วินัยคฤหัสถ์ ตอนที่ 12


    “ไม่รู้หรือว่า ลูกแดงๆ นี่แหละเป็นลูกพุทรา ที่เจ้าเก็บขายเมื่อเป็นเด็ก หัวกร่อน อยู่โน้น มาบัดนี้ลืมเสียแล้วหรือ เราเลี้ยงเจ้าต่อไปอีกไม่ได้แล้ว”

    นี่เป็นชีวิตปกติประจำวัน อาจจะเกิดกับใครในวันไหน ขณะไหนก็ได้ แล้วแต่กิเลสที่ได้สะสมมาเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น

    ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคของเราทั้งหลายได้เสวยพระชาติเป็นพระราชครูของพระเจ้าแผ่นดินนั้น อยู่ในที่เฝ้านั้นด้วย ได้ทูลเตือนขึ้นว่า

    “ข้าแต่มหาราช เมื่อทรงยกย่องให้เป็นพระอัครมเหสีแล้ว ก็เป็นอันว่า พระองค์ได้ทรงยกย่องให้มีฐานะสมควรแก่พระองค์แล้ว ไม่ควรดูถูกดูหมิ่นเช่นนี้ พระเจ้าข้า”

    ซึ่งคำทูลของพระราชครูนั้นก็ทำให้พระเจ้าแผ่นดินรู้สึกพระองค์ว่า ผิด จึงได้ทรงขอขมาต่ออัครมเหสีนั้น แล้วไม่ทรงดูถูกดูหมิ่นด้วยชาติตระกูล ยศ ศักดิ์ สมบัติ บริวาร ความรู้ และคุณธรรมอีกต่อไป

    นี่เป็นชีวิตประจำวันค่ะ ซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างไรก็แล้วแต่การสะสมของกุศล และอกุศล

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลังอันสามีบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ คือ จัดการงานดี ๑ สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามีดี ๑ ไม่ประพฤตินอกใจสามี ๑ รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ ๑ ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง ๑ ฯ

    นี่เป็นสภาพของธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล นะคะ ภรรยาใดจะอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ คือ

    จัดการงานดี

    นั่นก็เป็นเพราะสะสมอุปนิสัยปัจจัยที่จะเกื้อกูลบุคคลที่ใกล้ชิดให้ได้รับความสะดวกสบาย

    และสงเคราะห์คนข้างเคียงของสามีดี

    คนข้างเคียงก็หมายความถึง ญาติ หรือมิตรสหายของสามี ขณะนั้นถ้าสติไม่เกิด จะรู้ไหมคะว่า เป็นผู้ที่สงเคราะห์หรือไม่สงเคราะห์ในญาติ ในบุคคลที่ใกล้เคียง การที่จะดับกิเลสได้ ไม่ใช่ว่าโดยไม่รู้อะไรเลยตามปกติตามความเป็นจริง แต่ทุกขณะของการกระทำ และคำพูดที่จะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างไรเป็นความจริง เป็นสภาพธรรมซึ่งสติจะต้องเกิดพร้อมกับการดำเนินชีวิตเป็นปกติ จึงจะรู้ได้ว่า สภาพธรรมทั้งหมดแต่ละขณะนั้น แม้แต่กุศลหรืออกุศลใดๆ ก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ถ้าชีวิตจริงของท่านเป็นอย่างนี้ แต่ว่าสติไม่เกิดเลย คอยจะไปทำจิตให้สงบในสถานที่หนึ่งสถานที่ใด แล้วก็หวังที่จะให้รู้ลักษณะเฉพาะบางนามธรรม และบางรูปธรรม ในขณะที่จิตกำลังสงบเท่านั้น แล้วเวลาที่จิตไม่สามารถที่จะดำรงความสงบในสถานที่สงบอย่างนั้นได้ เพราะเหตุว่านั่นไม่ใช่ชีวิตประจำวัน และกลับมาเป็นผู้ดำเนินชีวิตปกติในชีวิตประจำวันของท่าน ตามความเป็นจริง แล้วไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตปกติประจำวัน จะสามารถดับกิเลสได้อย่างไร เพราะเหตุว่าชีวิตปกติประจำวันนี้เป็นปัจจัยของโลภะ โทสะ โมหะ มัจฉริยะ ริษยา ของความเมตตา ของความกรุณา ของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งแต่ละท่านสะสมมา แล้วก็เกิดขึ้นปรากฏตามความเป็นจริง ถ้าสติไม่เกิด ไม่ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงตามปกติในชีวิตประจำวัน ย่อมไม่สามารถจะรู้แจ้งว่า สภาพธรรมทั้งหลายเหล่านั้นหาใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ใดๆ ไม่ เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏโดยละเอียดจริงๆ โดยทั่วจริงๆ ไม่ว่าสภาพธรรมนั้นจะเป็นกุศลหรืออกุศลอย่างวิจิตร อย่างประณีตเพียงใดก็ตาม เพราะเหตุว่าแต่ละท่านนี้ทราบไม่ได้เลยว่า แม้แต่เวทนา ความรู้สึก จะเกิดสลับสับสนเกือบจะแยกไม่ออกเลยว่า เวทนาในขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศลอย่างไร เมื่อสภาพของเวทนานั้นดับหมดไปแล้ว แม้ว่า

