แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2059


    ครั้งที่ ๒๐๕๙


    สาระสำคัญ

    ขุท. กามสุตตนิทเทส ที่ ๑ - จิตเป็นอายตนะ ด้วยอรรถว่า เป็นแดนเกิด

    สฬายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ

    ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา

    เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา

    ตัณหาชื่อว่า วิสัตติกา เพราะอรรถว่า ซ่านไป หรือแผ่ไป ในอารมณ์ต่างๆ


    ที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย

    วันอาทิตย์ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๔


    สัทธัมมปัชโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวรรค กามสุตตนิทเทสที่ ๑ มีข้อความว่า

    จิตเป็นอายตนะ ด้วยอรรถว่า เป็นแดนเกิด เพราะว่าธรรมทั้งหลาย มีผัสสะเป็นต้น ย่อมเกิดในจิตนี้

    ด้วยอรรถว่า เป็นที่ประชุม ของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะเหตุว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ย่อมประชุมที่จิตโดยเป็นอารมณ์

    ด้วยอรรถว่า เป็นเหตุ เพราะเจตสิกธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้น เป็นเหตุ คือ เป็นปัจจัย

    ด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัย มีสหชาตปัจจัยเป็นต้น

    ข้อความโดยย่อ แต่กินความถึงข้อความอื่นๆ ในส่วนอื่นๆ ของพระไตรปิฎกด้วย ซึ่งทุกคนสามารถเข้าใจลักษณะสภาพที่เป็นอายตนะได้ ถ้ากล่าวถึงอายตนะ ๖ ก็ได้แก่ ตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑ ใจ ๑

    เพราะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงมีผัสสะ หรือจะกล่าวว่า สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ คือ ขณะนี้ที่เห็น ต้องมีการกระทบกันของสิ่งที่ปรากฏกับ จักขุปสาท จิตจึงเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ และในขณะที่ได้ยิน เพื่อจะได้เข้าใจถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการได้ยิน ก็ต้องรู้ว่า ต้องมีเสียงกระทบกับโสตปสาท เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้อายตนะจึงเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ คือ มีการกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่มีใครสามารถยับยั้งหรือห้ามได้ จะต้องเกิดขึ้นทุกวัน เป็นไปทุกวัน และเป็นอย่างนี้ไปทุกชาติ เพราะว่าชีวิตเป็นไปในทางเกิดทั้งสิ้น ไม่มีการรู้ทางที่จะดับสภาพธรรมเหล่านี้ ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ

    ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เพราะว่าเมื่อมีการกระทบแล้วจะไม่ให้ เวทนาเจตสิกซึ่งเป็นสภาพที่รู้สึก เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ดีใจหรือเสียใจ หรือเฉยๆ ไม่ได้เลย เมื่อมีการกระทบแล้ว ก็ต้องเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา ความรู้สึกต่างๆ และเมื่อมีความรู้สึกต่างๆ ก็จะมีตัณหา ความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ในสภาพธรรมทั้งหลายด้วย เว้นโลกุตตรธรรมเท่านั้นที่ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา นอกจากนั้นแล้วแม้ว่าเป็นกุศล ก็ยังอยากที่จะได้กุศล ยังพอใจในกุศล เพราะฉะนั้น จะเห็นได้จริงๆ ว่า เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา

    ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพในที่นี้ คือ กรรมภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติเมื่อเกิดขึ้นแล้วที่จะพ้นจากชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส ไม่มีเลย

    แสดงให้เห็นว่า ถ้าเพียงระลึกถึงปฏิจจสมุปปาทบ่อยๆ ไม่ว่าจะส่วนไหนของปฏิจจสมุปปาท หรือแม้แต่การระลึกถึงตัณหา ก็จะเห็นได้ว่า ช่างมากมาย และเป็นความจริงที่ว่า ไม่มีใครสามารถละความติดข้องในสิ่งต่างๆ ได้ เพราะว่าตัณหาเป็นสภาพธรรมที่พอใจและติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่าง

