วินัยคฤหัสถ์ ตอนที่ 20


    ข้าพระองค์หมอบลงที่ใกล้พระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี ปรารถนาเห็นพระองค์ ความปรารถนาของข้าพระองค์นั้นสำเร็จแล้ว ข้าพระองค์เห็นพระองค์แล้ว เป็นการเห็นครั้งแรก นี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย การได้เห็นพระองค์ ไม่ได้มีอีกแล้ว ดังนี้ แล้วประคองอัญชลี หันหน้าเฉพาะตราบเท่าที่ที่จะเห็นได้ ถอยกลับแล้วถวายบังคม แล้วหลีกไป

    มหาปฐพีไม่อาจจะทรงไว้ได้ ไหวจนถึงน้ำรองรับแผ่นดิน พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะเหล่าภิกษุที่ยืนแวดล้อมว่า

    ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงติดตามพี่ชายของพวกเธอเถิด ขณะนั้นบริษัท ๔ ละพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้พระองค์เดียวในพระเชตวัน ออกไปไม่เหลือเลย

    ฝ่ายชาวพระนครสาวัตถีพากันพูดว่า ข่าวว่าพระสารีบุตรเถระทูลลา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วประสงค์จะปรินิพพานออกไปแล้ว พวกเราจะไปนมัสการท่าน พากันถือเอาของหอม และพวงมาลัยเป็นต้นออกไปจนแน่นประตูเมือง สยายผม ร้องไห้คร่ำครวญโดยนัยเป็นต้นว่า บัดนี้พวกเราเมื่อถามว่า ท่านผู้มีปัญญามากนั่งที่ไหน พระธรรมเสนาบดีนั่งที่ไหน ดังนี้ จะไปสำนักของใคร จะไปวางสักการะในมือของใคร เมื่อพระเถระหลีกไปแล้ว ก็ได้ติดตามท่านพระเถระไป

    ท่านพระสารีบุตรเถระเพราะความที่ท่านดำรงอยู่ในปัญญามาก คิดแล้วว่า ทางนี้คนทั้งหมดไม่ควรก้าวเลยมา ก็ได้โอวาทมหาชนว่า

    ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย แม้พวกท่านจงหยุด อย่าถึงความประมาทใน พระผู้มีพระภาคเลย แล้วให้พวกภิกษุกลับ แล้วท่านก็หลีกไปกับบริษัทของท่าน

    พวกชนเหล่าใดต่างคร่ำครวญว่า ครั้งก่อนพระผู้เป็นเจ้าสารีบุตรเที่ยวจาริกไปแล้วก็กลับมา บัดนี้ การไปนี้เป็นการไปเพื่อไม่กลับมาอีก จึงพากันติดตามอยู่อย่างนั้น

    พระเถระกล่าวกะชนเหล่านั้นว่า

    ท่านทั้งหลาย พวกท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท ชื่อว่าสังขารทั้งหลาย ย่อมเป็นอย่างนี้ แล้วก็ให้ชนเหล่านั้นกลับแล้ว

    ท่านพระสารีบุตรแสดงธรรมสงเคราะห์ชนทั้งหลายตลอดเจ็ดวัน ในระหว่างทางพักแรมคืนเดียวในที่ทุกแห่ง ได้ถึงบ้านนาฬกะเวลาเย็น และยืนที่โคนต้นนิโครธใกล้ประตูบ้าน

    ลำดับนั้นหลานของพระเถระชื่อว่าอุปเรวตะ ไปนอกบ้าน ได้เห็นพระเถระแล้ว จึงเข้าไปยืนไหว้อยู่แล้ว ท่านพระเถระจึงกล่าวกับเขาว่า

    ยายของเธออยู่ในเรือนหรือ

    อุปเรวตะกล่าวว่า

    อยู่ขอรับ ท่านผู้เจริญ

    ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า

    เธอจงไปบอกว่า เรามาที่นี้ เมื่ออุบาสิกาถามว่า มาเพราะเหตุอะไร ก็จงกล่าวว่า ข่าวว่าท่านพระเถระจะอยู่ในบ้านตลอดวันหนึ่งในวันนี้ ท่านจงจัดแจงห้องสำหรับท่านพระเถระเกิด และท่านจงรู้ที่เป็นที่อยู่ของภิกษุ ๕๐๐ รูป

