แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 1456


    ครั้งที่ ๑๔๕๖


    สาระสำคัญ

    กลุ่มของรูป ๑๒ รูปที่เกิดจากอุตุ - สัททลหุตาทิทวาทสกกลาป

    กลุ่มของรูป ๑๓ รูปที่เกิดจากจิต - วจีวิญญัติสัททลหุตาทิเตรทสกกลาป

    อส.กามาวจรกุศลและทวาร กายกรรมและกายทวาร (เรื่องกายวิญญัติรูป)


    ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามกุฏราชวิทยาลัย

    วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๘


    สำหรับอีกกลุ่มหนึ่งที่มีรูปรวมกัน ๑๒ รูป ไม่ได้เกิดจากจิต เป็นรูปที่เกิดจากอุตุ เป็นสัททลหุตาทิทวาทสกกลาป กลุ่มของรูป ๑๒ รูป ที่มีวิการรูปเกิดร่วมกับสัททะ คือ เสียง

    อย่างเวลาที่ตบมือ ถ้าไม่มีวิการรูปก็ตบมือไม่ได้ แต่เมื่อตบมือแล้วมีเสียง เพราะฉะนั้น การที่จะมีเสียงเกิดขึ้นจากการกระทบกันของรูป ต้องมีวิการรูปเกิดร่วมกับเสียงที่วิการรูปนั้นทำให้เกิดขึ้นในขณะนั้น เพราะฉะนั้น กลุ่มนั้นมีรูปรวมกัน ๑๒ รูป

    ต่อไปนี้ก็อาจจะนับได้ ใช่ไหม เวลาตบมือ กระทืบเท้า หรือทำอะไรก็ตามที่จะให้เกิดเสียงขึ้น ก็จะได้รู้ว่า ถ้าไม่ใช่เสียงซึ่งกระทบกันที่ฐานของเสียงที่ทำให้เกิดเป็นคำพูด เสียงอื่นที่กาย เช่น การดีดนิ้วมือ เป็นต้น ขณะนั้นต้องเป็นกลุ่มของรูปที่มีรูป ๑๒ รูป

    สำหรับกลุ่มของรูปที่มีรูปมากที่สุด จะไม่เกิน ๑๓ รูปเลย และเป็นรูปที่เกิดจากจิตเท่านั้น คือ วจีวิญญัตติสัททลหุตาทิเตรสกลาป มีอวินิพโภครูป ๘ รวมกับ วิการรูป ๓ รวมกับวจีวิญญัตติรูป ๑ รวมกับสัททรูป ๑ รวมเป็น ๑๓ รูป

    ธรรมดาปกติจะเป็นกลุ่มไหน ในขณะที่พูด

    กลุ่มของเสียงที่เกิดจากจิตที่พูด ทำให้เกิดเป็นคำที่มีความหมายขึ้น ที่เป็น วจีวิญญัตติสัทททสกกลาปนั้น มีรูปรวมกัน ๑๐ รูป คือ มีอวินิพโภครูป ๘ วจีวิญญัตติรูป ๑ สัททรูป ๑ แต่กลุ่มที่มี ๑๓ รูปนั้น เพิ่มวิการรูป ๓ จึงเป็น ๑๓ รูปเพราะฉะนั้น ปกติในชีวิตประจำวัน จะเป็นกลุ่มของรูปกลุ่มไหน ๑๐ รูป หรือ ๑๓ รูป

    มีความต่างกันไหม ระหว่างกลุ่มของรูปที่มีเสียงเกิดจากจิต ๑๐ รูป กับกลุ่มของรูปที่มีเสียงเกิดจากจิต ๑๓ รูป

    ต่างกัน คือ กลุ่มหนึ่งไม่มีวิการรูป อีกกลุ่มหนึ่งมีวิการรูปรวมอยู่ด้วย

    สำหรับกลุ่มที่มีวิการรูปรวมอยู่ด้วย ต้องอาศัยความเบา ความอ่อน ความควรแก่การงานของรูปที่จะให้เสียงนั้นๆ เกิดขึ้นเป็นพิเศษ เช่น เพลงลูกทุ่ง ร้องยากหรือร้องง่าย จะเห็นได้ว่าแสนยากจริงๆ ถ้าไม่มีวิการรูปที่ชำนาญที่จะทำให้เสียงนั้นเกิดขึ้น ไม่เหมือนเสียงพูดธรรมดาปกติ ปกติจะพูดอะไรก็พูดได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นกลุ่มของรูปที่มีวจีวิญญัตติรูป และสัททรูป รวมกับอวินิพโภครูป ๘ เป็น ๑๐ รูป แต่เวลาที่จะให้มีเสียงพิเศษเกิดขึ้น ต้องอาศัยความเบา ความอ่อน ความควรแก่ การงานเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น ขณะที่นักร้องฝึกหัดร้องเพลง ไม่ว่าจะเป็นนักร้องประเภทใดก็ตาม ขณะนั้นต้องเป็นกลุ่มของรูปซึ่งมีรูปรวมกัน ๑๓ รูป

