรือสมาธินั้นถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิดขึ้นจะไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นศรัทธา หรือเป็นฉันทะ หรือเป็นโลภะ จะไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นเราไปเจริญกุศลหรืออกุศล



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๗๖ ตอนที่ ๑๗๕๑ – ๑๗๖๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 95
    28 ธ.ค. 2564