    คือ ขอให้อุบาสิกาจัดเตรียมห้องที่ท่านเกิด และจัดที่สำหรับภิกษุ ๕๐๐ รูปด้วย

    อุปเรวตะก็ไปแจ้งให้นางสารีพราหมณี มารดาของท่านพระสารีบุตร ทราบตามนั้น

    นางสารีพราหมณีคิดว่า ลูกชายเราทำไมจึงให้เตรียมที่อยู่แก่พวกภิกษุเท่านี้ ท่านบวชมาตั้งแต่หนุ่ม ตอนแก่คงอยากจะสึกละกระมัง

    นี่เป็นความเห็นของผู้ที่เป็นมารดา

    นางได้จัดแจงห้องที่ท่านพระสารีบุตรเกิด และได้จัดที่พักของภิกษุ ๕๐๐ รูป ให้จุดเทียน และตะเกียงส่งไปถวายพระเถระ พระเถระพร้อมกับพวกภิกษุขึ้นปราสาทเมื่อท่านพระสารีบุตรเข้าไปยังห้องที่ท่านเกิดแล้ว ก็ให้พวกภิกษุไปพักผ่อนกันยังที่ ของตนๆ พอพวกภิกษุไปแล้วเท่านั้น อาพาธอย่างกล้าก็เกิดขึ้นแก่ท่านพระสารีบุตรเวทนาปางตายเพราะถ่ายเป็นโลหิต ต้องเอาภาชนะหนึ่งเข้าไปรองรับ เอาภาชนะหนึ่งออกมา

    นางพราหมณีคิดว่า เราไม่ชอบใจความเป็นไปแห่งบุตรของเราเลย และได้ยืนพิงประตูห้องที่อยู่ของตน

    ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูว่าท่านพระสารีบุตรอยู่ที่ไหน เมื่อเห็นว่า นอนบนเตียงอันเป็นที่ปรินิพพานในห้องที่ตนเกิดในบ้านนาฬกะ ก็ได้พากันไปนมัสการเป็นครั้งสุดท้าย

    เมื่อท่านพระสารีบุตรเห็นก็ถามว่า เป็นใคร และเมื่อทราบว่าเป็น ท้าวจาตุมหาราชมาเพื่อจะอุปัฏฐาก ท่านก็กล่าวว่า ผู้อุปัฏฐากไข้ของท่านมีอยู่แล้ว ท้าวจาตุมหาราชก็กลับไป

    เมื่อท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ไปแล้ว ท้าวสักกะจอมเทพก็มาโดยนัยนั้นนั่นแหละ ก็เมื่อท้าวสักกะไปแล้ว ท้าวมหาพรหมก็มา แล้วก็กลับไปเหมือนอย่างนั้น

    เมื่อนางสารีพราหมณีเห็นพวกเทวดาพากันมา จึงคิดว่า เทวดาเหล่านี้ไหว้ บุตรของเราแล้วก็ไป เพราะเหตุอะไรหนอ จึงได้ไปถามเรื่องนั้นแก่ท่านพระสารีบุตรว่า

    เจ้าใหญ่กว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ หรือ พ่อ

    ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า

    อุบาสิกา ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เหมือนศิษย์วัด ตั้งแต่พระผู้มีพระภาคของเราทรงปฏิสนธิ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็ถือพระขรรค์รักษาแล้ว

    นางสารีพราหมณีถามว่า

    พ่อ คล้อยหลังท้าวจาตุมหาราชไปแล้ว ใครมาล่ะ

    ท่านพระสารีบุตรตอบว่า

    ท้าวสักกะจอมเทพ

    นางสารีพราหมณีถามว่า

    เจ้าใหญ่กว่าจอมเทพหรือ พ่อ

    ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า

    อุบาสิกา ท้าวสักกะก็เช่นเดียวกับสามเณรผู้ถือสิ่งของ เวลาที่พระศาสดาของพวกเราเสด็จลงจากดาวดึงส์พิภพ ก็ได้ถือบาตรจีวรตามลงมา

    นางสารีพราหมณีถามว่า

    พ่อ หลังจากที่ท้าวสักกะนั้นไปแล้ว ดูเหมือนสว่างไสว ใครมา

    ท่านพระสารีบุตรตอบว่า

    อุบาสิกา นั่นคือท้าวมหาพรหม ผู้เป็นพระเจ้า และศาสดาของอุบาสิกา

    เพราะว่านางสารีพราหมณีไม่มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเลย ยังคงบูชาพรหม และถือว่าพรหมเป็นศาสดา เป็นพระเจ้าของนาง