    จะตามใคร่ครวญถึงลักษณะของเวทนานั้น ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า เวทนานั้นเป็นกุศลหรืออกุศลอย่างไรกันแน่ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเหตุว่าสติไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตรงในขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ แล้วก็ยังขาดการศึกษา การสังเกต การสำเหนียก รู้จริงๆ ว่า เวทนาใดเป็นกุศล เวทนาใดเป็นอกุศล เพราะเหตุว่าแม้แต่เวทนาก็จะต้องเป็นไปกับกุศลจิต และอกุศลจิต

    ถาม สมมติว่า เรามีความสุขจากการกินอยู่หลับนอน อะไรก็แล้วแต่ ร่างกายสบาย หรือมีร่างกายผ่องใส แต่ถ้าหากขณะนั้นไม่มีสติระลึกได้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง อย่างนี้เป็นอกุศลใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าความรู้สึกนั้นไม่ประกอบด้วยความผ่องใสที่เป็นกุศลจิต ในทาน ในศีล ในภาวนา ในขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ นี้สังเกตได้ว่า เวทนาประเภทไหนเกิดมาก ถ้าไม่สังเกตเลย ก็หมายความว่า เต็มไปด้วยความไม่รู้ และยึดถือความรู้สึกต่างๆ เป็นเรา เป็นตัวตน

    ในวันหนึ่งๆ ความรู้สึกมีมากมายเหลือเกิน แต่ขาดความสังเกตที่จะรู้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพความรู้สึกแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้น บางครั้งเป็นกุศล บางครั้งเป็นอกุศล แต่ส่วนมากเป็นอกุศล เพราะเหตุว่าอกุศลธรรมย่อมมีปัจจัยเกิดขึ้นบ่อยกว่ากุศลธรรม เป็นต้นว่าความยินดีพอใจที่ได้เห็นดอกไม้สวยๆ เป็นธรรมดาในชีวิตใช่ไหมคะ เป็นความรู้สึกดีใจ เป็นกุศล หรืออกุศล ยับยั้งหยุดยั้งไม่ได้เลยนะคะ ที่จะไม่ให้อกุศลธรรมเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้น หนทางเดียวค่ะที่จะกั้นกระแสของอกุศลได้ ก็คือระลึกได้ที่จะศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏชั่วขณะนั้นน่ะเป็นกุศลที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ และลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏให้รู้ส่วนมากก็จะเป็นอกุศลมากกว่ากุศล บางท่านตั้งใจไว้ว่า จะไม่มุสาเลย เป็นความตั้งใจที่เป็นกุศล แต่เวลามีเหตุการณ์เกิดขึ้น มุสาแล้ว สติเกิดขึ้นรู้ด้วยค่ะว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลที่มุสา แต่ว่าถ้าไม่มุสา ก่อนที่จะมุสา สภาพของจิตเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าสติไม่เกิดก็ไม่รู้ แต่ให้ทราบว่า อกุศลนี้หลั่งไหลไปสู่อารมณ์ที่ปรากฏตลอดเวลาทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่เป็นอกุศลที่เบา ที่อ่อน ที่ไม่มีกำลังแรง เพราะฉะนั้น ก็ไม่ปรากฏอาการของความเศร้าหมองในสภาพที่เป็นอกุศลให้ปรากฏ