    ๑๓ รูป ก็เป็นกลุ่มที่เล็กมาก แต่ทำให้เกิดเสียงซึ่งพิเศษจากปกติ เพราะอาศัยวิการรูป ๓

    นี่คือชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ไม่ว่าจะพูดหรือไม่ว่าจะแสดงกิริยาอาการต่างๆ ก็ตาม ต้องเป็นเพราะกลุ่มของรูปที่อาศัยจิตเป็นสมุฏฐาน จึงจะมีการเคลื่อนไหวหรือการพูดได้ เพราะถ้าเป็นกลุ่มของรูปที่เกิดเพราะกรรม ไม่สามารถทำอะไรได้เลย จักขุปสาททำอะไรไม่ได้ เป็นแต่เพียงกระทบกับสีสันวัณณะที่ปรากฏ ทางตาเท่านั้น แต่ไม่มีวิการรูปหรือว่าอะไรที่ทำให้เกิดความอ่อน ความควรแก่การงานในกลุ่มของรูปที่เป็นจักขุทสกกลาป แต่ที่สามารถกลิ้งตา กลอกตาได้ ขณะนั้นต้องเป็นรูปที่เกิดเพราะจิต ซึ่งนอกจากอวินิพโภครูป ๘ แล้ว ต้องมีวิการรูป ๓ รวมอยู่ด้วย จึงจะทำให้มีการเคลื่อนไหวได้

    . ที่เราพูดในชีวิตประจำวัน มีรูปเกิดกี่รูป

    สุ. เสียงธรรมดา ใช่ไหม มี ๑๐ รูป คือ มีอวินิพโภครูป ๘ วจีวิญญัตติรูป ๑ และสัททรูป ๑

    . ทำไมไม่มีวิการรูป เพราะต้องอาศัยความเบา ความอ่อน ความควรแก่การงานด้วย ไม่อย่างนั้นอาจจะพูดไม่ได้

    สุ. เฉพาะในกลุ่มนั้นที่มีเสียงเกิดขึ้น มีวจีวิญญัตติรูป

    . เวลาร้องเพลงทำไมมีตั้ง ๑๓ รูป

    สุ. ต้องทำให้เกิดการกระทบกันเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเสียงอย่างนั้น ก็ออกมาไม่ได้

    . ถ้าเราพูดภาษาต่างประเทศ อย่างภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาที่เคยชิน เราต้องอาศัยวิการรูปหรือเปล่า

    สุ. ถ้าสังเกตก็คงจะทราบว่า ขณะนั้นต้องอาศัยหรือไม่ต้องอาศัย เป็น สิ่งซึ่งยากต่อการที่จะรู้ได้จริงๆ เพราะถ้าไม่ทรงแสดงไว้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถรู้ได้ว่า ส่วนเกินจากอวินิพโภครูป ๘ ในแต่ละกลุ่มนั้นมีอะไรบ้าง เพราะว่าอวินิพโภครูป ๘ นี่ก็เล็กจนกระทั่งแตกย่อยลงไปละเอียดที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อมีรูปอื่นเพิ่มขึ้นมาอีกเพียงเล็กๆ น้อยๆ และผสมกันด้วย ปนกันด้วย ไม่ใช่ว่าจะมีแต่รูปที่เกิดจากกรรมโดดๆ โดยที่ไม่มีกลุ่มของรูปที่เกิดจากจิต หรือกลุ่มของรูปที่เกิดจากอุตุ หรือกลุ่มของรูปที่เกิดจากอาหาร แม้แต่การกลอกตาไปมา ก็ยังต้องมีทั้งกลุ่มของรูปที่เกิดเพราะจิต กลุ่มของรูปที่เกิดเพราะอุตุ กลุ่มของรูปที่เกิดเพราะอาหาร กลุ่มของรูปที่เกิดเพราะกรรม

    . ขณะใดที่เราพูด หรือเคลื่อนไหวร่างกาย จะใช้หลักอะไรวินิจฉัยได้ว่า ขณะนั้นมีวิการรูปเกิดหรือเปล่า