    นางสารีพราหมณีกล่าวว่า

    พ่อยังใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมพระเจ้าของแม่หรือ

    ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า

    อย่างนั้นอุบาสิกา เล่ากันมาว่า วันที่พระศาสดาของพวกเราประสูตินั้น ท้าวมหาพรหม ๔ เหล่านั้น เอาข่ายทองรองรับพระมหาบุรุษ

    ขณะนั้นเมื่อนางพราหมณีคิดว่า เพียงลูกของเรายังมีอานุภาพเท่านี้ พระศาสดาซึ่งเป็นพระศาสดาของลูกเราจักมีอานุภาพขนาดไหนหนอ พลันปีติ ๕ อย่างก็เกิดขึ้นแผ่ไปทั่วสรีระ

    พระเถระทราบว่า ปีติโสมนัสเกิดขึ้นแล้วแก่มารดา บัดนี้เป็นเวลาสมควรแสดงธรรม ท่านจึงกล่าวว่า

    มหาอุบาสิกา ท่านกำลังคิดอะไร

    นางสารีพราหมณีกล่าวว่า

    แม่กำลังคิดถึงเหตุนี้ว่า เพียงลูกเรายังมีคุณถึงเพียงนี้ แล้วพระศาสดาของ ลูกนั้นจะมีคุณถึงเพียงไหน

    ท่านพระสารีบุตรก็ได้กล่าวว่า

    อุบาสิกา ในขณะที่พระศาสดาของอาตมาประสูติ ในขณะเสด็จออกผนวช ในขณะตรัสรู้ และในขณะประกาศธรรมจักร หมื่นโลกธาตุหวั่นไหวแล้ว ขึ้นชื่อว่า ผู้ที่เสมอด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะไม่มี

    แล้วแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับพระคุณของพระพุทธเจ้า โดยขยายความละเอียดว่า แม้เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นต้น

    คือ ตามบทสรรเสริญคุณของพระผู้มีพระภาค

    เวลาจบธรรมเทศนาของท่านพระสารีบุตร นางพราหมณีก็ดำรงอยู่ใน พระโสดาปัตติผล

    พระเถระคิดว่า บัดนี้เราให้เท่านี้ก็ควรแก่มารดาแล้ว ค่าเลี้ยงดูสำหรับ แม่พราหมณีสารี จักควรด้วยเหตุเท่านี้

    ขณะนั้นเป็นเวลาจวนสว่างแล้ว ท่านพระสารีบุตรจึงให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ให้ท่านพระจุนทะประคองให้นั่ง แล้วกล่าวกับภิกษุทั้งหลายว่า

    อาวุโส เมื่อพวกท่านทั้งหลายเที่ยวไปกับผมตลอด ๔๔ ปี กรรมใดของผมที่เป็นไปทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ซึ่งพวกท่านไม่ชอบใจ ขอให้พวกท่านจงอดโทษแก่ผมด้วย

    ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า

    ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ย่อมไม่มีแก่พวกข้าพเจ้า ผู้ไม่ละท่านเที่ยวไป ดุจเงาของท่านตลอดกาลเท่านี้ แต่ว่าขอท่านจงอดโทษให้แก่พวกข้าพเจ้าเถิด

    ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรดึงมหาจีวรมาปิดหน้า นอนโดยข้างขวา เข้าสมาบัติ ๙ ตามลำดับสมาบัติ ทั้งโดยอนุโลม และปฏิโลมเหมือนพระศาสดา แล้วเข้าตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานนั้นแล้ว ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

    นางสารีอุบาสิกาคิดว่า ลูกของเราไม่กล่าวอะไรเลยหรือหนอ จึงลุกขึ้น นวดหลังเท้าก็รู้ว่าปรินิพพานแล้ว เปล่งเสียงดังหมอบที่เท้า กล่าวว่า

    พ่อ พวกเราไม่รู้คุณของพ่อ ก่อนแต่นี้ ก็บัดนี้แม่ไม่ได้เพื่อนิมนต์ภิกษุหลายร้อยหลายพันหลายแสน ตั้งแต่พ่อให้นั่งฉันในนิเวศน์นี้ ไม่ได้เพื่อให้นุ่งห่มด้วยจีวร ไม่ได้เพื่อให้สร้างวิหารเป็นพัน ดังนี้ คร่ำครวญอยู่จนถึงอรุณขึ้น