    ขอกล่าวถึงลักษณะของตัณหาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้เห็นสภาพตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ติดข้อง

    ขุททกนิกาย มหานิทเทส อัฏฐกวรรค กามสุตตนิทเทสที่ ๑ มีข้อความว่า

    คำว่า วิสัตติกา ความว่า เพราะอรรถว่าอะไร ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา (ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ) เพราะอรรถว่า ซ่านไป ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่า แผ่ไป ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    วิสัตติกา หมายถึงลักษณะที่ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่า ทุกอารมณ์เป็นที่พอใจติดข้องของตัณหาทั้งนั้น

    วันนี้ทั้งวันเรื่องของตัณหาทั้งนั้น ทั้งซ่านไป ทั้งแผ่ไป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทางหนังสือ ทางโทรทัศน์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความสนุกสนาน รื่นเริง ความสวยงามต่างๆ

    เพราะอรรถว่า แล่นไป ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่า ครอบงำ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่า สะท้อนไป ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    ไม่ว่าจะไปแห่งไหน ออกจากตัณหาได้ชั่วครู่ ก็สะท้อนกลับมาหาตัณหาอีกแล้ว ไม่มีทางที่จะพ้นไปจากตัณหาได้เลย มีความรู้สึกว่า สงบ สบาย ไม่ต้องการอะไรพอสมควร สติปัญญาก็พอจะเกิดบ้างบางขณะ บางครั้งบางคราว แต่เพราะอรรถว่าสะท้อนไป ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะฉะนั้น ไปก็ไปเถอะ แต่ไปชั่วครู่ ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ต้องกลับมาหาตัณหาอีก จริงไหม ฟังพระธรรม มีความเข้าใจ มีความซาบซึ้ง และก็กลับมาหาตัณหาอีก ไม่มีการพ้นไปได้เลย

    เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้พูดผิด ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    พูดผิดจากความเป็นจริงด้วยความเข้าใจผิด ด้วยความเห็นผิด หรือด้วยความต้องการประการหนึ่งประการใดก็ตาม ก็เป็นเหตุที่เกิดขึ้นเพราะตัณหา จึงชื่อว่า วิสัตติกา

    เพราะอรรถว่า มีมูลรากเป็นพิษ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่า มีผลเป็นพิษ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องบริโภคสิ่งเป็นพิษ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    ของที่เป็นพิษ บางท่านก็ชอบเสียจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมีโทษทำให้ร่างกายเกิดโรคภัยต่างๆ แต่ความคุ้นชินกับรสอร่อย อย่างเครื่องปรุงรสบางอย่าง บางคนขาดไม่ได้เลยทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นพิษ เหมือนตัณหาทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นโทษสักเท่าไรก็ตาม แต่ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องบริโภคสิ่งเป็นพิษ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    อีกนัยหนึ่ง ตัณหานั้นแผ่ไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สกุล คณะ ที่อยู่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญายตนภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ ในอดีต ในอนาคต ในปัจจุบัน แล่นไป ซ่านไป ในรูปที่เห็นแล้ว ในเสียงที่ได้ยินแล้ว กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่รู้แล้ว และในธรรมที่รู้ ตัณหาจึงชื่อว่าวิสัตติกา

    นี่เป็นการแสดงภพโดยละเอียด คือ ภพที่มีสัญญา ภพที่ไม่มีสัญญา ที่เป็นกาม ที่เป็นรูป ภพที่มีขันธ์เดียว ภพที่มี ๔ ขันธ์ ภพที่มี ๕ ขันธ์ ทั้งหมดตัณหาแผ่ไปได้หมด

    ตอนท้ายมีข้อความว่า

    คำว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ ย่อมล่วงพ้นตัณหาอันชื่อว่าวิสัตติกานี้ในโลกเสียได้ มีความว่า เป็นผู้มีสติ ย่อมข้าม ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง ล่วงเลยตัณหาชื่อว่า วิสัตติกานี้ในโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีสติ ย่อมล่วงพ้นตัณหาอันชื่อว่า วิสัตติกานี้ในโลกเสียได้