    สุ. เวลาที่พยายามเป็นพิเศษ ไม่ใช่ร้อง โอ๊ย ออกมาคำเดียว ใช่ไหม มิฉะนั้นแล้วจะไม่มีความต่างกัน

    , วิการรูปจะเกิดได้เพราะมีจิตเป็นสมุฏฐานเท่านั้น มีอย่างอื่นเป็นสมุฏฐานไม่ได้

    สุ. วิการรูปเกิดเพราะอุตุเป็นสมุฏฐานได้ เพราะจิตเป็นสมุฏฐานได้ เพราะอาหารเป็นสมุฏฐานได้ วิการรูป ๓ มีสมุฏฐาน ๓ แต่ว่าในกลาปคือในกลุ่มหนึ่งต้องมีสมุฏฐานเดียว ถ้ากลุ่มนี้เกิดขึ้นเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน กลุ่มอื่นก็เกิดขึ้นเพราะอาหารเป็นสมุฏฐาน อีกกลุ่มหนึ่งก็เกิดขึ้นเพราะอุตุเป็นสมุฏฐาน ไม่ใช่ว่าในกลุ่มเดียวมี ๓ สมุฏฐาน แต่เกิดรวมกันทั้งหมดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ซึ่งยากต่อการที่จะแยก อย่างขณะที่กระทบสัมผัส ก็ไม่มีใครสามารถแยกออกไปได้ว่า มีรูปซึ่งเกิดเพราะสมุฏฐานใด เพราะว่าคละเคล้ากันไปตลอด

    . ถ้าเราเคลื่อนไหวร่างกายโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ก็ต้องอาศัยความเบา ความอ่อน ความควรแก่การงานของรูปเหมือนกัน

    สุ. ปกติมีอยู่แล้ว

    . ถ้าอย่างนั้น วิการรูปที่เกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐานก็น่าจะเกิดได้ ใช่ไหม ที่กลุ่มของรูปในขณะนั้น ถ้าเราเคลื่อนไหวร่างกายโดยที่เราอาจจะเผลอไป เคลื่อนไหวธรรมดา แต่ก็ต้องอาศัยความเบา ความอ่อน ความควรแก่การงานของรูป ไม่อย่างนั้นก็เคลื่อนไหวไม่ได้ รูปก็ต้องเป็นแค่วัตถุธรรมดา

    สุ. เพราะฉะนั้น กายวิญญัตติรูปต่างกับวิการรูป แต่มีลักษณะที่ มีความสามารถคล้ายกัน บางแห่งจะกล่าวว่า วิการรูป ๕ คือ รวมเลย แต่ที่แยกเป็นวิการรูป ๓ กายวิญญัตติรูป ๑ วจีวิญญัตติรูป ๑ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า เวลาที่มีวิการรูปโดยที่ไม่มีกายวิญญัตติรูปก็มี เพราะไม่มีความต้องการให้รูปนั้นมีความหมายอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่เหมือนกับในขณะที่มีวิการรูปและมีกายวิญญัตติรูปด้วย อย่างเช่น บางคนอาจจะซ้อมบทบาทท่าทางในกระจก ซึ่งปกติก็เป็นการเดิน การเหลียวธรรมดา แต่ในขณะที่ต้องการจะให้แสดงหรือส่องถึงความหมาย ขณะนั้นจะมีรูปที่ชื่อว่ากายวิญญัตติรูปรวมอยู่ด้วย เพราะไม่ใช่มีแต่เฉพาะวิการรูป แต่ยังมีความต้องการให้รูปนั้นแสดงความหมายตามความต้องการของจิต ฉะนั้น กลุ่มนั้นจึง มีรูปเพิ่มขึ้นอีก คือ กายวิญญัตติรูป ซึ่งเกิดดับพร้อมกับจิต

    . ถ้าอย่างนั้นเวลาเราพูดปกติธรรมดา ก็ตัดออกไป จาก ๑๓ รูปเหลือ ๑๐ รูป ซึ่งต้องมีวจีวิญญัตติรูปอยู่แล้ว

    สุ. วจีวิญญัตติรูปจะขาดไม่ได้เลย

    . ต้องมี เพราะต้องให้มีความหมาย แต่ที่เราพูดอยู่ปกติธรรมดา ก็ต้องอาศัยความเบา ความอ่อน ความควรแก่การงานของรูปด้วย ใช่ไหม

    สุ. ถ้าเราจะดัดเสียง ขณะนั้นก็ ...