    เมื่ออรุณขึ้น นางก็ให้เรียกช่างทองมาให้เปิดห้องเก็บทอง แล้วให้นำทองคำออกมาโกฏิหนึ่ง ให้นายช่างทองทำเป็นบุษบกห้าร้อยยอด สำหรับไว้ศพท่าน พระสารีบุตร

    เมื่อได้กระทำมหาบุษบกในท่ามกลางมณฑปสำหรับไว้ศพท่านพระสารีบุตร ทั้งขอบเขตบริเวณนั้นเสร็จแล้ว ก็ได้อาราธนาศพท่านพระสารีบุตรขึ้นไว้เหนือบุษบกทองคำ และได้ทำสักการบูชาถึง ๗ วัน ๗ คืน

    ในครั้งนั้น อุปัฏฐายิกา (อุบาสิกาผู้อุปัฏฐาก) ของพระเถระคนหนึ่ง ชื่อเรวดี คิดที่จะบูชาพระเถระ ก็ได้ให้ทำเสาดอกไม้ทอง ๓ ต้น และแม้ท้าวสักกเทวราชก็คิด จักบูชาพระเถระ ผู้คนไปที่นั่นมากมายจนเหยียบอุบาสิกานั้นตาย

    อุบาสิกานั้นก็ได้เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และได้ระลึกถึงอดีตกรรมว่า ได้กระทำกุศลใดจึงทำให้เกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็รู้ว่า เราชื่อนางเรวดี บูชา พระเถระด้วยเสาประดับด้วยดอกไม้ทองสามต้น ถูกพวกมนุษย์เหยียบแล้วตายไป เกิดในดาวดึงส์พิภพ เชิญท่านทั้งหลายดูสิริสมบัติของเรา บัดนี้ ถึงพวกท่านก็จงให้ทานทำบุญเถิด

    ใน อรรถกถา สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค อรรถกถาเจลสูตรที่ ๔ มีข้อความว่า

    ท่านพระสารีบุตรปรินิพพานในวันเพ็ญเดือน ๑๒ จากนั้นมาครึ่งเดือนในวันอุโบสถแห่งกาฬปักข์กึ่งเดือนนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ปรินิพพาน และหลังจากนั้น พระผู้มีพระภาคปรินิพพานในวันเพ็ญเดือน ๖

    . ท่านพระสารีบุตรไม่ได้ปรินิพพานเดือนมาฆะหรือ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ท่านรู้แจ้งเป็นพระอรหันต์ในเดือนมาฆะ และหลังจากนั้น ๔๕ ปี

    . สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนี้ ตรงกับวันมาฆบูชา

    ท่านอาจารย์ วันนี้ ตอนเย็นๆ อย่างนี้

    . แต่ปรินิพพานวันเพ็ญเดือน ๑๒ รู้สึกว่าพระอรหันต์ทั้งหลายเวลาท่านจะปรินิพพาน ท่านต้องไปลาพระพุทธองค์เสมอ สำหรับเรื่องอาพาธ เรื่องเจ็บป่วยของท่าน ผมเข้าใจว่าคงจะมีอยู่ อย่างท่านพระสารีบุตรหลังจากท่านไปทูลลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็เดินทางมาที่หมู่บ้านนาฬกะใช้เวลา ๗ วัน และเมื่อมาถึงก็ป่วยหนัก แสดงว่าท่านคงป่วยอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่มีข้อความที่กล่าวไว้ แต่เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องธรรมดา วันนี้ ดูแข็งแรง พรุ่งนี้เจ็บหนักก็ได้ เป็นลมปัจจุบันทันด่วนก็ได้ หรือถึงกับจะสิ้นชีวิตใน วันพรุ่งนี้ก็ย่อมได้

    สำหรับตัวอย่างของผู้ที่เห็นว่า การฟังพระธรรม และการยินดีในพระธรรม ประเสริฐกว่าความยินดีทุกชนิด ขอยกตัวอย่างอุบาสิกาท่านหนึ่งในสมัย พระผู้มีพระภาค คือ ท่านกาฬี อุบาสิกาชาวกุรรฆรนคร ซึ่งท่านเป็นผู้เลิศกว่า อุบาสิกาสาวิกา ผู้เลื่อมใสโดยได้ยินได้ฟังตาม คือ ท่านไม่ได้พบพระผู้มีพระภาคเลย ไม่ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ แต่ท่านสามารถบรรลุเป็นพระโสดาบันได้