    ถาม รู้สึกว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน อาจารย์ไม่ค่อยบรรยายบ่อย อยากจะให้อาจารย์บรรยายให้บ่อยเหมือนกับนามรูปอื่นๆ เพราะรู้สึกว่าฟังน้อยเหลือเกิน สติปัฏฐานอันนี้ฟังน้อยมาก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่อยากที่จะให้ลืมระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวัน สติปัฏฐานไม่ใช่เป็นนามธรรม และรูปธรรมอื่น แต่ขณะนี้เดี๋ยวนี้ ขณะกำลังพูด กำลังคุย กำลังอ่านหนังสือ หรือกำลังไปเที่ยว กำลังรื่นเริง สนุกสนานด้วยประการใดก็ตาม หรือว่ากระทำกิจการงานอย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งหมดเป็นสติปัฏฐาน แล้วก็เป็นชีวิตประจำวัน

    จริงๆ ถ้าไม่กล่าวถึงชีวิตประจำวันก็ดูเสมือนว่า สติปัฏฐานนั้นต้องไปรู้อื่น ซึ่งไม่ใช่นามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลทั้งหมด จึงต้องกล่าวถึงชีวิตประจำวันของแต่ละคนตามความเป็นจริง เพื่อที่จะไม่ให้สติหลงลืม แต่ให้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละขณะ ตามความเป็นจริง

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลังอันสามีบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องหลังนั้น ชื่อว่าอันสามีปกปิดให้เกษมสำราญ ให้ไม่มีภัย ด้วยประการฉะนี้ ฯ

    ในยุคนี้รู้สึกว่าปัญหาครอบครัวจะมีมาก แต่ถ้าเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็คงจะช่วยลดปัญหาลงได้

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    [๒๐๒] ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้ายอันกุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยการให้ปัน ๑ ด้วยเจรจาถ้อยคำเป็นที่รัก ๑ ด้วยประพฤติประโยชน์ ๑ ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ ๑ ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความจริง ๑ ฯ

    มิตรหรือเพื่อนนี่ขาดไม่ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละท่านก็ต้องเป็นผู้กระทำกิจของมิตร ต่อบุคคลอื่นได้

    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า มิตรเป็นทิศเบื้องซ้าย เพราะเหตุว่ามิตรเป็นผู้ที่ช่วยเหลือได้ในขณะที่มีกิจธุระจำเป็นต่างๆ เพราะเหตุว่าถ้ามีมือขวามือเดียว ก็คงทำกิจการงานไม่ถนัด หรือไม่สำเร็จไปด้วยดีตามความประสงค์ เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็จะขาดมิตร คือ ผู้ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลอุปการะกันไม่ได้

    ข้อความที่พระผู้มีพระภาคให้บำรุงมิตรด้วยสถาน ๕ คือ

    ด้วยการให้ปัน ๑

    เมื่อมีผู้ให้ก็ต้องมีผู้รับ ถ้าขาดการให้การรับ ก็คงจะเป็นมิตรกันยาก เพราะเหตุว่าการให้ก็มีการให้หลายประการ ไม่ใช่ให้แต่วัตถุสิ่งของเท่านั้น และสำหรับการรับก็เช่นเดียวกัน บางท่านอาจจะไม่ทราบว่า การที่ท่านไม่รับของๆ ใครเลยนั้น เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เคยเป็นผู้คิดจะไม่รับของๆ ใครเลยบ้างไหมคะ ดูเหมือนว่าเป็นกุศล แต่ในโลกนี้จะมีการให้ได้อย่างไร ถ้าไม่มีการรับ และเมื่อคนหนึ่งคิดเสียแล้วว่าจะไม่รับ คนอื่นจะให้ได้ไหมคะ ถ้าให้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรื่องของการรับ ถ้าท่านผู้หนึ่งผู้ใดคิดที่จะไม่รับของใครเลย ในขณะนั้นขอให้พิจารณาสภาพของจิตใจว่า เป็นกุศลหรืออกุศล เพราะอะไรจึงไม่รับ มีความสำคัญตนหรือไม่ในขณะที่ไม่รับ หรือเป็นด้วยความเมตตากรุณาคนอื่น ไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน แต่คนที่เดือดร้อนก็จะไม่ให้หรอกค่ะ คนที่เดือดร้อนน่ะจะเป็นฝ่ายรับ เพราะฉะนั้น คนที่จะให้คงไม่เดือดร้อนจึงให้ แต่ขณะที่ท่านไม่พร้อมที่