    . ถ้าพูดธรรมดา ต้องอาศัยหรือเปล่า

    สุ. ถ้าพูดธรรมดา วจีวิญญัตติทำหน้าที่เหมือนกับวิการรูปได้

    . หมายความว่า ก็ ...

    สุ. สามารถทำให้เกิดเสียง โดยทำให้กระทบกันที่ฐานของเสียง นั่นคือ วจีวิญญัตติรูป ไม่ใช่รูปอื่น ไม่ใช่วิการรูป

    เป็นเรื่องที่สามารถจะศึกษาตาม และพยายามพิจารณาให้เข้าใจ แต่การที่จะประจักษ์แจ้งนั้น ต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    . ขอบพระคุณมาก

    สุ. เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาจริงๆ ในเรื่องของวิญญัตติรูปและวิการรูป ซึ่ง บางแห่งเรียกรวมกันเป็นวิการรูป ๕ ไม่ได้กล่าวถึงว่า เป็นวิญญัตติรูป ๒ วิการรูป ๓ เพราะว่าลักษณะของวิญญัตติก็เหมือนกับวิการ แต่ไม่ใช่เป็นวิการรูป ๓ ที่เป็น ลักษณะที่เบา ที่อ่อน ที่ควรแก่การงาน แต่สามารถให้เกิดความหมายทางกาย หรือทำให้เกิดเสียงตามวิตกวิจารที่เป็นวจีสังขาร ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วมากในขณะที่พูด มีใครจะรู้บ้างว่า วิตกวิจารกำลังคิดคำ เพราะว่าเสียงออกมาแล้ว ใช่ไหม แสดงให้เห็นถึงการเป็นปัจจัยของสภาพธรรมว่า เมื่อวิตกวิจารเกิดคิดถึงสิ่งใด วจีวิญญัตติรูปก็ทำให้เกิดเสียงโดยกระทบที่ฐานของเสียงที่ทำให้เกิดเสียงได้

    . วิการรูปทำให้การเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ถ้าคนที่เคลื่อนไหว ไม่คล่องแคล่ว เช่น คนที่มีโรค หรืออายุมากแล้ว ก็ถือว่าวิการรูปไม่ค่อยดีหรือน้อย คนหนุ่มสาวเดินเหินคล่องแคล่ว ก็ถือว่าวิการรูปของเขาสมบูรณ์ดี เข้าใจอย่างนี้ ผิดหรือถูก

    สุ. ไม่ผิด เพราะถ้าธาตุดินเสีย ธาตุน้ำเสีย ธาตุไฟเสีย ธาตุลมเสีย ที่จะให้มีความวิการได้เหมือนปกติ หรือให้วิการรูปที่เกิดร่วมด้วยมีความเบา มีความอ่อน มีความควรแก่การงานเหมือนปกติ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าวิการรูปนั้นต้องอาศัยเกิดกับมหาภูตรูป ต้องเกิดกับอวินิพโภครูป ๘ เพราะรูปใดๆ ก็ตามที่เป็นอุปาทายรูป เพราะอรรถว่า เป็นรูปอาศัย อธิบายว่า ยึดเอามหาภูตรูปไว้ไม่ยอมปล่อย อาศัยมหาภูตรูปนั้นเป็นไป ไม่สามารถเกิดขึ้นเป็นไปตามลำพังได้เลย ต้องติด ต้องเกิดร่วมกับมหาภูตรูป

    ใน อัฏฐสาลีนี เรื่องกามาวจรกุศลและทวาร กายกรรมและกายทวาร มีข้อความเรื่องกายวิญญัตติรูป ข้อความมีว่า

    รูปที่เรียกว่ากายวิญญัตตินั้น เป็นไฉน ความเคร่งตึง กิริยาที่เคร่งตึงด้วยดี ความเคร่งตึงด้วยดี การแสดงให้รู้ความหมาย กิริยาที่แสดงให้รู้ความหมาย ความแสดงให้รู้ความหมายแห่งกายของบุคคลผู้มีจิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นอัพยากต หรือก้าวไปข้างหน้า ถอยกลับ เหลียวดู เหลียวซ้าย แลขวา คู้เข้า หรือเหยียดออกอันใด รูปทั้งนี้นั้นเรียกว่า กายวิญญัตติ