    เรื่องมีว่า

    ท่านเป็นมารดาของท่านโสณโกฏิกัณณะ ซึ่งเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีถ้อยคำไพเราะ เดิมท่านกาฬีอุบาสิกาเป็นชาวเมืองราชคฤห์ แต่เมื่อท่านแต่งงานแล้ว ท่านก็ไปอยู่ที่กุรรฆรนคร ในอวันตีชนบท เมื่อท่านมีครรภ์แก่ ท่านก็กลับไปบ้านบิดามารดาของท่านที่เมืองราชคฤห์ตามประเพณี

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วได้ทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ณ ราวป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี นอกจากท่านอัญญาโกณฑัญญะแล้ว เทพยดาทั้งหลายก็ได้บรรลุมรรคผลเป็นอันมาก และขณะที่ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอยู่นั้น สาตาคิรยักษ์ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แต่เมื่อไม่เห็นเหมวตยักษ์ผู้เป็นสหายในที่นั้น ก็คิดที่จะไปแสดงคุณของพระผู้มีพระภาคให้สหายฟัง

    ขณะนั้นเหมวตยักษ์เห็นดอกไม้บานสะพรั่งในป่าหิมพานต์ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ฤดูกาล จึงคิดที่จะไปชวนสาตาคิรยักษ์ผู้เป็นสหายให้มาเที่ยวชมดอกไม้ในป่า

    ทั้งสอง และบริวารได้มาพบกันเหนือเขตบ้านของกาฬีอุบาสิกาที่ชายเมืองราชคฤห์ เมื่อไต่ถามกันแล้ว สาตาคิรยักษ์ก็ได้กล่าวแก้ปัญหาทั้งหลายที่เหมวตยักษ์ถาม และได้สรรเสริญพระคุณของพระผู้มีพระภาค ตามข้อความใน เหมวตสูตร ในขณะที่กำลังฟังธรรมอยู่นั้น เหมวตยักษ์ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แม้กาฬีอุบาสิกาก็ได้บรรลุพระโสดาบันในขณะฟังธรรมที่สาตาคิรยักษ์แสดงแก่เหมวตยักษ์ และได้ให้กำเนิดท่านพระโสณโกฏิกัณณะในคืนนั้นนั่นเอง ในคืนที่ท่านบรรลุเป็นพระโสดาบัน

    เมื่อท่านอยู่ในเรือนของสกุลของท่านพอสมควรแล้ว ท่านก็พาโสณกุมารกลับไปยังกุรรฆรนคร และได้เป็นอุปัฏฐากของท่านพระมหากัจจายนะ ซึ่งเป็นภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้จำแนกอรรถแห่งภาษิตโดยย่อให้พิสดาร

    ต่อมาโสณกุมารบุตรของท่านก็คุ้นเคยใกล้ชิดกับท่านพระมหากัจจายนะ และมีศรัทธาที่จะบวชเป็นสามเณรในสำนักของท่านพระมหากัจจายนะ ซึ่งแม้ว่า ท่านปรารถนาจะอุปสมบทเป็นพระภิกษุก็ตาม แต่เมื่อมีภิกษุไม่ครบองค์ที่จะอุปสมบทให้ ท่านก็ต้องเพียงบรรพชาเป็นสามเณร แล้วต้องรอไปจนประมาณ ๓ ปี จึงได้ภิกษุครบองค์ที่จะได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ และท่านได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคที่พระวิหารเชตวัน เพื่อขอพรในเรื่องพระวินัยแด่พระผู้มีพระภาค ซึ่งกาฬีอุบาสิกาก็ได้มอบผ้ากัมพลผืนหนึ่งให้ถวายพระผู้มีพระภาค เพื่อปูลาดที่พื้นพระคันธกุฎีของพระผู้มีพระภาคด้วย

    พระผู้มีพระภาคทรงรับสั่งให้ท่านพระอานนท์จัดให้ท่านพระโสณะอยู่ในพระคันธกุฎีกับพระองค์ด้วย และเมื่อทรงลุกจากที่พระบรรทมภายหลังมัชฌิมยามแล้ว ได้ตรัสให้ท่านพระโสณะแสดงธรรม ท่านพระโสณะก็ได้แสดงธรรมด้วยเสียง และบทที่ไพเราะ ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ทรงประทานสาธุการ แม้เทพยดาทั้งหลาย และเทพ ผู้สถิตในเรือนของกาฬีอุบาสิกาในกุรรฆรนคร ซึ่งไกลจากพระวิหารเชตวันประมาณ ๑๒๐ โยชน์ ก็ได้ให้สาธุการด้วย