    ถ้าไม่มีสติ หรือไม่เข้าใจเรื่องลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม สติไม่ได้ระลึก ที่ปรมัตถธรรม ไม่มีทางที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล และเมื่อใดมีการละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล มีการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล เป็นพระอริยบุคคลตามลำดับ แต่ที่จะละตัณหาได้หมดสิ้นต้องถึงความเป็นพระอรหันต์

    เพราะฉะนั้น แต่ละท่านต้องรู้จักธรรมตามความเป็นจริง เช่น ปฏิจจสมุปปาทที่ว่า สฬายตนะเป็นปัจจัยแก่ผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยแก่เวทนา เวทนาเป็นปัจจัยแก่ตัณหา ก็เป็นความจริง และตัณหาก็เป็นปัจจัยแก่อุปาทาน เมื่อมีความต้องการแล้ว ก็มีความติดข้อง ยึดมั่น ไม่ปล่อย เมื่อมีอุปาทานก็เป็นปัจจัยให้เกิดภพ คือ กรรม การกระทำต่างๆ และจะต้องมีชาติ การเกิด จนกระทั่งถึงการแก่ การตาย

    ขณะนี้ทุกคนก็กำลังก้าวไปสู่ความชรา และจะถึงมรณะ ซึ่งการระลึกถึง ความตาย หรือความชราของแต่ละท่าน อาจจะทำให้ท่านเจริญกุศลเพิ่มขึ้น เพราะรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความสุขก็คือความว่างเปล่า เพราะว่าเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแล้วก็ดับไป

    ถ้าสะสมกุศลที่จะทำให้เป็นทางดับ วันหนึ่งก็จะดับได้ แม้ว่าการดับนั้นจะต้องใช้เวลานาน อุปมาเหมือนกับไฟกองใหญ่ ไฟกิเลส โลภะเกิดขึ้นขณะหนึ่งก็เป็นไฟ โทสะเกิดขึ้นขณะหนึ่งก็เป็นไฟ โมหะเกิดขึ้นขณะหนึ่งก็เป็นไฟ เพราะฉะนั้น จะดับไฟกองใหญ่ซึ่งสะสมมานานในสังสารวัฏฏ์ ตั้งแต่ชาติก่อนๆ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ได้อย่างไร คงจะเป็นไปไม่ได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่ เพราะชีวิตดำเนินไปในทางที่ดับชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ และชีวิตก็ดำเนินไปในทางที่เกิดมากกว่า เพราะว่าใส่เชื้อไฟ ในกองไฟของโลภะ โทสะ โมหะ เพิ่มความใหญ่ของกองไฟนั้นทุกขณะ แต่ทางดำเนินไปสู่ทางดับนั้นก็มีบ้างเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละชาติ

    ด้วยเหตุนี้จึงต้องเป็นผู้ที่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง และอาศัยการฟัง พระธรรม อาศัยการเข้าใจชีวิตให้ถูกต้อง พร้อมกับอบรมเจริญหนทางที่จะทำให้ถึง ความดับได้ด้วยการเจริญปัญญา เพราะว่าอกุศลแม้มีมาก แต่ไม่มีกำลัง เป็น สภาพธรรมที่เกิดบ่อยจริง แต่ไม่มีกำลังเท่าฝ่ายกุศล อวิชชาเป็นสภาพที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะมีกำลังอะไร แต่อาศัยที่เมื่อไม่รู้นานๆ จนกระทั่งเหมือนคนที่สลบ หมดสติ กว่ากุศลจะเกิดแต่ละครั้ง ก็เหมือนกับคนที่ฟื้นจากสลบแต่ละครั้ง

    เพราะฉะนั้น ทางฝ่ายอกุศลซึ่งเป็นอวิชชาบ้าง โลภะบ้าง โทสะบ้าง เกิดบ่อยจริง แต่กำลังไม่เท่ากับฝ่ายกุศล เพราะว่าอวิชชาไม่ใช่สภาพรู้ แต่วิชชาเป็นสภาพรู้ เป็นสภาพที่สามารถอบรมจนกระทั่งเจริญแข็งแรง คมกล้า มิฉะนั้นแล้วจะดับทาง ฝ่ายอกุศลไม่ได้เลย