    จะรับอะไรของใครเลย ในขณะนั้นน่ะเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะเรื่องของอกุศล ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะขัดเกลาออกได้ เพราะไม่เห็นว่าเป็นอกุศล แต่สภาพของความถือตน สำคัญตน หรือความที่เป็นผู้มีมานะนี่คะ จะรู้ได้อย่างไร ถ้าสติไม่เกิดขึ้นในขณะนั้นว่า สภาพของจิตเป็นเพราะอะไรจึงทำให้ไม่รับ ถ้ารับแล้วเป็นปัจจัยให้ผูกไมตรีซึ่งกัน และกัน ควรจะรับไหมคะ ทำให้คนอื่นสบายใจด้วย ในการที่รับของๆ เขาที่เขาคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับท่าน มีความเป็นเพื่อนต่อกัน เพราะเป็นผู้มีตนเสมอกัน คือรับบ้างให้บ้าง ตามควรแก่โอกาส ไม่ใช่เป็นผู้สูงกว่าเสมอ ในการที่เป็นเพียงแต่ผู้ให้ แต่ไม่ใช่ผู้รับ

    มีข้อความในอสัมปทานชาดก เอกนิบาต ซึ่งท่านผู้ฟังก็อาจจะคิดว่า เรื่องเล็กๆ น้อยในพระไตรปิฎกบางตอนก็รู้สึกว่าจะมีธรรมเล็กน้อยเหลือเกิน แต่ถ้าท่านพิจารณาข้อความแม้ว่าเป็นธรรมเล็กน้อย ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับการที่จะศึกษารู้ลักษณะสภาพของจิตของท่านเองว่า ควรที่จะขัดเกลาอย่างไร

    ในอสัมปทานชาดก มีข้อความว่า

    ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคเสวยพระชาติเป็นสังขเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ในสมัยนั้นท่านพระเทวทัตก็เกิดเป็นปิลิยเศรษฐี ในกรุงพาราณสี มีสมบัติ ๘๐ โกฏิเหมือนกัน เศรษฐีทั้งสองนั้นเป็นสหายทั้งที่ไม่เคยเห็นกันเลย ต่อมาภายหลังก็มีภัยใหญ่เกิดขึ้นกับปิลิยเศรษฐี ท่านเกิดยากจน ปิลิยเศรษฐีก็ได้พาภรรยาไปหาสังขเศรษฐี ซึ่งสังขเศรษฐีก็ได้ต้อนรับด้วยความยินดี ให้ที่กินที่อยู่ที่พักอาศัย เป็นที่สบายทุกอย่าง พอล่วงไปได้ ๓ วัน ท่านสังขเศรษฐีก็ได้ถามท่านปิลิยเศรษฐีว่า การที่มานี้ด้วยประสงค์อะไร ปิลิยเศรษฐีก็ได้บอกว่า จะมาขอพึ่ง เพราะเหตุว่าทรัพย์สมบัติของตนพินาศหมดแล้ว สังขเศรษฐีก็เต็มใจมอบทรัพย์ให้ ๔๐ โกฏิ พร้อมทั้งสมบัติอื่นๆ พร้อมทั้งผู้คนบริวารเป็นอันมาก ปิลิยเศรษฐีก็ได้กลับไปอยู่ที่กรุงพาราณสี แล้วก็ได้ตั้งตัวได้ เป็นมหาเศรษฐีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