    เมื่อท่านพระโสณโกฏิกัณณะกลับไปสู่กุรรฆรนครแล้ว กาฬีอุบาสิกาก็ขอให้ท่านแสดงธรรมแก่ท่านด้วย ซึ่งท่านกาฬีอุบาสิกาก็ได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ เมื่อทำการบูชาแล้วก็ได้พาคนในบ้านทั้งสิ้นไปฟังพระธรรม โดยให้หญิงทาสีคนเดียวเฝ้าเรือนไว้

    ในเวลานั้น มีพวกโจรที่มองหาช่องในเรือนของอุบาสิกานั้น ซึ่งเรือนของอุบาสิกากาฬีล้อมด้วยกำแพง ๗ ชั้น มีซุ้มประตู ๗ ประตู และล่ามสุนัขที่ดุไว้ที่ซุ้มประตูทุกประตู นอกจากนั้นยังขุดคูไว้ที่น้ำตกแห่งชายคาภายในเรือน และใส่ดีบุกจนเต็ม เวลากลางวันดีบุกนั้นปรากฏเป็นประดุจว่าละลายเดือดพล่านอยู่เพราะแสงอาทิตย์ ในเวลากลางคืนปรากฏเป็นก้อนแข็งกระด้าง และยังปักขวากเหล็กใหญ่ไว้ที่พื้นในระหว่างคูนั้นติดๆ กันไปด้วย พวกโจรเหล่านั้นไม่ได้โอกาส เพราะเหตุว่าการรักษาซุ้มประตูเป็นไปอย่างเคร่งครัด และอุบาสิกานั้นก็อยู่ในเรือนด้วย

    วันนั้นเมื่อพวกโจรทราบว่า อุบาสิกาไปฟังธรรม ก็ได้จัดการขุดอุโมงค์เข้าไป สู่เรือน แล้วส่งหัวหน้าโจรไปสู่สำนักของท่านพระโสณะที่กำลังแสดงธรรม แล้วสั่งว่า ถ้าอุบาสิกากลับมาบ้านเพราะรู้ว่าพวกเราเข้าไปในบ้าน ก็ให้ฟันอุบาสิกานั้นให้ตายเสียด้วยดาบ ซึ่งหัวหน้าโจรนั้นก็ไปยืนอยู่ในสำนักที่อุบาสิกากำลังฟังธรรม แล้วพวกโจรก็จุดไฟให้สว่างภายในบ้าน เปิดประตูห้องเก็บกหาปนะ

    เมื่อนางทาสีเห็นพวกโจรนั้น ก็รีบไปบอกอุบาสิกาว่า โจรเป็นอันมากเข้าไปสู่เรือน ขณะนี้กำลังงัดประตูห้องเก็บกหาปนะแล้ว

    อุบาสิกากล่าวว่า ให้พวกโจรขนกหาปนะที่ตนค้นพบแล้วไปเถอะ เราจะฟังธรรมกถาแห่งบุตรของเรา เจ้าอย่าทำอันตรายแก่ธรรมของเราเลย เจ้าจงไปเรือน เสียเถิด

    นี่คือผู้ที่เห็นประโยชน์ในการฟังธรรม เพราะว่าเงินทองไม่สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ได้ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าพวกโจรจะนำเงินออกจากห้องเก็บเงินไปทั้งหมด ก็ไม่ควรที่จะให้อุบาสิกาต้องกลับไป

    เมื่อพวกโจรเก็บกหาปนะในห้องเก็บกหาปนะหมดแล้ว ก็งัดห้องเก็บเงิน นางทาสีก็ไปแจ้งเรื่องให้อุบาสิกานั้นฟังอีก ซึ่งอุบาสิกาก็กล่าวว่า พวกโจรจงขนเอาทรัพย์ที่ปรารถนาไปเถอะ เจ้าอย่าทำอันตรายแก่เราเลย แล้วให้นางทาสีนั้นกลับไปอีก

    พวกโจรก็เก็บเงินในห้องเก็บเงินหมดแล้ว ก็งัดห้องเก็บทอง นางทาสีก็ไปแจ้งเรื่องนั้นให้อุบาสิกาฟังอีก