    ความจริง จิตที่เกิดขึ้นว่า เราจักก้าวไปข้างหน้า จักถอยกลับ ดังนี้ ย่อมให้รูปตั้งขึ้น ในบรรดาวิญญัตติทั้ง ๒ นั้น วาโยธาตุที่มีจิตเป็นสมุฏฐานในภายในรูปกลาปเหล่านี้ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ วัณณะ คันธะ รสะ โอชา ที่อาศัยปฐวีธาตุเป็นต้นนั้น ย่อมค้ำจุนทรงไว้ ยังรูปกายที่เกิดร่วมกับตน ให้เคลื่อนไหว ให้ก้าวไปข้างหน้า ให้ถอยกลับ

    นี่คือการกล่าวถึงวิญญัตติรูปรวมกับวิการรูป ซึ่งบางคนก็แยกไม่ได้ว่า ขณะไหนเป็นวิการรูป ขณะไหนเป็นวิญญัตติรูป เพราะว่ากล่าวรวมกันทั้ง กายวิญญัตติรูปและวิการรูป แต่ถ้าจะแยก ก็แยกได้ คือ ตามปกติธรรมดาที่มีการก้าวไปข้างหน้าหรือว่าถอยกลับ หรือว่าเหลียวดู เหลียวซ้ายแลขวา ดูเป็นกิริยาอาการตามปกติ ซึ่งเป็นลักษณะของวิการรูป แต่ก็มีกายวิญญัตติรูปได้ในขณะที่ต้องการให้รูปนั้นมีความหมาย เช่น การเหลียวซ้ายแลขวา อยากจะให้คนอื่นช่วยหาของ ได้ไหม กำลังหาของอยู่ และต้องการให้คนอื่นช่วย ก็แสดงอาการเหลียวซ้ายแลขวา เพื่อให้คนอื่นช่วยหาให้ โดยที่ไม่กล่าวออกมาเป็นวาจา แต่ในใจของบุคคลนั้น มีกายวิญญัตติรูป เป็นรูปที่เกิดร่วมกับกลุ่มของรูปนั้น เพราะมีความประสงค์ต้องการ ที่จะให้การเคลื่อนไหวนั้นแสดงความหมายอย่างหนึ่งอย่างใด แม้แต่การเหลียว หรือการแล ก็มีกายวิญญัตติรูปรวมอยู่ด้วยได้

    ข้อความต่อไปแสดงว่า การที่กิริยาอาการของกายจะเกิดขึ้นเป็นไป เคลื่อนไหวไป ต้องอาศัยจิตในขณะไหนบ้าง

    ในบรรดารูปกลาป ๘ อย่างนั้น วาโยธาตุที่ตั้งขึ้นแต่จิตดวงแรกในบรรดาชวนะ ๗ ในอาวัชชนวิถีหนึ่ง ย่อมสามารถค้ำจุนทรงไว้ซึ่งรูปกายที่เกิดพร้อมกับตน แต่ ไม่สามารถจะให้เคลื่อนไหวไปมาได้

    ถ้าศึกษาโดยละเอียดจะเห็นได้ว่า จิตแต่ละประเภทจะทำให้เกิดรูปประเภทไหนบ้าง เช่น ในขณะที่นอนหลับ มีรูปเกิดแน่นอน เพราะว่ารูปที่เกิดดับไปเร็วมาก เกือบจะกล่าวได้ว่า ทันทีที่เกิดแล้วก็ดับ ทันทีที่เกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น ที่ยังมีรูปเหลืออยู่เมื่อเวลาตื่นแสดงให้เห็นว่า รูปในขณะที่หลับจะต้องเกิดแล้วก็ดับๆ ตามสมุฏฐาน สืบต่ออยู่เรื่อยๆ มีรูปที่เกิดทั้งจากกรรมเป็นสมุฏฐานบ้าง จิตเป็นสมุฏฐานบ้าง อุตุเป็นสมุฏฐานบ้าง อาหารเป็นสมุฏฐานบ้าง

    ในขณะที่หลับ เป็นภวังคจิต เป็นวิบากจิต มีรูปเกิดขึ้นจริง แต่ไม่เป็น ชวนวิถีจิต เพราะฉะนั้น ไม่มีอาการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น คนที่นอนหลับสนิทจริงๆ ไม่มีการทำให้เกิดอิริยาบถ ไม่มีกายวิญญัตติ ไม่มีวจีวิญญัตติ แต่มีวิการรูปได้ เพราะว่าวิการรูปเกิดจากจิต เกิดจากอุตุ เกิดจากอาหาร



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๔๖ ตอนที่ ๑๔๕๑ – ๑๔๖๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 91
    28 ธ.ค. 2564