    ต่อมาอีกนาน ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้สังขเศรษฐีนี้ยากจนลง ท่านก็คิดว่า ปิลิยเศรษฐีคงจะช่วยเหลือท่านบ้าง คงจะไม่ทิ้งท่าน เพราะเหตุว่าท่านได้เคยอุปการะปิลิยเศรษฐีไว้มาก ท่านก็ได้พาภรรยาที่กรุงพาราณสี แต่ได้ให้ภรรยาพักรออยู่ที่ศาลานอกกรุงก่อน แล้วท่านก็ได้ไปหาปิลิยเศรษฐี แต่ว่าปิลิยเศรษฐีไม่ต้อนรับปราศรัยท่าน ถามเพียงคำเดียวว่า “มาเพื่อประสงค์อะไร” ซึ่งสังขเศรษฐีก็ได้ตอบว่า “มาเยี่ยม” ปิลิยเศรษฐีก็ถามว่า “พักที่ไหน?” สังขเศรษฐีก็ตอบว่า “ยังไม่มีที่พัก” ปิลิยเศรษฐีก็บอกเลยว่า “ไม่มีที่จะให้พัก” แล้วได้ให้คนจัดข้าวสาร ๔ ทะนาน เป็นเสบียงให้ไปหุงต้มกินเอง แล้วก็เชิญไปที่อื่น อย่าได้กลับมาหาอีก

    ซึ่งความจริงในวันนั้น ปิลิยเศรษฐีมีข้าวสาลีขึ้นฉาลถึงพันเกวียน ไม่ควรจะให้ข้าวสารแก่เพื่อนเพียง ๔ ทะนานเท่านั้น เมื่อบ่าวไพร่คนนั้นได้นำข้าวสาร ๔ ทะนานไปห่อชายผ้าให้สังขเศรษฐี ก็ได้กระซิบบอกสังขเศรษฐีว่า “สหายของท่านเป็นกตัญญูเสียแล้ว”

    ฝ่ายสังขเศรษฐีจึงคิดว่า เราควรจะรับข้าวสาร ๔ ทะนานนี้หรือไม่ ครั้งคิดอย่างนี้แล้ว ก็คิดต่อไปว่า

    “ถ้าเราไม่รับข้าวสาร ๔ ทะนาน ก็ได้ชื่อว่า เราทำลายความเป็นมิตรก่อนเขา คนโง่ทั้งหลายย่อมเสียความเป็นมิตรกัน เพราะไม่รับของเล็กน้อยที่มิตรให้”

    คิดแล้วก็รับข้าวสาร ๔ ทะนานไป แล้วก็ได้กลับไปหาภรรยา ซึ่งภรรยาก็เสียใจ ร้องไห้ เมื่อได้ทราบเรื่องแล้วก็กล่าวว่า

    “รับข้าวสาร ๔ ทะนานนี้มาทำไม ข้าวสาร ๔ ทะนานนี้จะสมกับเงิน ๔๐ โกฏิของเราแล้วหรือ”

    ซึ่งสังขเศรษฐีก็ได้ปลอบว่า

    “ที่รับข้าวสาร ๔ ทะนานนี้มา ก็เพื่อที่จะรักษาความเป็นมิตรของฝ่ายเราไว้ ด้วยคิดว่า ความเป็นมิตรของคนไม่มีปัญญาย่อมเสียไป เพราะไม่รับของเล็กน้อย”

    บ่าวไพร่ของสังขเศรษฐี ที่สังขเศรษฐีให้กับปิลิยเศรษฐีไป ได้ทราบข่าวก็ได้รับสังขเศรษฐีไปไว้ที่บ้าน ปรนนิบัติรับใช้ด้วยข้าวปลาอาหารที่ประณีต แล้วได้พากันไปร้องทุกข์ต่อพระเจ้าพาราณสี พระเจ้าพาราณสีตรัสให้เศรษฐีทั้งสองไปเฝ้า ทรงซักถาม เมื่อทรงทราบแล้วก็ได้ถอดปิลิยเศรษฐีออกจากตำแหน่ง ให้ริบทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่สังขเศรษฐี ซึ่งสังขเศรษฐีก็รับเฉพาะเงิน ๔๐ โกฏิ กับบ่าวไพร่ซึ่งเป็นของตนเท่านั้น นอกนั้นก็คืนให้กับปิลิยเศรษฐี แล้วท่านก็กลับไปตั้งตัวเป็นเศรษฐีที่กรุง ราชคฤห์จนสิ้นอายุ