    ทางฝ่ายกุศลเป็นฝ่ายที่มีกำลังจริงๆ ถ้าได้เจริญอบรมแล้ว แม้อวิชชาที่สะสมมาในอดีตนานสักเท่าไร แต่เมื่อปัญญาคมกล้าก็สามารถดับอกุศลนั้นๆ ได้ เพราะฉะนั้น พละมี ๗ ตามที่ได้ทรงแสดงไว้ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา หิริ โอตตัปปะ นี่เป็นธรรมที่มีกำลัง

    ในขณะที่กำลังฟังพระธรรม ก็เป็นทางของชีวิตซึ่งดำเนินไปในทางดับ กำลังหาอุปกรณ์เครื่องมือที่จะดับไฟกองใหญ่ จนกว่าจะมีปัจจัยทำให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จึงจะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของปรมัตถธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ได้

    ถ. ติดใจคำว่า วิสัตติกา เพราะโดยอรรถแปลได้มากมายถึง ๙ อย่าง ตามศัพท์จริงๆ แปลว่าอะไร

    สมพร วิสัตติกา แปลว่า ซ่านไปในอารมณ์ คือรวมอยู่ในนี้ทั้งหมดเลย คำอื่นๆ ที่เป็นคำไวพจน์ แปลจริงๆ ว่า ซ่านไป รวมความทั้งหมดที่อาจารย์บรรยาย ก็กินความอยู่ในการซ่านไป อย่างเดียว

    สุ. ต้องการคำแปลโดยตรง อาจารย์สมพรก็แปลให้แล้ว คือ ซ่านไป และต่อไปก็อธิบายว่า ซ่านไปอย่างไรบ้าง

    พระ ตามธรรมดาในสังสารวัฏฏ์ อวิชชาเกิดมาก อาตมาเคยมีความคิดว่า อกุศลสะสมมามากมาย อกุศลน่าจะมีกำลัง จึงทำให้เรามีอกุศลมากมาย เพิ่งได้ยินวันนี้ว่า แม้อกุศลจะมีมากเท่าไร แต่ไม่มีกำลัง ถ้าปัญญาซึ่งเป็นพละเกิดได้ อกุศล แม้มีมากเท่าไรก็ดับได้ เพราะฉะนั้น ก็มีทางหลุดพ้นได้ เจริญพร อนุโมทนา

    สุ. เจ้าค่ะ เพราะว่าปัญญาต้องมีกำลังกว่าอวิชชาแน่นอน

    ถ. อาจารย์บอกว่า วิชชามีพลังใหญ่หลวง ฟังแล้วรู้สึกปลื้มใจว่า เราสามารถเอาชนะได้ แต่จะเอามาเข้าตัวเราคงยาก หรืออย่างไร

    สุ. ต้องอบรม ขณะที่กำลังฟัง คือ กำลังอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อให้เวลาที่สติระลึกจะมีความรู้ในขณะนั้นว่าไม่ใช่ตัวตนอย่างไร

    ถ้าไม่อาศัยการฟังเรื่องของสภาพธรรมจนกระทั่งเข้าใจในลักษณะที่เป็นอนัตตาละเอียดขึ้น ไม่มีทางที่เวลาสติระลึกแล้วจะละการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตนได้ ด้วยเหตุนี้แม้ขณะที่กำลังฟังก็ต้องรู้จุดประสงค์ว่า เพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง นี่เป็นทางที่จะทำให้เกิดการระลึกได้ แม้ในขณะนี้ มีสภาพธรรมปรากฏ อวิชชาไม่รู้ แต่ปัญญาสามารถค่อยๆ รู้ขึ้นเพราะฉะนั้น ความรู้ ความเข้าใจ มีหลายขั้น ขั้นฟังขาดไม่ได้เลย

    พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดงว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้กำลังเกิดดับ ทางตา สภาพธรรมปรากฏสั้นที่สุด เล็กน้อยที่สุดแล้วดับ และทางใจก็คิดนึกเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ ทางหู เสียงกระทบ สั้น เล็กน้อยที่สุด แล้วดับ และจิตก็คิดนึกเรื่องราวของเสียงที่ได้ยิน เพราะฉะนั้น จึงเป็นโลกของ สมมติบัญญัติ โดยที่ไม่ได้รู้ลักษณะของปรมัตถธรรมที่เกิดเพียงชั่วขณะแล้วก็ดับ และสภาพธรรมที่เกิดและดับไปตามเหตุตามปัจจัยนั้นก็ดับจริงๆ ไม่มีใครหากลับมาอีกได้ เพราะว่าเมื่อมีปัจจัยใดทำให้สภาพธรรมใดเกิดขึ้น ปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมนั้นดับแล้ว สภาพธรรมนั้นก็ต้องดับด้วย

    ได้รับคำถามจากบางท่าน ท่านถามว่า ถ้าจะเพียงรู้ว่า ทุกอย่างเป็นนามธรรมและรูปธรรมตั้งแต่เกิดจนตายเท่านั้น พอไหม คือ มีความรู้สึกว่า ถ้าจะเรียนมาก จะฟังมาก ก็อาจจะยุ่งยากมาก เพราะฉะนั้น ถ้าเพียงรู้ว่า ทุกอย่างเป็นนามธรรมและรูปธรรมตั้งแต่เกิดจนตายเท่านั้น พอไหม ไม่ต้องฟังพระธรรมอะไรอีก

    ซึ่งทุกท่านก็จะพิจารณาได้ว่า วันนี้ทุกท่านก็รู้ มีใครไม่รู้บ้างว่า ในขณะนี้ ทุกอย่างเป็นธรรม ก็พูดตามได้ ทุกอย่างเป็นธรรมตั้งแต่เกิดจนตาย กำลังเห็นก็ เป็นธรรม กำลังได้ยินก็เป็นธรรม กำลังคิดนึกก็เป็นธรรม สุขทุกข์ก็เป็นธรรม ก็พูดอย่างนี้อยู่เสมอ แต่รู้จริงๆ ในขณะเห็น รู้จริงๆ ในขณะได้ยิน รู้ในขณะนี้ ที่กำลังคิดนึกว่า ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างจริงๆ หรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมแต่ละครั้งต้องไม่ลืมว่า จุดประสงค์เพื่อระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งก็คือการอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวัน บางท่านอาจจะคิดว่าห่างเหินไปไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่อง สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ตามความเป็นจริงขึ้นอยู่กับมนสิการหรือการพิจารณาของแต่ละท่านที่ฟัง เพราะว่ากำลังมีธรรมในขณะนี้เอง

    เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องที่ได้ฟังจากพระธรรม ก็ต้องเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพียงแต่ว่าจะเป็นปัจจัยทำให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม หรือว่าเพียงฟังไปก่อน และนานๆ ครั้งหนึ่งก็เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้บ้างตามความเป็นจริง เพราะว่าจะฝืนอกุศลไม่ได้เลย

    ถ้ารู้ว่าแต่ละคนมีอกุศลมามากมายเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ หรือถ้าไม่ย้อนกล่าวไปถึงแสนโกฏิกัปป์ แม้เพียงในปัจจุบันชาติ วันนี้เอง กุศลเล็กน้อยแล้วก็ หันกลับไปหาอกุศล และกุศลอีกเล็กน้อย แล้วก็หันกลับไปหาโลภะ เป็นประจำอย่างนี้ นี่คือชีวิตจริงๆ เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรมมากๆ ฟังแล้วฟังอีก ฟังเพื่อให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม และเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ มิฉะนั้นแล้วไม่มีทางอื่นเลย



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๒๐๖ ตอนที่ ๒๐๕๑ – ๒๐๖๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 152
    21 มี.ค. 2565

    ซีดีแนะนำ