    ครั้งนั้น อุบาสิกาเรียกนางทาสีมาแล้วพูดว่า เจ้ามาที่นี้ มาบอกเราหลายครั้งแล้ว แม้เราสั่งว่า ให้พวกโจรขนเอาไปตามชอบใจเถอะ เราจะฟังธรรมกถาแห่งบุตรของเรา เจ้าอย่าทำอันตรายแก่เราเลย ก็หาเอื้อเฟื้อถ้อยคำของเราไม่ ยังขืนมา ซ้ำๆ ซากๆ ร่ำไป ทีนี้ถ้ามาอีกจะถูกลงโทษ แล้วก็ให้ทาสีกลับไป

    บางท่านไม่ทราบว่า ขณะที่ผู้อื่นกำลังฟังธรรม หรือกำลังทำกุศลประการหนึ่งประการใด และมีอุปสรรคโดยการขัดขวางของท่าน เท่ากับว่าท่านปล้นบุคคลนั้น เพราะบุคคลนั้นกำลังจะได้สมบัติซึ่งเป็นธรรมอันประเสริฐ แต่มีเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้สมบัตินั้น อย่างเช่น น้องชายของท่านพระสารีบุตรคนสุดท้าย มารดาของท่าน ไม่ปรารถนาที่จะให้ท่านบวช ปรารถนาที่จะให้ท่านแต่งงาน ซึ่งท่านก็ทำอุบาย ค่อยๆ หนีไปทีละเล็กทีละน้อย วิ่งไปเรื่อยๆ ในที่สุดไปถึงสำนักของสงฆ์ ก็ขอให้ภิกษุทั้งหลายบวชให้ ภิกษุทั้งหลายก็ไม่บวชให้ ท่านก็ร้องว่า โจรปล้นแล้ว โจรปล้นแล้ว เพราะว่าท่านกำลังจะได้สมบัติอันเกิดจากการบวช แต่พระภิกษุทั้งหลายไม่ได้บวชให้ท่าน ซึ่งภิกษุทั้งหลายไม่เห็นโจรเลย แต่ได้ยินท่านเรวตะกล่าวว่า โจรปล้น โจรปล้น ก็แปลกใจว่าโจรที่ไหนปล้น ความจริงภิกษุทั้งหลายนั่นเองกำลังปล้นทรัพย์ ที่น้องชายของท่านพระสารีบุตรควรจะได้

    สำหรับอุบาสิกาท่านนี้ ท่านเห็นประโยชน์ของการฟังธรรม แม้ว่าโจรจะเข้าไปเอาทรัพย์สมบัติในบ้านแล้ว ท่านก็ยังคงปรารถนาที่จะฟังธรรมต่อไป

    เมื่อนายโจรได้ฟังถ้อยคำของอุบาสิกานั้นแล้วก็คิดว่า ไม่ควรนำทรัพย์ของหญิงเห็นปานนี้ไปเลย และได้กลับไปที่บ้านของอุบาสิกา สั่งให้พวกโจรทั้งหลายขนทรัพย์ของอุบาสิกาเข้าไปเก็บไว้ตามเดิมโดยเร็ว

    โจรเหล่านั้นก็เก็บกหาปนะเต็มห้องกหาปนะเหมือนเดิม และเก็บเงิน และทองไว้ในห้องเก็บเงิน และทองตามเดิม

    ได้ยินว่า ความที่ธรรมย่อมรักษาบุคคลผู้ประพฤติธรรมเป็นธรรมดา เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ธรรมแลย่อมรักษาบุคคลผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ นี่เป็นอานิสงส์ในธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ผู้มีปกติประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ

    เมื่อพวกโจรได้ไปยืนอยู่ในที่ฟังธรรม เมื่อพระเถระแสดงธรรมจบแล้ว หัวหน้าโจรได้หมอบลงแทบเท้าอุบาสิกา ขอให้อุบาสิกายกโทษให้ และขออุปสมบทในพระธรรมวินัย

    เพราะฉะนั้น เรื่องที่เมื่อไรสติปัฏฐานจะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ก็ควรที่จะได้พิจารณาถึงจิตใจของผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วเลื่อมใส จนแม้โจรปล้นบ้านก็ไม่เดือดร้อน กับจิตใจของท่านผู้ฟังที่ยังมีความยินดีในทรัพย์ ยินดีในวัตถุสิ่งของต่างๆ และเมื่อไรจิตใจจะถึงระดับของอุบาสิกานั้น ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 4
    4 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