    ท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่า ต้องมีความอดทนเพียงไรสำหรับสังขเศรษฐีที่จะรับข้าวสาร ๔ ทะนานแทนเงิน ๔๐ โกฏิ แต่เป็นกุศลจิตนะคะ ที่คิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้น และท่านจะเห็นได้ว่า บางท่านมีเพื่อนน้อย บางท่านมีเพื่อนมาก เพราะอะไร เพราะกุศลจิตหรืออกุศลจิต ถ้าเห็นความสำคัญของเพื่อน ก็เพราะเหตุว่าท่านมีจิตใจดี ท่านก็มีมิตรสหายมาก แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่เอาเปรียบ หรือว่ามีการถือตัว ไม่ทำตัวเสมอกับเพื่อนฝูง ขาดความเมตตา ท่านก็จะมีเพื่อนน้อย เพราะเหตุว่าท่านขาดไมตรี ขาดความอดทน แล้วก็ประกอบด้วยมานะ ที่ไม่ทำตนเสมอกับบุคคลอื่นด้วย

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกรคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้ายอันกุลบุตรพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ คือด้วยการให้ปัน ๑ ด้วยเจรจาถ้อยคำเป็นที่รัก ๑

    สำคัญไหมคะ คำพูด เป็นเพื่อนกัน แต่ใช้ถ้อยคำผิดหูนิดเดียว โกรธเสียแล้ว ไม่เป็นเพื่อนเสียแล้ว นี่เป็นชีวิตจริงๆ แล้วก็ขณะนั้นจะเป็นกุศล อกุศลอย่างไร สติก็จะต้องระลึกรู้ตามความเป็นจริง อย่าข้ามไปที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม บรรลุนิพพานโดยไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติตามความเป็นจริง ท่านจะเป็นผู้ที่กล่าววาจาที่ไม่ไพเราะนั้นเอง ก็เป็นเพราะเหตุปัจจัย หรือท่านจะได้ยินคำจากเพื่อนซึ่งเป็นคำหยาบคาย ทอนกำลังความรัก ความสนิทสนมความรักใคร่ที่มีต่อกัน

    ทำให้รู้สึกระคายหู ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปได้เลย ในขณะนั้นเป็นชีวิตจริงค่ะ ซึ่งสติก็จะต้องระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ นั่นแหละ จนกว่าปัญญาจะรู้ชัดจริงๆ ว่า แม้ขณะนั้นก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลตามปกติตามความเป็นจริง

    ขณะนี้สภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเกิดดับสืบต่อกันเร็วมาก ความไม่รู้คั่นอยู่ แทรกอยู่ กำลังเห็น ความไม่รู้มีคั่นอยู่ แทรกอยู่ แม้ว่าก่อนจะคิด กำลังเห็นขณะนี้นะค่ะ ยังไม่ได้คิดอะไรเลย เวลานี้เห็น ยังไม่ได้คิด ความไม่รู้แทรกอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ก็ดูเสมือนว่าได้ยินด้วย เพราะฉะนั้น การเกิดดับสืบต่อของสภาพนามธรรม และรูปธรรมเร็วมากปกติในชีวิตประจำวัน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ก็แทรกความไม่รู้ไว้ทุกทวาร ฉันใด ผู้อบรมเจริญสติปัฏฐานแทรกสติ แทรกปัญญาที่จะเป็นความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ เป็นปกติ ไม่ผิดปกติเลย กำลังเห็นก่อนจะคิด มีความไม่รู้ ก็เปลี่ยนเป็นกำลังเห็น ระลึก ศึกษา เพื่อที่จะรู้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แทรกความรู้แทนความไม่รู้ แล้วก็เป็นปกติในชีวิตประจำวัน จนกว่าจะเป็นความรู้ที่คมกล้าขึ้น สามารถที่จะประจักษ์ความขาดตอนของสภาพธรรมแต่ละลักษณะทางมโนทวารได้ เวลานี้ตามความเป็นจริง ทางมโนทวารเกิดคั่นทางปัญจทวารที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่รู้รส ที่สัมผัสถูกต้อง แต่อาการของมโนทวารไม่ปรากฏ ใช่ไหมคะ กำลังเห็นนี่ล่ะค่ะ สีที่ปรากฏทางตา ไม่ได้ดับเลย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 4
    4 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